ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยเผชิญกับการรัฐประหารถึง 13 ครั้ง ไม่ว่าจะปรากฏในรูปแบบของการใช้แทคติกทางกฎหมายอย่างการรัฐประหาร 1 เมษายน 2476 ที่ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา หรือการรัฐประหารด้วยวิธีการใช้กำลังทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน
“ฝ่าวิกฤติทางการเมือง” คือหนึ่งในข้ออ้างที่คณะรัฐประหารมักยกขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง แม้ว่าตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังมีอีกหลายวิถีทางที่ผู้มีอำนาจทางการเมือง รวมถึงประชาชนจะร่วมกันพาประเทศไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นหรือหาทางออกร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ ผ่านการเลือกตั้ง หรือการทำประชามติ การแก้ไขกติกาที่เป็นอุปสรรคต่อการเมืองการปกครอง เช่นการแก้รัฐธรรมนูญ หรือการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ผลลัพธ์จากประวัติศาสตร์ สะท้อนให้เห็นว่าการรัฐประหาร “ไม่ใช่” ทางออกของประเทศเสมอไป ในทางตรงกันข้าม การรัฐประหารกลับทำให้หลักการประชาธิปไตยในสังคมไทยไม่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซ้ำสิทธิเสรีภาพของประชาชนยังถดถอย
ชวนดูบทเรียนจากในอดีต ทำไมถึงต้อง “ไม่เอารัฐประหาร”

ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย เสียระบบแบ่งแยกอำนาจ
หลักแบ่งแยกอำนาจ เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย แนวคิดของการแบ่งแยกอำนาจ ไม่ใช่เพียงแต่แยกองค์กรที่ทรงอำนาจอธิปไตยออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ออกจากกันเด็ดขาด แต่ทั้งสามฝ่ายต่างมีบทบาท “ตรวจสอบถ่วงดุล-คานอำนาจ” กันด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีบทบาทในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ผ่านการตั้งกระทู้ถาม อภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายบริหาร ถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติได้ผ่านการยุบสภา ส่วนฝ่ายตุลาการ มีบทบาทตีความกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติตรา หากฝ่ายนิติบัญญัติเห็นว่าฝ่ายตุลาการตีความเกินตัวบทกฎหมาย ก็สามารถออกกฎหมายใหม่หรือแก้ไขกฎหมาย เพื่อกำหนดถ้อยคำในตัวบทกฎหมายที่ฝ่ายตุลาการใช้ตีความได้
บทบาทในการใช้อำนาจบริหารเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดหลังคณะรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล อย่างไรก็ตาม จากข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คณะรัฐประหารในอดีตไม่ได้ใช้แค่อำนาจบริหาร แต่ยังมีกรณีที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติหรืออำนาจตุลาการด้วย เรียกได้ว่าใช้อำนาจ “เบ็ดเสร็จ” ในคณะบุคคลกลุ่มเดียว
การใช้อำนาจตุลาการและการใช้อำนาจนิติบัญญัติของคณะรัฐประหารในอดีต เช่น
การใช้อำนาจตุลาการ
ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะรัฐประหาร มีอย่างน้อยห้าฉบับที่ให้อำนาจพิเศษให้คณะรัฐประหารหรือรัฐบาลที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้น ใช้อำนาจในอย่างเบ็ดเสร็จและให้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2502 มาตรา 17 ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2515 มาตรา 17 รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2519 มาตรา 21 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2520 มาตรา 27 รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 44 ซึ่งก็มีคณะรัฐประหารในอดีตที่ใช้อำนาจตามบทบัญญัติเหล่านี้ ออกคำสั่งที่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจตุลาการ ตัวอย่างเช่น
ยุครัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2502 ออกคำสั่งประหารชีวิตประชาชน 76 คน และสั่งจำคุก 113 คน ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ คนที่ถูกลงโทษไม่ใช่เพียงผู้ต้องหาที่ถูกสงสัยว่า กระทำความผิดอาญา อย่างการ ลักทรัพย์ ฆ่าผู้อื่น หรือการวางเพลิงเผาทรัพย์ แต่รวมไปถึงผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหว อย่างการแจกใบปลิวคัดค้านหรือออกความเห็นต่อต้านรัฐบาลด้วย
ในปี 2519 เมื่อพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ ทำรัฐประหารหลังเหตุการณ์ความรุนแรง 6 ตุลาคม 2519 และให้ธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีมาตรา 21 ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2519 ตัวอย่างการใช้อำนาจตุลาการ เช่น วันที่ 21 เมษายน 2520 ธานินทร์ ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ให้ประหารชีวิตฉลาด หิรัญศิริ ให้จำคุกตลอดชีวิต พันโทสนั่น ขจรประศาสน์ พันตรี บุญเลิศ แก้วประสิทธิ พันตรีอิศวิน หิรัญศิริ และพันตรีวิสิษฐ์ คงประดิษฐ์ ในข้อหาสะสมกำลังพลและอาวุธ เพื่อเป็นกบฏ
การใช้อำนาจนิติบัญญัติ
ศาลยุติธรรมไทย เคยรับรองการใช้อำนาจของคณะรัฐประหารและรับรองสถานะของประกาศ-คำสั่งคณะรัฐประหารให้เป็นกฎหมาย ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2496 ระบุว่า “…ข้อเท็จจริงได้ความว่าใน พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศได้เป็นผลสำเร็จ การบริหารประเทศชาติในลักษณะเช่นนี้ คณะรัฐประหารย่อมมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง แก้ไขยกเลิกและออกกฎหมายตามระบบแห่งการปฏิวัติ เพื่อบริหารประเทศชาติต่อไป…” และในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1662/2505 ระบุว่า “คณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งบังคับประชาชนก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย” ผลพวงจากคำพิพากษาข้างต้น ทำให้ในทางปฏิบัติ ประกาศหรือคำสั่งคณะรัฐประหาร มีสถานะเป็นกฎหมาย มีผลบังคับใช้กับประชาชน เทียบเท่าได้กับกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
การใช้อำนาจนิติบัญญัติของคณะรัฐประหาร ปรากฏให้เห็นผ่านการออกประกาศหรือคำสั่งบางฉบับที่มีลักษณะเป็นกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใหม่ หรือกฎหมายที่แก้ไขกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพิ่มอัตราโทษในความผิดหลายฐาน อาทิ ความผิดฐานชิงทรัพย์ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 มาตรา 11 และมาตรา 15 ทวิ
คณะรัฐประหารไปแล้ว แต่ผลผลิตของคณะรัฐประหารอยู่ยาว
แม้คณะรัฐประหารจะพ้นจากอำนาจไปแล้ว หรือเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม แต่ผลผลิตของคณะรัฐประหาร โดยเฉพาะประกาศหรือคำสั่งที่มีสถานะเป็นกฎหมาย จะ “อยู่ยาว” จนกว่ารัฐสภาจะแก้ไขกฎหมายหรือยกเลิกประกาศ-คำสั่งฉบับนั้นไป ตัวอย่างเช่น
- ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 11 มกราคม 2502 กำหนดให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการขจัดความไม่เรียบร้อย หากมีกรณีที่บุคคลเข้าไปปลูกที่อยู่อาศัยหรือที่ตั้งการค้าในพื้นที่ทางสัญจรหรือหรือที่สาธารณสมบัติที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ประกาศฉบับนี้ยังคงมีผลใช้บังคับมา 66 ปี ยังไม่ถูกยกเลิกโดยรัฐสภา (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2568)
- คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา “เพิ่มอัตราโทษ” ความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น ได้แก่ มาตรา 112 มาตรา 118 มาตรา 133 มาตรา 134 มาตรา 135 มาตรา 136 มาตรา 138 มาตรา 198 มาตรา 206 และมาตรา 393 หลังคำสั่งฉบับนี้ ก็ยังไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติจากการเลือกตั้งที่ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติข้างต้นหรือยกเลิกคำสั่งดังกล่าว (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2568)
สำหรับประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหารชุดล่าสุดอย่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 279 การจะยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมบรรดาประกาศ-คำสั่ง คสช. นั้น หากมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางบริหาร การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมสามารถทำได้โดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือมติ ครม. แล้วแต่กรณี แต่ถ้าประกาศ-คำสั่ง มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติ เช่น มีลักษณะเป็นกฎหมาย หรือมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจตุลาการ การจะยกเลิกจะต้องทำเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งหมายความว่าจะต้องเสนอต่อสภาให้พิจารณา และหากพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช. นั้นผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จนประกาศใช้กฎหมาย บรรดาประกาศ-คำสั่ง คสช. ที่ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินั้นๆ ก็จะเป็นอันยกเลิกไป
มีอำนาจพิเศษ รับรองการกระทำคณะรัฐประหาร-เอาผิดไม่ได้
นอกจากในรัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะรัฐประหาร ที่รับรองให้การใช้ “อำนาจพิเศษ” ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ผิด ทั้งใน ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 มาตรา 17 ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2515 มาตรา 17 รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2519 มาตรา 21 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2520 มาตรา 27 รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 44 เมื่อคณะรัฐประหารทำการรัฐประหารแต่ละครั้ง ยัง “ลบล้างความผิดตัวเอง” ด้วยการชิงนิรโทษกรรมตัวเอง เพื่อไม่ให้ต้องรับผิดในฐานกบฏรวมถึงความผิดอื่นๆ ที่เกิดจากการรัฐประหาร
ในบรรดากฎหมายนิรโทษกรรม 23 ฉบับ พบว่ามีกฎหมาย 11 ฉบับที่นิรโทษกรรมให้คณะรัฐประหาร จำนวนนี้ เก้าฉบับเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ แต่ในการรัฐประหารสองครั้งหลัง อันได้แก่ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 บทบัญญัติที่นิรโทษกรรมคณะรัฐประหารถูก “ยกระดับ” ไปเขียนไว้ใน รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 และรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
รัฐประหารหนึ่งครั้ง ตั้งสภาตรายางผ่านกฎหมาย ไม่มีผู้แทนที่ประชาชนเลือกเข้าไปร่วมออกแบบ
เมื่อคณะรัฐประหารเข้ามามีอำนาจ ไม่เพียงแต่ออกประกาศหรือคำสั่งที่มีลักษณะเหมือนออกกฎหมายด้วยตัวเอง แต่จากบทเรียนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย พอจะเห็นรูปแบบที่คณะรัฐประหารทำซ้ำๆ คือกำหนดให้มี “สภาแต่งตั้ง” ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติชั่วคราวแทนรัฐสภาที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
รัฐธรรมนูญชั่วคราวจากคณะรัฐประหารแต่ละฉบับ กำหนดชื่อ อำนาจ จำนวนของสมาชิกสภาแต่งตั้งที่จะทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ แตกต่างกันออกไป ดังนี้
- รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 : ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 กำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 240 คน มาจากการแต่งตั้ง ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่อมาคือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 และทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติควบคู่ไปด้วย
- รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514 : ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 กำหนดให้มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 299 คน มาจากการแต่งตั้ง
- รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 : รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 กำหนดให้มีสมาชิกสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มาจากการแต่งตั้ง จำนวนไม่น้อยกว่า 300 คนแต่ไม่เกิน 400 คน
- รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520 : ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2520 กำหนดให้มี สนช. จำนวนไม่น้อยกว่า 300 คนแต่ไม่เกิน 400 คน มาจากการแต่งตั้ง นอกจากอำนาจพิจารณาร่างกฎหมาย สนช. ชุดนี้ยังมีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คนมายกร่างรัฐธรรมนูญ และส่งให้ สนช. พิจารณา ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521
- รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 : ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2534 กำหนดให้มี สนช. ไม่น้อยกว่า 200 คนแต่ไม่เกิน 300 คน มาจากการแต่งตั้ง นอกจากอำนาจพิจารณาร่างกฎหมาย สนช. ชุดนี้ยังมีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 20 คนมายกร่างรัฐธรรมนูญ และส่งให้ สนช. พิจารณา ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534
- รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 : รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2549 กำหนดให้มี สนช. จำนวนไม่เกิน 250 คน มาจากการแต่งตั้ง
- รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 : รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ 2557 กำหนดให้มี สนช. ไม่เกิน 220 คน มาจากการแต่งตั้ง ต่อมาในปี 2559 แก้ไขเพิ่มเติมจำนวน สนช. เป็นไม่เกิน 250 คน
เมื่อดูผลงานทำงานของสภาแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารชุดล่าสุด แม้ สนช. จะพิจารณากฎหมายอย่างรวดเร็ว ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2561 ระหว่างวันที่ 25-28 ธันวาคม 2561 มีการผลักดันวาระการประชุมพิจารณาร่างกฎหมายมากถึง 67 ฉบับ พิจารณาลงมติร่างกฎหมายอย่างน้อย 47 ฉบับ แต่ไม่ได้หมายความว่า เนื้อหากฎหมายที่ สนช. ผ่านนั้น จะมีคุณภาพหรือถูกพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเสมอไป บทเรียนอย่างเป็นรูปธรรม คือกรณีของพ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2560 ที่กำหนดให้ ผู้ที่ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับและโทษจำคุก จนสร้างความวิตกให้กับชุมชนริมน้ำที่อยู่มาอย่างยาวนาน เช่น ประชาชนหมู่บ้านปันหยี จังหวัดพังงา ที่เป็นหมู่บ้านกลางน้ำ และดำเนินการใช้ชีวิตมากว่า 300 ปี จนสุดท้าย หัวหน้าคสช. ต้องใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ออกคำสั่งแก้ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้
ในทางกลับกัน “สภาแต่งตั้ง” ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือปูทางให้ คสช. “อยู่ยาว” ผ่านการแก้ไขกฎหมาย เช่น แก้ไขรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 กำหนดเงื่อนไขให้ คสช. ตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ ในกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. โดยยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ไป 90 วัน
นอกจากนี้ กฎหมายที่ผ่านการพิจารณา สนช. หลายฉบับ มีเนื้อหาที่ขยายอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน เช่น
- พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 กำหนดให้ผู้ที่จะจัดการชุมนุมต้องแจ้งการชุมนุมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจล่วงหน้า อีกทั้งยังเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแทรกแซงการชุมนุม หรือ ควบคุมวิธีการและพื้นที่ในการชุมนุมได้
- พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 สาระสำคัญคือ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อคัดกรองและปิดกั้นเนื้อหาที่คณะกรรมการเห็นว่าก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี แม้ว่าเนื้อหาดังกล่าวจะไม่ผิดกฎหมายใดๆ เลยก็ตาม
ขณะที่กฎหมายที่มีเนื้อหารับรองสิทธิเสรีภาพประชาชน กลับกลายเป็น “ฝันค้าง” ของประชาชนที่เฝ้ารอกฎหมายนี้ แม้ สนช. จะผลิตกฎหมายออกมาได้รวดเร็ว แต่ไม่ได้มีหลักประกันว่ากฎหมายรับรองสิทธิประชาชนมีโอกาสเข้าสู่การพิจารณาของสภาแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารเสมอไป เช่น
ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ซึ่งมีเนื้อหารับรองสิทธิจดทะเบียนคู่ชีวิตของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผลักดันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจากถึงรัฐบาล คสช. และผ่านความเห็นชอบครม. เมื่อ 25 ธันวาคม 2561 แต่ก็ไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของ สนช. เลย จนครม. รัฐบาลประยุทธ์สอง มาเสนอต่อสภาชุดใหม่หลังเลือกตั้ง 2562 และร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิตตกไปหลังพล.อ.ประยุทธ์ยุบสภา หลังเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ก็ไม่มีการเสนอร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิตอีก แต่เป็นร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แทน
ร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย ถูกเสนอเข้าสู่ สนช. และสนช. พิจารณารับหลักการในวาระหนึ่งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2561 แต่สนช. ก็พิจารณาไม่เสร็จ หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 ครม. และ สส. เสนอร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหายสี่ฉบับเข้าสภา ผ่านการพิจารณาและประกาศเป็นกฎหมาย
เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนถดถอย ถูกปิดปากด้วยการดำเนินคดี
ในห้วงเวลาที่ประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ หนึ่งในเครื่องมือที่คณะรัฐประหารมักนำมาใช้ควบคุมประชาชน คือการ “ปิดกั้น” เสรีภาพในการแสดงออกหลายประการ และ “ปิดปาก” ด้วยการกำหนดบทลงโทษและดำเนินคดีหากบุคคลใดฝ่าฝืนเงื่อนไขตามประกาศหรือคำสั่งที่คณะรัฐประหารออก
รูปแบบการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ปรากฏให้เห็นหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นการห้ามออกนอกเคหสถาน ควบคุมพรรคการเมือง ควบคุมสื่อ ห้ามชุมนุมทางการเมือง และในการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดย คสช. ก็มีการจำกัดเสรีภาพประชาชนผ่านการ “เรียกปรับทัศนคติ” – “เรียกบุคคลให้ไปรายงานตัว” ซึ่งในระยะแรกเป็นการออกคำสั่ง คสช. อย่างเป็นทางการโดยมีการประกาศรายชื่อบุคคลที่ต้องเข้ารายงานตัวผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุรวมทั้งมีการลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา บุคคลที่ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวที่สโมสรกองทัพบก และถูกส่งแยกไปคุมขังในค่ายทหารหลายแห่ง ในระยะหลัง คสช. หลีกเลี่ยงข้อวิจารณ์ถึงการใช้อำนาจ โดยปรับวิธีดำเนินการกับผู้เห็นต่างเป็นการไปพูดคุยที่บ้าน นัดกินกาแฟ หรือนัดเจอในสถานที่สาธารณะแทนการเรียกตัวไปที่ค่ายทหาร
- ห้ามออกนอกเคหสถาน
- รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 : คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 กำหนดห้ามประชาชนในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครออกนอกเคหะสถาน คำสั่งดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดย คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519
- รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520 : ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2520 กำหนดห้ามมิให้ประชาชนในท้องที่กรุงเทพมหานครออกนอกเคหะสถาน ในระหว่างเวลา 01.00 น. ถึง 04.30 น. ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2520
- รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 : ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 3/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เรื่อง ห้ามออกนอกเคหะสถาน
- ควบคุมสื่อ
- รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 : ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 14 เรื่อง การให้เจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมารายงานตัวเพื่อรับฟังการชี้แจงการเสนอข่าว และการควบคุมข่าวหนังสือพิมพ์ ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 23 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2534
- รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 : คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ 4/2549 เรื่อง ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
- รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
- ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 18/2557 เรื่อง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ กำหนดห้ามผู้ประกอบกิจการและผู้ให้บริการด้านสื่อมวลชนทุกประเภท นำเสนอเนื้อหาที่
- ส่อไปในทางหมิ่นประมาท หรือสร้างความเกลียดชัง ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์
- ข่าวสารที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ รวมทั้งหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
- วิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง
- ข้อมูลเสียง ภาพ วีดิทัศน์ ความลับของการปฏิบัติงานของหน่วยราชการต่าง ๆ
- ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร
- การชักชวน ซ่องสุม ให้มีการรวมกลุ่มก่อการอันเกิดการต่อต้านเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
- การขู่จะประทุษร้ายหรือทําร้ายบุคคล อันนําไปสู่ความตื่นตระหนก หวาดกลัวแก่ประชาชน
- ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 26/2557 เรื่อง การดูแล และสอดส่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ ให้อำนาจปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแต่งตั้งบุคคลเป็นคณะทำงานด้านสื่อสังคมออนไลน์ มีอำนาจตรวจสอบ หรือเข้าถึงข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์ การใช้เว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพที่เคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่อง และคลิปเสียง ที่แพร่ในเชิงปลุกระดม ยั่วยุ สร้างความรุนแรง ความไม่น่าเชื่อถือและไม่เคารพกฎหมาย ตลอดจนต่อต้านการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และมีอำนาจจระงับการเผยแพร่เว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพที่เคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่องและคลิปเสียง
- ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 18/2557 เรื่อง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ กำหนดห้ามผู้ประกอบกิจการและผู้ให้บริการด้านสื่อมวลชนทุกประเภท นำเสนอเนื้อหาที่
- ควบคุมพรรคการเมือง
- รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 : ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 20 เรื่อง พระราชบัญญัติพรรคการเมือง ห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือดำเนินกิจกรรมอื่นใดทางการเมือง ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 7 ฉบับที่ 19 และฉบับที่ 20 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 พ.ศ. 2534
- รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 : ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 15 เรื่อง ห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือดำเนินกิจการอื่นใดทางการเมือง ลงวันที่ 21 กันยายน 2549 ประกาศฉบับนี้มีสาระสำคัญคือ ห้ามมิให้พรรคการเมืองที่มีอยู่แล้วดำเนินการประชุมหรือดำเนินกิจการใดๆ ในทางการเมือง และการดำเนินการเพื่อการจัดตั้งหรือจดทะเบียนพรรคการเมืองให้ระงับไว้เป็นการชั่วคราว
- รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 : ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป โดยประกาศฉบับนี้ สั่งห้ามมิให้พรรคการเมืองที่มีอยู่แล้วดำเนินการประชุม หรือดำเนินกิจการใดๆ ในทางการเมือง และการดำเนินการเพื่อการจัดตั้งหรือจดทะเบียนพรรคการเมืองให้ระงับไว้เป็นการชั่วคราว โดยไม่ได้กำหนดความผิดและโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไว้ด้วย แต่การกำหนดห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการเขียนแอบๆ ไว้ในประกาศที่มีชื่อว่า “ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป” ทำให้ดูเผินๆ ไม่รู้ว่าเป็นประกาศเรื่องห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม
- ห้ามชุมนุมทางการเมือง
- รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 : ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 13 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2501 กำหนดห้ามมิให้มั่วสุมประชุมกันในทางการเมือง ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 13 พ.ศ. 2511
- รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514 : ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 กำหนดห้ามมิให้มั่วสุมประชุมกันในทางการเมือง ณ ที่ใดๆ มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 พ.ศ. 2517
- รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 : คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 กำหนดห้ามมิให้มั่วสุมประชุมกันในทางการเมือง ณ ที่ใดๆ มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยพ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 3 ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2522
- รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520 : ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2520 กำหนดห้ามมิให้มั่วสุมกันในทางการเมือง ณ ที่ใดๆ จำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยพ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 3 ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2522
- รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 : ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 7 เรื่อง การห้ามชุมนุมทางการเมือง ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 7 ฉบับที่ 19 และฉบับที่ 20 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 พ.ศ. 2534
- รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 : ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 7 เรื่อง การห้ามชุมนุมทางการเมือง ลงวันที่ 20 กันยายน 2549 กำหนดห้ามมิให้มั่วสุมประชุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หากฝ่าฝืนมีโทษทางอาญา จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประกาศดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 7 เรื่อง การห้ามชุมนุมทางการเมือง ลงวันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549 พ.ศ. 2549
- รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
- ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ห้ามชุมนุมทางการเมือง มีบทลงโทษจำคุกหรือปรับ
- ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 49/2557 เรื่อง ความผิดสำหรับการสนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ผู้ที่ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในฐานะผู้สนับสนุน ต้องระวางโทษสองในสาม
- เรียกปรับทัศนคติ – เรียกบุคคลให้ไปรายงานตัว
- ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (เฉพาะ) ฉบับที่ 25/2557 เรื่อง ให้มารายงานตัว หรือแจ้งเหตุขัดข้อง ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 สาระสำคัญ คือ กำหนดความผิด สำหรับผู้ที่ถูกเรียกให้มารายงานตัวตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2557 คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2557 และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2557 หากยังไม่ไปรายงานตัวภายในวันและเวลาที่กำหนด มีโทษจำคุกหรือปรับ
- ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 29/2557 เรื่อง ให้บุคคลมารายงานตัวตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 41/2557 เรื่อง กำหนดให้การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกบุคคลมารายงานตัวเป็นความผิด ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 ประกาศฉบับนี้กำหนดบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน ต้องโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกสั่งห้ามกระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินหรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน
- คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ลงวันที่ 1 เมษายน 2558 มีสาระสำคัญ คือ ให้อำนาจแก่หัวหน้า คสช. แต่งตั้งทหารตั้งแต่ยศร้อยตรี เรือตรี และเรืออากาศตรีเป็น “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย” ใช้อำนาจต่างๆ ในคดีอาญาได้เช่นเดียวกับตำรวจในคดีเกี่ยวกับ “ความมั่นคง” รวมทั้งกระทำการอื่นใดตามที่ คสช. มอบหมาย อำนาจของ “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย” ตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปกติควรจะมีหน้าที่ป้องกันประเทศ หรือต่อสู้กับศัตรูที่มาจากภายนอก ต้องมาทำหน้าที่แบบเดียวกับตำรวจ และหลายครั้งก็มีอิทธิพลเหนือตำรวจด้วย
ผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากการฝ่าฝืนคำสั่งรายงานตัว คสช. เช่น
- สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด อดีตประธานกรรมการมูลนิธิกระจกเงา เป็นเว็บมาสเตอร์ของเว็บไซต์เพื่อสังคมหลายแห่ง นอกจากนี้ยังเป็นแกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม ถึง 5 มิถุนายน 2557 สมบัติได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “นัดใหญ่ 3 นิ้ว วันอาทิตย์ที่ 8 มิย เที่ยงตรง เห็นชอบกด Like ไปร่วมกด Share” “มีรุ่นใหญ่บอกผมว่า เราล้ม คสช ไม่ได้ผมไม่อยากฟันธง หลุดจากอาทิตย์ ผมจะเสนอกิจกรรม ล้ม คสช” ช่วงกลางคืนวันที่ 5 มิถุนายน 2557 สมบัติถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวที่บ้านพักในจังหวัดชลบุรี จากนั้นจึงนำตัวไปสอบสวนที่ค่ายกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
- วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งคณะนิติราษฎร์ กลุ่มนักวิชาการที่รวมตัวกันเสนอแนะการปรับปรุงสังคมในหลายด้าน โดยเฉพาะต่อต้านอุปสรรคในการพัฒนาประชาธิปไตย เช่น การทำข้อเสนอล้มล้างผลพวงรัฐประหารปี 49 และเสนอให้แก้ไขมาตรา 112