รัฐธรรมนูญ 2560 นำเสนอเครื่องมือชิ้นหนึ่งเป็นครั้งแรก คือ “บัญชีว่าที่นายกฯ” ที่บังคับให้คนที่จะมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีต้องถูกเสนอชื่อไว้ก่อนเลือกตั้ง พร้อมกับขวากหนามจำนวนมากเอาไว้ถอดถอนนายกฯ ที่ไม่ถูกใจ ซึ่งหากถูกถอนกันไปจนหมดจากบัญชีก็จะนำการเมืองเข้าสู่ทางตันโดยที่กฎหมายตั้งใจออกแบบไว้
รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 88 กำหนดว่า เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (สส.) ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง แจ้งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่า จะเสนอให้สส. พิจารณาให้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนปิดการสมัครรับเลือกตั้ง และให้ กกต. ประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ พรรคการเมืองที่ลงสนามเลือกตั้งจะเสนอรายชื่อแค่หนึ่งหรือสองคนก็ได้ และจะไม่เสนอรายชื่อบุคคลเพื่อเป็นนายกฯ ของพรรคเลยก็ได้
ทุกคนที่จะอยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรี ต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือแก่พรรคการเมืองนั้นก่อน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองและไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส. พรรคการเมืองไม่อาจเสนอชื่อบุคคลมีชื่อเสียงต่างๆ ในสังคมขึ้นมาเองโดยไม่ได้รับความยินยอม และทุกคนจะถูกเสนอได้โดยพรรคการเมืองพรรคเดียวเท่านั้น
รัฐธรรมนูญ บังคับนายกฯ ต้องเลือกจากบัญชีของพรรคใหญ่เท่านั้น
รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 159 ยังกำหนดด้วยว่า หลังการเลือกตั้ง สส. ต้องพิจารณาเห็นชอบบุคคลที่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี จากบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอไว้เท่านั้น และนายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากบัญชีของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกตั้งเป็น สส. ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือพรรคการเมืองนั้นต้องมี สส. อย่างน้อย 25 คน จึงจะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในบัญชีของตัวเองได้ นอกจากนี้ การเสนอชื่อนายกฯ ต้องมี สส. รับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือ ต้องมี ส.ส. อย่างน้อย 50 คน
กลไกบัญชีว่าที่นายกฯ เป็นกลไกที่มีครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2560 และใช้มาแล้วสองครั้งในการเลือกตั้งปี 2562 และการเลือกตั้งปี 2566 ซึ่งฝ่ายสนับสนุนรัฐธรรมนูญอธิบายว่า กลไกนี้มีขึ้นเพื่อให้ประชาชนรับรู้และคาดหมายได้ว่า หากลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองนั้นๆ แล้วจะได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ไม่เคยมีกลไกเช่นนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 กำหนดให้ “นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง” หรือ ต้องเป็น สส. และมีธรรมเนียมว่า ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่งของพรรคการเมือง คือ “ว่าที่นายกฯ” ของพรรคการเมืองนั้น ซึ่งเราจะเห็นว่า หลังการเลือกตั้ง ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่งของพรรคที่ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ ทักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทย, สมัคร สุนทรเวช พรรคพลังประชาชน และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย

รัฐธรรมนูญ ยังสร้างขวากหนามไว้กำจัดนายกฯในบัญชี
ลำพังเพียงบัญชีว่าที่นายกฯ อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ทางการเมือง ถ้าหากการเลือกตั้งเป็นไปโดยปกติและพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลเพื่อดำเนินตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ยังเต็มไปด้วย “ขวากหนาม” ที่ออกแบบเอาไว้เพื่อจำกัดอำนาจของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งให้ต้องดำเนินนโยบายตามแบบแผนของกลุ่มผู้ร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น หากผู้ที่ชนะการเลือกตั้งกล้าที่จะ “คิดนอกกรอบ” ก็กลไกอีกมากมายที่จะใช้ถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ เช่น
- เงื่อนไขการยุบพรรคการเมืองที่กว้างขวาง และเกิดขึ้นได้ง่ายโดยมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้วินิจฉัยว่าพรรคการเมืองใดจะถูกยุบได้บ้าง ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 วางเงื่อนไขการยุบพรรคการเมืองไว้ถึง 21 ข้อ เช่น สนับสนุนให้ผู้ใดกระทําการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน, ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกพรรค ควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรค, กระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งหากพรรคการเมืองใดถูกสั่งยุบพรรค บัญชีว่าที่นายกฯ ของพรรคการเมืองนั้นก็จะถูกยุบไปพร้อมกับสถานะของพรรคการเมืองด้วย
- มาตรฐานทางจริยธรรม ที่เขียนไว้อย่างกว้างขวางสามารถตีความเอาผิดได้ทุกกรณี เป็นกลไกใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 219 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันร่างขึ้น และใช้บังคับกับ สส., สว. รวมทั้งคณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งในมาตรฐานทางจริยธรรมฉบับนี้ ใช้คำกว้างๆ ที่มีความหมายครอบคลุมได้หลากหลาย เช่น ต้องถือผลประโยขน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน, ประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน, อุทิศเวลาแก่ทางราชการ ฯลฯ หากนายกรัฐมนตรีคนใดที่เข้าสู่ตำแหน่งด้วยการเลือกตั้ง แต่ป.ป.ช. และศาลฎีกานักการเมืองฯ เห็นว่า ไม่เหมาะสมที่จะให้ดำรงตำแหน่ง ก็อาจใช้เหตุว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม “อย่างร้ายแรง” โดยการตีความถ้อยคำที่กว้างขวางเพื่อให้พ้นจากตำแหน่งได้
- มาตรา 144 ข้อกำหนดใหม่ที่ห้ามการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สส. สว. หรือกรรมาธิการ มีส่วนในการใช้งบประมาณ ซึ่งมาตรานี้มีขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกรัฐสภาเข้าไปมีส่วนไม่ว่าจะในทางตรงหรือในทางอ้อมต่องบประมาณรายจ่ายประจำปี หากใครฝ่าฝืน ให้สส. หรือสว. จำนวนหนึ่งในสิบ ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และหากเห็นว่า สส. สว. หรือคณะรัฐมนตรีแปรญัตติการใช้งบประมาณที่ความผิด ก็ถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งได้
- แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ของคสช. ซึ่งเป็นภาพฝันของการพัฒนาประเทศไปในอนาคตตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้แต่งตั้งคนของตัวเองมาเป็นผู้ยกร่างและจัดทำแผนการเหล่านี้ขึ้น ซึ่งรัฐธรรมนูญยังกำหนดว่า ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องแถลงนโยบาย และเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับตัวยุทธศาสตร์ของคสช. ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า กรอบที่แผนยุทธศาสตร์กำหนดไว้ จะสำคัญกว่านโยบายของพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นผู้เลือกมา กรณีที่นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งไม่ดำเนินการหรือปฏิบัติตามตามแผนยุทธศาสตร์ชาติหรือแผ่นแม่บท อาจถูกส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองพิจารณาให้พ้นไปจากตำแหน่งได้
กระบวนการที่เป็นขวากหนามสำหรับนักการเมืองเหล่านี้ มีองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจวินิจฉัย ได้แก่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งองค์กรเหล่านี้ตามรัฐธรรมนูญเขียนไว้ให้มีที่มาคล้ายกัน โดยมีคณะกรรมการสรรหาที่มีตัวแทนจากองค์กรเหล่านี้หมุนเวียนเก้าอี้กันทำหน้าที่สรรหา และสุดท้ายจะส่งชื่อให้สว. เป็นผู้ลงมติอนุมัติ ซึ่งสว. ชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ก็มีที่มาจากคณะรัฐประหารและคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ สว. ชุดต่อมาก็มาจากกระบวนการเลือกกันเองที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม และได้ผลลัพธ์เป็นสว. สีน้ำเงินที่มีความสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทย
ดังนั้น กระบวนการตรวจสอบนักการเมืองด้วยกลไกตามรัฐธรรมนูญ 2560 เหล่านี้จึงเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปโดยกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นอิสระจากอำนาจทางการเมือง และเป็นกระบวนการที่ใช้ต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
หากสอยแคนดิเดตนายกฯ หมดแล้ว ก็จะเป็นทางตัน
เมื่อรัฐธรรมนูญ กำหนดชัดเจนว่า ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องอยู่ในบัญชีของพรรคการเมืองที่เสนอไว้ก่อนเลือกตั้ง หมายความว่า หากไม่มีบุคคลในบัญชีของพรรคการเมืองที่มีสิทธิเหลืออยู่ก็ไม่สามารถตั้งนายกรัฐมนตรีได้ตามรัฐธรรมนูญนี้
ขณะที่อีกด้านหนึ่งรัฐธรรมนูญก็ออกแบบกลไกมากมายที่จะถอดถอนและตัดสิทธินักการเมือง อย่างในปี 2567 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล บัญชีว่าที่นายกฯ ของพรรคจึงถูกยุบไปด้วย ทำให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ คนเดียวของพรรคต้องหมดสิทธิทันที และต่อมาก็สั่งถอดถอนเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ข้อหาไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดสองพรรคต้องหมดสิทธิไป
ในปี 2568 แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยคนที่สอง ยังถูกยื่นเรื่องให้สอบสวนตามมาตรา 144 ด้วยเหตุที่การแปรญัตติงบประมาณมาจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ตตามนโยบายรัฐบาล และยังถูกยื่นเรื่องถอดถอนเพราะฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ปมคลิปเสียงที่คุยกับผู้นำของกัมพูชา ซึ่งคำร้องทั้งสองเรื่องอาจจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีรัฐธรรมนูญ 2560 และกลไกจำกัดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งเหล่านี้
สถานการณ์ทางการเมืองในเดือนมิถุนายน 2568 เดินเข้าสู่คำถามว่า จะเกิดทางตันหรือสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งตามกฎหมายแล้วทางตันยังไม่มีโอกาสเกิดขึ้นในห้วงเวลานี้ เพราะพรรคเพื่อไทยยังมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งคน คือ ชัยเกษม นิติสิริ ที่ถูกเสนอชื่อไว้ก่อนการเลือกตั้ง (เพื่อเป็นตัวสำรองกรณีฉุกเฉิน) อยู่แล้ว หากแพทองธารชินวัตรถูกถอดถอน หรือตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง หรือมีเหตุอื่นให้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ก็ยังไม่เกิดทางตัน แต่ด้วยขวากหนามทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ไม่แน่ชัดว่า แพทองธารจะถูกถอดถอนหรืดตัดสิทธิหรือไม่ และไม่แน่ว่า ชัยเกษม จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่
แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เสนอชื่อไว้ก่อนเลือกตั้งที่เหลืออยู่ก็คือ อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ และจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งสองพรรคหลังก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่มีปัญหาความขัดแย้งภายในจนไม่แน่ชัดว่า เหลือสส. อยู่ในมือถึงเกณฑ์ 1 ใน 5 ที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ และจะมีสส. รับรองเพียงพอถึง 50 คนเพื่อให้เสนอชื่อได้หรือไม่
ส่วนอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เพิ่งลาออกจากการร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ก็ยากที่จะรวบรวมเสียงสส. ได้เกินครึ่งหนึ่งของสส. ทั้งหมดที่มีอยู่ ถ้าหากพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยไม่ลงคะแนนให้ ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ ยังเป็นตัวสอดแทรกได้ เพราะหลังเลือกตั้งได้สส. เกินโควต้าแต่มี “กลุ่มธรรมนัส” ที่ย้ายออกไปตั้งเป็นพรรคกล้าธรรมทำให้มีเสียงสส. ไม่พอ หากสามารถ “ดูดสส.” กลับมาได้คนมีสส. ถึงเกณฑ์ก็ยังอาจถูกเสนอชื่อได้อีกครั้ง
หากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยถูกตัดสิทธิทั้งหมดแล้ว จึงมีความเป็นไปได้น้อยที่จะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่มาจากพรรคการเมืองอื่นในสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ และไม่สามารถเลือกบุคคลอื่นนอกจากบัญชีว่าที่นายกฯ ของพรรคการเมืองต่างๆ ให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เงื่อนไขการมีนายกรัฐมนตรีนอกเหนือจากบัญชีของพรรคการเมือง หรือ “นายกฯคนนอก” ตามมาตรา 272 ก็หมดระยะเวลาแล้วไม่สามารถใช้บังคับได้อีก
ดังนั้น ด้วยข้อกำหนดเรื่องบัญชีว่าที่นายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88, 159 และด้วยขวากหนามต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เพื่อถอดถอนนักการเมืองออกจากตำแหน่ง รัฐธรรมนูญนี้จึงเต็มไปด้วยเครื่องมือที่จะทำให้การเมืองเดินหน้าไปสู่ทางตันได้ หากวันใดที่นายกรัฐมนตรีไม่ใช่คนจากกลุ่มผลประโยชน์เดียวกับผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีโอกาสที่จะต้องเผชิญกับความยากลำบากภายใต้กติกาที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นภาพอนาคตทางการเมืองที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมองเห็นอยู่แล้วและ “จงใจ” เขียนกติกาเพื่อให้ประเทศไทยเดินไปสู่เส้นทางเช่นนี้