การเลือก สว. ในปี 2567 เป็นครั้งแรกของการใช้งานระบบการ “แบ่งกลุ่ม” และ “เลือกกันเอง” ในหมู่ผู้สมัครตามรัฐธรรมนูญ 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ.2561 (พ.ร.ป.สว.ฯ) ที่คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นำโดยมีชัย ฤชุพันธุ์ วาดฝันไว้ว่า จะสร้างระบบเพื่อกำจัดอิทธิพลของ “นักการเมือง” ออกจากสว.
ระบบอันพิศดารจึงออกออแบบมาโดยวางคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครเอาไว้มากมาย และสร้างกลไกการเลือกให้สลับซับซ้อนหลายชั้น มีการเลือกสามครั้งในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ มีทั้งการ “เลือกกันเอง” ระหว่างผู้สมัครในกลุ่มเดียวกัน และการ “เลือกไขว้” ลงคะแนนให้กลุ่มอื่นซึ่งต้อง “จับสลาก” แบ่งสาย โดยหวังให้ผู้สมัครไม่อาจรู้มาก่อนว่าตัวเองจะได้เลือกใคร และไปตัดสินใจหน้าคูหา เพื่อป้องกันการ “จัดตั้ง” ซื้อเสียงโดยคนที่มีอิทธิพลทางการเมือง
ระบบการเลือกเช่นนี้ตั้งอยู่บนฐานของการไม่ไว้วางใจประชาชนว่าจะสามารถตัดสินใจได้ จึงพยายาม “ปิดกั้น” การมีส่วนร่วม และโยนภาระให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีทั้งอำนาจและหน้าที่ออกแบบรายละเอียดวิธีปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลตามที่ผู้ร่างตั้งใจไว้ คือ เป็นพื้นที่ให้ “คนดี-เด่น-ดัง” คนที่ได้รับกายอมรับอย่างกว้างขวางจากทุกสาขาอาชีพได้รับเลือก
ความซับซ้อนและขาดการมีส่วนร่วมส่งผลให้ที่มาของสว. จากระบบเช่นนี้ขาดความเป็นตัวแทนและความรับผิดชอบต่อประชาชน ผู้สมัครในสนามนี้ไม่ได้เป็นทั้งตัวแทนของวิชาชีพหรือพื้นที่อย่างแท้จริง และไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน เมื่อพิจารณาจากผลลัพธ์ของการใช้งานระบบนี้ในครั้งแรก จากผู้ได้รับเลือก 200 คน พบผลคะแนนในการเลือกที่เกาะกลุ่มกันจนผิดปกติ และเชื่อมโยงกับอิทธิพลทางการเมืองในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน จึงพิสูจน์ได้แล้วว่า ระบบการได้มาซึ่งสว. แบบพิเศษนี้ ให้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้ออกแบบระบบวาดฝันไว้ และยังเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจการตัดสินใจควรต้องอยู่ในมือของประชาชน

ประชาชนไม่ได้เลือก แบ่งกลุ่ม-แบ่งพื้นที่ ไม่เท่าเทียม
ระบบ “เลือกกันเอง” ที่ใช้สำหรับการเลือกสว. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องการออกแบบระบบนี้เพื่อไม่ให้สว. มาจากการเลือกตั้งเหมือนสส. เพราะกลัวจะได้สว. ที่อยู่ภายใต้การครอบงำของพรรคการเมือง และหากสว. มาจากการสรรหาหรือแต่งตั้งก็จะมีข้อครหาว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย ระบบนี้จึงถูกนำเสนอขึ้นเป็นรูปแบบที่ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยประชาชนแต่ก็ไม่ใช่แต่งตั้งบุคคลได้ตามใจชอบ
ระบบเลือกกันเอง “กีดกัน” ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ให้เข้าไปร่วมตัดสินใจเลือกคนที่จะมาเป็น สว. ผู้ที่จะมีสิทธิออกเสียงเลือก สว. ได้ต้องเป็น “ผู้สมัคร” ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ มีอายุไม่น้อยกว่า 40 ปีในวันที่สมัคร มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ในกลุ่มที่สมัครมาไม่น้อยกว่า 10 ปี ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 26 ประการ และข้อสำคัญ คือ ต้องจ่ายค่าสมัคร 2,500 บาท เท่ากับระบบนี้ “บังคับ” ให้ผู้ที่จะใช้สิทธิเลือกสว. ต้อง “จ่าย” เพื่อที่จะมีสิทธิต่างๆ ในกระบวนการ
แม้มีประชาชนพร้อมจะจ่ายเงินเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ไม่น้อย แต่คุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครก็คัดกรองให้คนที่สามารถสมัครได้จริงๆ เหลือน้อยมาก เช่น หากไม่ได้ไปเลือกตั้งในทุกระดับ รวมทั้งการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาท้องถิ่นก็จะถูกตัดสิทธิสมัครสว. หากจงใจไม่ต่ออายุสมาชิกพรรคการเมืองแล้วแต่กฎหมายกลับให้ยังมีสมาชิกภาพอยู่อีกสองปี
พ.ร.ป.สว.ฯ ออกแบบระบบการเลือกสว. ในแต่ละระดับให้ต้องเลือกสองรอบ คือ 1) เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน และ 2) แบ่งสายเลือกไขว้ข้ามกลุ่ม โดยผู้ที่จะผ่านจากระดับอำเภอไปสู่ระดับจังหวัดได้ ต้อง “ได้คะแนน” ทำให้อำเภอที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียว กลุ่มเดียว ไม่สามารถแบ่งสาย จึง “ตกรอบ” โดยไม่ได้ผ่านการเลือก ซึ่งมีผู้สมัครอย่างน้อย 11 คนจากแปดอำเภอ ที่สมัครแล้วต้องตกรอบทันทีโดยผลของระบบ กติกาเช่นนี้ทำให้ผู้สมัครเรียนรู้ว่าการสมัครสว. ไม่ได้อาศัยลำพังคุณสมบัติและความดีงามของตัวเองเท่านั้น แต่ต้อง “ชวนเพื่อนไปด้วย”
นอกจากนี้ พ.ร.ป. สว.ฯ ยังจัดแบ่งผู้สมัครออกเป็น 20 กลุ่ม ตามความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน โดยการแบ่งกลุ่ม 20 กลุ่ม ก็ไม่สอดคล้องกับจำนวนประชากร ไม่สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญ ในหลายแง่มุมซึ่งส่งผลต่อความเท่าเทียมในโอกาสของผู้สมัคร ตัวอย่างเช่น
ประเด็นแรก การแบ่งกลุ่มเป็น 20 กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่แบ่งตาม “กลุ่มอาชีพ” แต่มีสองกลุ่มที่เป็นกลุ่ม “อัตลักษณ์” คือ กลุ่มที่ 14 กลุ่มสตรี ที่เพศกำเนิดหญิงสามารถสมัครกลุ่มนี้ได้ทุกคน และกลุ่มที่ 15 กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์ ซึ่งกลุ่ม 15 นี้เป็นการเอาคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันมารวมกันและให้ออกเสียงเลือกกันเอง จึงทำให้มีระบบตัวแทนหลายระบบทับซ้อนกันอยู่
ประเด็นที่สอง ความไม่ได้สัดส่วนของ สว. กลุ่มลูกจ้าง และกลุ่มนายทุน เนื่องจาก “ลูกจ้าง” ในองค์กรเอกชนทุกประเภท สามารถสมัครกลุ่มที่ 7 ได้กลุ่มเดียว แต่ผู้ที่เป็นผู้ประกอบการหรือ “นายจ้าง” ไว้อย่างน้อยสามกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 9 ผู้ประกอบกิจการ SMEs กลุ่มที่ 10 ผู้ประกอบกิจการอื่นที่ไม่ใช่ SMEs และกลุ่มที่ 12 กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม เท่ากับว่านักธุรกิจหรือกลุ่มนายทุนจะมีตัวแทนเป็นสว. อย่างน้อย 30 คน มากกว่าสว. จากกลุ่มลูกจ้างถึงสามเท่า
ประเด็นที่สาม การกำหนด “กลุ่มอื่นๆ” เพื่อให้ประชาชนทุกคนไม่ว่าประกอบอาชีพอะไรจะสามารถสมัครสว.ได้ แต่การออกแบบกลุ่มนี้ส่งผลให้ได้สว. ที่ไม่เป็นตัวแทนของคนกลุ่มใดเลย เพราะมีคนที่ไม่ได้ประกอบอาชีพทำนองเดียวกัน ไม่มีประสบการณ์ หรือผลประโยชน์ใดๆ ร่วมกัน มาอยู่กลุ่มเดียวกัน และยังเปิดช่องให้ “จัดตั้ง” คนที่สนับสนุนกันแต่ไม่ได้ทำงานเหมือนกันมา “เลือกกันเอง” ได้ง่ายด้วย
นอกจากการแบ่งกลุ่มแล้วปัญหาของการแบ่งพื้นที่ก็ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในระบบ เพราะจำนวนประชากรของแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน และแต่ละจังหวัดก็มีจำนวนอำเภอไม่เท่ากัน แต่จำนวนผู้เข้ารอบของแต่ละอำเภอและจังหวัดจะเท่ากัน เช่น จังหวัดสมุทรสงคราม มีประชากร 180,000+ คน มีแค่สามอำเภอทำให้ในการเลือกระดับจังหวัดมีผู้แข่งขันกลุ่มละไม่เกินเก้าคนคัดเหลือสองคน ขณะที่กรุงเทพมหานครมีประชากร 5,400,000+ คนและมีผู้อยู่อาศัยมากกว่านั้น แบ่งเป็น 50 เขตจึงมีผู้เข้าแข่งขันได้มากที่สุดกลุ่มละ 150 คน เพื่อคัดเหลือสองคนเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้เมื่อนำระบบการแบ่งกลุ่มมาผสมกับพื้นที่ยิ่งเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น เพราะแต่ละพื้นที่ก็มีคนทำอาชีพแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ เช่น พื้นที่ชายทะเลมีชาวประมงอาศัยอยู่มาก แต่มีโควต้าที่นั่งสำหรับกลุ่มประมงเท่ากับพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำเลย จังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งมีคนชาติพันธุ์เยอะ กลับมีที่นั่งให้กลุ่มชาติพันธุ์เท่ากับจังหวัดกรุงเทพมหานคร และจังหวัดกรุงเทพมหานครก็มีที่นั่งให้กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่ากับจังหวัดแม่ฮ่องสอน
จากกติกาที่มีอยู่เปิดให้ผู้สมัครสว. แต่ละคนเลือกได้หลากหลายว่าจะสมัครในกลุ่มใด และสมัครพื้นที่ใด ปัญหาของการใช้ระบบแบ่งกลุ่มและแบ่งพื้นที่ทับซ้อนกันจึงทำให้ผู้สมัครต้อง “ออกแบบ” การสมัครจากความเป็นไปได้ทางการเมืองที่จะมีโอกาสเข้ารอบมากกว่าเลือกสมัครตามกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญหรือพื้นที่ที่มีความผูกพันจริง
ระบบการ “เลือกกันเอง” ในหมู่ผู้สมัครซึ่งออกแบบมาให้ผู้ที่สมัครเพื่อจะเป็นสว. มาเลือกคนอื่นๆ นั้นเป็นระบบที่ให้ผู้ที่มีส่วนได้เสียมาร่วมตัดสิน เพราะผู้สมัครก็ต้องประสงค์ที่จะเข้ารอบหรือได้รับเลือก จึงเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เป็นธรรม เช่น ผู้สมัครตั้งใจไม่เลือกคนที่มีคุณสมบัติดีและเลือกคนที่มีคุณสมบัติไม่เด่นเพื่อให้ในรอบต่อไปตัวเองมีคู่แข่งน้อยลง หรือปรากฏการณ์ “เกมวัดใจ” ผู้สมัครจะต้องทำความรู้จักและตกลงแลกเปลี่ยนคะแนนกันแต่อาจจะลงคะแนนจริงหรือไม่ก็ได้ ซึ่งสนามแต่ละรอบจึงกลายเป็นเกมการเมืองระหว่างผู้สมัครมากกว่าจะเป็นสนามวันความรู้ความเชี่ยวชาญ
อย่างไรก็ดี แม้ระบบเลือกสว. 2567 จะออกแบบมาให้ประชาชนเกินครึ่งของประเทศไม่มีส่วนร่วมเลือกสว. แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 114 ก็เขียนให้สว. เป็น “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” สว. มีอำนาจที่สำคัญ คือการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการองค์กรอิสระ และตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงตามที่กฎหมายกำหนด ภายในวาระห้าปีของสว. ชุดนี้ จะมีโอกาสให้ความเห็นชอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการในองค์กรอิสระคนใหม่ได้ “เกินครึ่ง” และสว. ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เดินหน้าไปได้หรือไม่ได้ เพราะในการลงมตินอกจากต้องใช้เสียง “ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง” ของสองสภาแล้ว ต้องได้เสียงสว. “เห็นชอบ” ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของ หรืออย่างน้อย 67 เสียง

กกต. ไม่อธิบายกติกาให้ชัดเจน ส่งผลต่อความเป็นธรรมในการเลือก
จากการติดตามการจัดการเลือกสว. ภายใต้ระบบพิเศษนี้ พบว่า กติกาที่มีอยู่นั้นขาดความชัดเจน ผู้สมัคร ประชาชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ขาดความเข้าใจจนติดตามและทำตามไม่ถูก ปัญหาจากความสับสนทำให้เกิดการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกันและส่งผลต่อความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้สมัครอย่างน้อยสามด้าน คือ ด้านคุณสมบัติของผู้สมัครในแต่ละกลุ่ม ด้านวิธีการจัดการเลือก และด้านประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ในการจัดการเลือกจริง
1) ด้านคุณสมบัติของผู้สมัครในแต่ละกลุ่ม
ก่อนวันเปิดรับสมัครมีคำถามมากมายจากผู้ที่สนใจสมัครสว. เกี่ยวกับคุณสมบัติ เช่น นิยามของการ “ถือหุ้นสื่อ”, นิยามของลูกจ้างหน่วยงานรัฐ, นิยามของผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง, ซึ่งกกต. ไม่เคยตอบให้ชัดเจน ทำให้ผู้ที่ประสงค์ลงสมัครไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสมัครได้หรือไม่ และจะถูกดำเนินคดีตามมาหรือไม่หาก จนกระทั่งหลังเปิดรับสมัครห้าวันระหว่างวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2567 มีผู้สมัครทั้งหมด 48,117 คนทั่วประเทศ น้อยกว่าที่กกต. เคยคาดการณ์ไว้เกือบเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าความไม่ชัดเจนเหล่านี้ทำให้การมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกสว. อยู่ในระดับต่ำ
ความไม่ชัดเจนเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ยังมีปัญหามากในประเด็นว่า บุคคลใดจะสมัครในกลุ่มใดได้บ้าง แม้กกต. จะออกประกาศมาขยายความเพิ่ม แต่ก็ทำให้กว้างขึ้นมากกว่าจะให้นิยามที่ชัดเจน โดยตามระเบียบ กกต. ต้องการแค่มี “ใครก็ได้” มารับรองหนึ่งคน ก็สามารถสมัครในกลุ่มนั้นๆ ได้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่มีผู้สมัครที่ไม่ได้มีอาชีพหรือประสบการณ์ตรงกับกลุ่มที่สมัครหลายกรณี จนกลายเป็นระบบแบ่งกลุ่มที่ “มั่ว” และไม่เป็นธรรมต่อผู้สมัครที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจริงๆ
ตัวอย่างเช่น กลุ่ม 10 ผู้ประกอบกิจการอื่น ซึ่งไม่ได้มีคำอธิบายไว้ว่ากิจการในกลุ่มนี้ต้องมีลักษณะใด จึงมีทั้งผู้สมัครที่ประกอบกิจการขนาดใหญ่กว่า SMEs ขึ้นไป มาแข่งขันกับผู้สมัครที่ค้าขายขนาดเล็กมากๆ ในกลุ่ม 12 ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ก็มีทั้งเจ้าของโรงงานขนาดใหญ่กับลูกจ้างที่เคยทำงานในโรงงานมาสมัครแข่งกัน ในกลุ่ม 17 ประชาสังคม ระดับประเทศเต็มไปด้วยผู้สมัครที่แนะนำตัวว่า เคยทำกิจกรรม “บำเพ็ญประโยชน์” อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อพปร.) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมาสมัครเป็นจำนวนมาก ขณะที่กลุ่ม 20 อื่นๆ เต็มไปด้วยผู้สมัครที่สามารถสมัครในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้อยู่แล้ว เช่น ข้าราชการ ครู เกษตรกร เป็นต้น ส่วนคนที่ประกอบอาชีพ “อื่นๆ” จริงก็ไม่มีพื้นที่ที่จะแข่งขันได้
นอกจากกกต. จะไม่ได้ให้คำนิยามคุณสมบัติของผู้สมัครที่ชัดเจนแล้ว ยังไม่พยายามตอบคำถามของผู้สมัครและประชาชน และไม่มีคำอธิบายขั้นตอนที่ชัดเจนว่า ใครมีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครแต่ละกลุ่มภายในเวลาใด และกกต. ก็ไม่ได้สั่งตัดสิทธิผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติก่อนการเลือก ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมและไม่เป็นธรรมในการแข่งขันกัน
2) ด้านวิธีการจัดการเลือก
คำถามที่ผู้สมัครทุกคนค้างคาในใจ คือ จะมีโอกาสทำความรู้จักผู้สมัครคนอื่นได้อย่างไร ซึ่งกกต. ไม่เคยอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดในทุกเวที นอกจากคำขู่ว่าห้ามโฆษณาหาเสียง ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่แต่ละอำเภอกำหนดวันนัดให้ผู้สมัครไปรับเอกสารสว.3 ของผู้สมัครคนอื่น ซึ่งบางแห่งแจกเอกสารของผู้สมัครทุกคน บางแห่งแจกเอกสารเฉพาะผู้สมัครในกลุ่มเดียวกัน
ในวันเลือกจริงระดับอำเภอ มีความแตกต่างเรื่องโอกาสของผู้สมัครในการพูดคุยแนะนำตัวก่อนการลงคะแนน เช่น ที่เขตดินแดงและเขตพญาไท กทม. เจ้าหน้าที่จัดสรรเวลาและพื้นที่ให้ผู้สมัครพูดคุยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ที่อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ห้ามแต่ไม่จัดสรรเวลาให้จึงคุยกันได้นิดหน่อย ที่อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าหน้าประกาศว่าให้นั่งโดยสงบอยู่ในกลุ่มของตัวเอง การคุยกันจึงเกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนในวันเลือกระดับประเทศ ผู้สมัครจำนวนหนึ่งคาดหมายว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกันก่อนตัดสินใจลงคะแนน แต่เจ้าหน้าที่เข้มงวดเป็นพิเศษ มีคำสั่งห้ามคุยกันและห้ามเดินลุกออกจากที่นั่งตัวเองอย่างเด็ดขาด ซึ่งการมีโอกาสได้พูดคุยกันเองของผู้สมัครนั้นส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนได้มาก แต่ขั้นตอนนี้กลับปฏิบัติได้แตกต่างกันมากโดยไม่มีการเขียนไว้ในกฎหมายใดและการอธิบายที่ชัดเจนจากกกต. ส่วนกลาง
การพักทานอาหาร หรือการพักไปเข้าห้องน้ำระหว่างกระบวนการเลือก ก็เป็นช่องทางที่ผู้สมัครอาจใช้พูดคุย “ล็อบบี้” กันเองหรือติดต่อกับคนภายนอก ซึ่งเจ้าหน้าที่แต่ละแห่งก็ปฏิบัติแตกต่างกันไป เช่น ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สถานที่เลือกมีห้องน้ำอยู่ในตัวซึ่งบุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่ผู้สมัครที่เข้าห้องน้ำต้องมีเจ้าหน้าที่พาไปทุกครั้ง ส่วนที่อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สถานที่เลือกเป็นห้องประชุมซึ่งห้องน้ำอยู่ด้านนอก บุคคลภายนอกสามารถใช้ห้องน้ำแห่งเดียวกันได้ ผู้สมัครที่เข้าห้องน้ำสามารถเดินออกไปได้เลยโดยไม่มีเจ้าหน้าที่พาไป
ก่อนการเลือกระดับอำเภอเพียงเก้าวัน ซึ่งผู้สมัครผ่านการศึกษาอบรมและทำความเข้าใจระบบการเลือกมาอย่างดีแล้ว กกต. กลับออกระเบียบ กกต. ฉบับที่สอง เปลี่ยนรูปแบบบัตรลงคะแนนแบบ “เลือกไขว้” ให้เลือกใบละหนึ่งหมายเลข และแก้ไขลักษณะของบัตรดี-บัตรเสียบางส่วน จนทำให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศต้องเตรียมการซักซ้อมกันใหม่ทั้งหมด อีกทั้งบัตรลงคะแนนที่เปลี่ยนรูปแบบใหม่ก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาการลงคะแนนที่ต้องเป็นความลับ ในวันเลือกจริง ในบรรดาผู้สมัครที่นั่งดูการนับคะแนนสามารถคาดเดาได้ว่า ใครลงคะแนนให้ใครโดยเฉพาะกลุ่มที่มีผู้สมัครน้อยหรือมีคนเดียว
นอกจากนี้ในคืนก่อนวันเลือกระดับอำเภอ กกต. ยังแจ้งเจ้าหน้าที่ทุกอำเภอเพื่อเปลี่ยนวิธีการนับคะแนน ให้สายที่มีกลุ่มที่มีผู้สมัครคนเดียวใช้หีบเลือกตั้งสายละหนึ่งหีบ จากเดิมที่มีจำนวนหีบเท่ากับจำนวนกลุ่ม เรียกได้ว่า ก่อนวันเลือกจริงมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องบัตรและหีบ ทำให้เกิดความสับสนสำหรับทั้งเจ้าหน้าที่และผู้สมัคร
3) ด้านประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ในการจัดการเลือกจริง
ในวันรับสมัครพบปัญหาว่า เจ้าหน้าที่หลายพื้นที่ยังไม่เข้าใจกติกาการสมัครสว. ที่ดีพอ ตอบคำถามข้อสงสัยไม่ได้ มีการสั่งให้ยื่นเอกสารหลักฐานที่ไม่ต้องใช้ เช่น สูติบัตร ใบรับรองการทำงาน มีปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ล่มทำให้ผู้สมัครในวันแรกต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง รวมทั้งการจ่ายค่าสมัครที่ต้องใช้เงินสดหรือแคชเชียร์เช็คไม่สามารถโอนได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติของผู้สมัครแต่ละพื้นที่ และยังพบปัญหาที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้รักษาความลับทำให้ผู้สมัครบางคนล่วงรู้ข้อมูลการสมัครของคนอื่นล่วงหน้าได้
วันเลือกในทุกระดับยังประสบปัญหาความล่าช้าในการเลือก เนื่องจากระบบของกกต. จำเป็นต้องพิมพ์ใบสมัครใบใหม่ระหว่างการเลือกจากฐานข้อมูลกลาง เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เวลาในการเลือกสว. สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แปดชั่วโมงจนถึง 24 ชั่วโมง ยาวนานจนกลายเป็นข้อครหาใหญ่ทั้งจากผู้สมัครและประชาชนที่รอคอยผลการเลือกสว.

ประชาชนถูกกันออก กกต. ไม่สร้างช่องทางให้เกิดการมีส่วนร่วม
ระบบการ “เลือกกันเอง” ในหมู่ผู้สมัครนั้นกีดกันประชาชนส่วนใหญ่ออกจากการเลือกสว. ไปแล้ว แต่หากกกต. มีความจริงใจที่จะออกแบบระบบให้ประชาชนสามารถติดตามกระบวนการอย่างใกล้ชิด แสดงความคิดเห็นได้ เข้าถึงข้อมูลได้อย่างเต็มที่ ช่วยจับตาความผิดปกติและแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ ก็ยังทำให้การเลือกสว. มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนได้บ้าง แต่ในความเป็นจริงกกต. กลับทำตรงกันข้าม
ประชาชนจะใกล้ชิดกับผู้สมัครสว. ได้ผ่านการแนะนำตัวหรือการหาเสียง แต่กกต. ซึ่งมีเวลาหลายปีกลับไม่ออกระเบียบให้ทุกคนเข้าใจได้แน่ชัดว่า การแนะนำตัวจะทำได้ภายใต้กฎเกณฑ์ใดบ้าง ทำให้ผู้ที่เตรียมตัวลงสมัครไม่กล้าประกาศตัวต่อสาธารณะ และเกิดบรรยากาศ “อึมครึม” อยู่หลายเดือน จนกระทั่งวันที่ 26 เมษายน 2567 จึงออกระเบียบที่จำกัดการแนะนำตัวแค่สองหน้ากระดาษเอสี่ และห้ามแนะนำตัวต่อประชาชนทั่วไป ให้แนะนำตัวต่อผู้สมัครเท่านั้น และให้ระเบียบมีผลบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้นทันที ทำให้ปิดกั้นการรับรู้เกี่ยวกับการเลือกสว. ลงทันทีอย่างเงียบสงัด
ต่อมาผู้สมัครสว. จำนวนหนึ่งไปฟ้องศาลปกครอง ระหว่างนั้นกกต. ก็แก้ไขระเบียบไปบางส่วน และกว่าที่ศาลปกครองจะเพิกถอนระเบียบดังกล่าว ในอีกหนึ่งเดือนถัดมาด้วยเหตุว่า กกต. ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะออกสั่งห้ามเช่นนี้ได้ ก็พ้นช่วงเวลาของการรับสมัครไปแล้ว ทำให้หนึ่งเดือนก่อนการเลือกสว. เกิดความสับสน ผู้สมัครเองก็ไม่รู้ว่า จะแนะนำตัวด้วยวิธีใดได้บ้าง ประชาชนเองก็ขาดข้อมูลที่จะติดตามว่ามีผู้ใดลงสมัครสว. บ้างในกลุ่มใด ที่อำเภอใด
สำหรับการเปิดให้ประชาชนเข้าสังเกตการณ์การเลือกก็เป็นไปอย่างจำกัดมาก โดยกกต. แจ้งต่อสาธารณะเชิญชวนให้เข้าสังเกตการณ์ แต่ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่แต่ละแห่งต้อนรับผู้สังเกตการณ์แตกต่างกัน ไม่มีมาตรฐานที่อ้างอิงได้
ระดับอำเภอ ไอลอว์ยื่นหนังสือขออนุญาตเข้าสังเกตการณ์ แต่คำตอบที่ได้รับก็ไม่ได้อนุญาตให้ชัดเจน บางแห่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปดูได้ใกล้ชิด เช่น อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี, เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร บางแห่งต้องนั่งรอด้านนอก เช่น เขตดินแดง, เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร บางแห่งไม่ให้เข้า แต่ให้นั่งรอในจุดที่พอมองเห็นได้จากระยะไกล เช่น อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์, อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ
ระดับจังหวัด แม้จะยื่นหนังสือขออนุญาตเข้าสังเกตการณ์ล่วงหน้า แต่ทางปฏิบัติที่แตกต่างกันมาก หลายจังหวัดอำนวยความสะดวกให้ผู้สังเกตการณ์เข้าไปดูอย่างใกล้ชิด เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น พระนครศรีอยุธยา ส่วนที่กรุงเทพมหานครผู้สังเกตการณ์ติดตามดูไม่ได้เลย และยังเกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นหลายเรื่องโดยที่ไม่มีพยานรู้เห็น
ระดับประเทศ การเลือกที่อิมแพ็คฟอรั่ม มีคนใกล้ชิดผู้สมัคร ประชาชนและสื่อมวลชน ไปรอติดตามนับพันคน แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูเลย มีเพียงจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ที่ถ่ายทอดภาพจากกล้องมุมเดียวมาให้ดูเป็นพักๆ โดยไม่มีเสียง ผู้ที่ติดตามไม่สามารถมีส่วนร่วมได้ ส่วนผู้สังเกตการณ์จากทุกองค์กรที่ยื่นหนังสือขออนุญาตถูกจำกัดให้เข้าได้ 15 คน และให้นั่งในระยะไกล มองไม่เห็นกระบวนการเลือกและการนับคะแนน
แม้กกต. มีหน้าที่ต้อง “บันทึกภาพและเสียง” ของกระบวนการเลือกทั้งหมดเอาไว้ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ผู้สังเกตการณ์ได้สอบถามมีเพียงการบันทึกภาพแค่บางมุมโดยไม่ได้บันทึกเสียงซึ่งไม่เห็นภาพกระบวนการเลือกและการนับคะแนนทั้งหมด การถ่ายทอดให้ประชาชนดูก็ดูสดได้เพียงบางมุมเท่านั้น ในการสังเกตการณ์ระดับอำเภอ 29 แห่งพบว่า มีอำเภอที่ถ่ายทอดภาพให้ดูโดยไม่มีเสียง 21 แห่ง มีการถ่ายทอดทั้งภาพและเสียง 7 แห่ง และไม่มีทั้งภาพและเสียงเลย 1 แห่ง จนกระทั่งหลังการเลือกเสร็จแล้วกกต. ก็ไม่ได้เผยแพร่บันทึกภาพและเสียงให้เข้าถึงได้ ประชาชนจึงไม่สามารถติดตามตรวจสอบกระบวนการเลือกสว. ได้จริง
นอกจากนี้ หากประชาชนต้องการร่วมตรวจสอบความโปร่งใสก็ยังไม่มีช่องทางที่จะเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญได้ เช่น ข้อมูลคะแนนดิบจากการเลือกทุกระดับ เอกสารสว.3 ของผู้สมัครตั้งแต่ระดับอำเภอซึ่งภายหลังการเลือกแต่ละระดับก็ถูกนำออกจากเว็บไซต์ของกกต. หรือความคืบหน้าของการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกว่า 600 เรื่องที่กกต. ต้องดำเนินการสืบสวน

ผลลัพธ์ชัดเจน กลุ่ม “สีน้ำเงิน” คะแนนลอยลำทิ้งห่าง ข้าราชการยึดสภา
แม้ระบบการเลือกสว. ครั้งนี้จะออกแบบให้ “แบ่งกลุ่ม” ผู้สมัครตามอาชีพและประสบการณ์ โดยหวังว่าจะได้ตัวแทนที่มีความหลากหลาย และแบ่งการเลือกจากระดับอำเภอ ระดับจังหวัด โดยหวังจะให้โอกาสทุกพื้นที่เท่าเทียมกัน แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้เกิดความเป็นธรรมทางอาชีพและพื้นที่ เพราะพบว่า จากผู้ได้รับเลือกเป็นสว. 200 คน เป็นผู้ประกอบธุรกิจระดับ “นายทุน” 58 คน เป็นอดีตข้าราชการ 46 คน ซึ่งมีทั้งอดีตครู-อาจารย์ 17 คน อดีตผู้ว่าราชการ-รองผู้ว่าราชการจังหวัด 10 คน และมีถึง 13 จังหวัดที่ไม่มีสว. เลย มี 8 จังหวัดมีสว. คนเดียว มี 24 จังหวัดมีสว. สองคน ขณะที่บุรีรัมย์จังหวัดเดียวมีสว. 14 คน สุรินทร์และพระนครศรีอยุธยามีสว. 7 คน
ในแง่อายุของสว. ก็ไม่กระจายตัว เพราะกว่าครึ่งอายุอยู่ระหว่าง 60-69 ปี และ 58% อายุมากกว่า 60 ปี ส่วนในแง่ของเพศ แม้จะมีโคว้ต้า “กลุ่มสตรี” 10 คนแล้วก็ยังมีผู้หญิงทั้งหมด 45 จาก 200 คน ในแง่ความหลากหลาย กลุ่ม 15 ที่มีโควต้าสำหรับคนกลุ่มเปราะบาง “ผู้สูงอายุ คนพิการ ชาติพันธุ์” รวมกลุ่มอัตลักษณ์ทางเพศ ผลสุดท้ายตัวแทนกลุ่มนี้ได้เป็นผู้สูงอายุทั้งหมด ส่วนกลุ่ม 16 “ศิลปวัฒนธรรม ดนตรี กีฬา” ก็ได้คนจากสายกีฬา 6 จาก 10 คน ไม่มีตัวแทนสายดนตรีเลย
แม้ในระหว่างกระบวนการเลือกประเด็นที่สังคมพยายามจับตา คือ มีการ “ฮั้ว” กันในหมู่ผู้สมัครหรือไม่ แต่ในการเลือกระดับประเทศกลับปรากฏข้อมูลความผิดปกติที่แจ่มแจ้งชัดเจนหลายประเด็น เช่น
- ในรอบเลือกกันเองมีกลุ่มที่คะแนนสูงมากๆ ระหว่าง 30-50 คะแนน ทิ้งห่างจากผู้สมัครส่วนใหญ่
- มี 8 จังหวัดที่มีผู้เข้ารอบเลือกไขว้เกือบทั้งจังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สตูล เลย อำนาจเจริญ ยโสธร สุรินทร์ ซึ่งล้วนเป็นจังหวัดที่มีสส. จากพรรคภูมิใจไทย
- มีผู้สมัครจำนวนมากที่ไม่มีคะแนนเลย ไม่เลือกตัวเอง ซึ่งเป็นผู้สมัครจากจังหวัดที่มีสส. จากพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ โดยเห็นชัดว่าใครเป็นผู้เสียสละ
- ในรอบเลือกไขว้ มีผู้สมัครที่ได้คะแนน “ล้นกระดาน” เกาะกลุ่มกันอย่างน่าผิดสังเกตกลุ่มละ 6 คนเท่าๆ กัน
- พบปรากฏการณ์ “ดาวค้างฟ้า” มีผู้สมัครสว. ที่ได้คะแนน “ทิ้งห่าง” ชนะแบบลอยลำทุกระดับจนได้เป็นสว. ซึ่งก็มาจากกลุ่มจังหวัดนำนั่นเอง
- พบการลงคะแนนเป็น Pattern เรียงหมายเลขเหมือนกันทั้งหมด และผู้สมัครที่ได้รับเลือกจากระบบนี้ก็มาจากกลุ่มจังหวัดนำนั่นเอง
จากปรากฏการณ์ที่เห็นผลคะแนนในการเลือกเช่นนี้ ทำให้เชื่อได้ว่ามีสว. ที่เกาะกลุ่มกันแล้วได้คะแนนแบบ “ลอยลำ” ราว 120 คน ที่เรียกกันว่า สว. “สีน้ำเงิน” เมื่อรวมกับสว. ที่คะแนนไม่ได้ทิ้งห่างแต่มาจากจังหวัดในกลุ่มเดียวกันแล้วก็มีสว. กลุ่มนี้ประมาณ 140 คน เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่ค่อนข้างเด็ดขาดในการลงมติทุกครั้ง
แม้ว่าจะมีข้อร้องเรียนจากผู้สมัครสว. จำนวนมากถึงการกระบวนการเลือกที่ไม่เป็นธรรม แต่การเลือกสว. ตามระบบนี้ผู้ที่จะถูกเอาผิดและตัดสิทธิได้ก็ต้องมีหลักฐานว่า มีการให้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับการเลือก หรือ “ซื้อเสียง” เท่านั้น รวมทั้งมีกรณีของสว. หลายคนที่ได้คะแนนลอยลำแต่ไม่ชัดเจนว่า มีคุณสมบัติที่จะสมัครในกลุ่มนั้นๆ ได้ ซึ่งทางกกต. ก็ไม่ได้ตรวจสอบ หรือมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบว่า สว. เหล่านี้มีคุณสมบัติถูกต้องอย่างไร แต่รับรองผลการเลือกสว. ครั้งนี้ออกมาว่า “เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม”
การเลือกสว. ที่ผ่านไปในปี 2567 ด้วยระบบ “แบ่งกลุ่ม” และ “เลือกกันเอง” จึงมีปัญหาทั้งในแง่การออกแบบระบบที่ประชาชนไม่ได้ร่วมตัดสินใจเลือกคนที่จะมาเป็นสว. ไม่ได้ให้โอกาสอย่างเป็นธรรมกับคนทุกกลุ่มทุกพื้นที่ เมื่อดำเนินการเลือกในทางปฏิบัติก็พบปัญหาในทางปฏิบัติจากการทำงานของกกต. เอง ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่างผู้สมัคร โดยประชาชนไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมติดตามตรวจสอบด้วย และผลที่ได้ออกมาก็เห็นได้ว่า กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองสามารถยึดเสียงส่วนใหญ่ในสว. ได้อย่างง่ายดาย ได้เป็นผลลัพธ์ที่ตรงข้ามกับเจตนารมณ์ของผู้ที่ออกแบบระบบนี้ขึ้นมา
ระบบการเลือกสว. เช่นนี้ไม่ทำให้ได้มาซึ่งตัวแทนของประชาชนทุกกลุ่ม และปราศจากการแทรกแซงของกลุ่มการเมือง หากจะต้องมีการเลือกสว. ด้วยระบบนี้อีก คนที่ไม่มีอิทธิพลหรือเครือข่ายก็จะไม่มีแรงจูงใจในการสมัคร ขณะที่กลุ่มการเมืองก็จะพยายามมากขึ้นที่จะจัดตั้งคนเข้าแข่งขันในระบบนี้โดยอาศัยบทเรียนของการเลือกในปี 2567 และไม่มีทางที่จะได้ตัวแทนที่มีความหลากหลายไปทำหน้าที่ออกกฎหมายหรือตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของสส. และรัฐบาล
