เปรียบเทียบร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมสามฉบับ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | ร่างฉบับภาคประชาชน | ร่างฉบับที่เสนอโดย สส.พรรคก้าวไกล | ร่างฉบับที่เสนอโดย ครม. | |
การหมั้น | ชาย-หญิง อายุ 17 ปี ทำการหมั้นได้ | ไม่ได้แก้ไข | แก้ไข บุคคลอายุ 17 ปีทำการหมั้นได้ | แก้ไข บุคคลอายุ 17 ปีทำการหมั้นได้ |
ของหมั้น | ฝ่ายชายมอบให้หญิง | ไม่ได้แก้ไข | ฝ่ายผู้หมั้นมอบให้ผู้รับหมั้น | ฝ่ายผู้หมั้นมอบให้ผู้รับหมั้น |
อายุขั้นต่ำที่จะทำการสมรสได้ | ชาย-หญิง 17 ปี | บุคคล อายุ 18 ปี *แก้ไขอายุให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสิทธิเด็ก | บุคคล อายุ 18 ปี *แก้ไขอายุให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสิทธิเด็ก | 17 ปี |
การรับรองสิทธิหน้าที่คู่สมรส ตามกฎหมายอื่นๆ | – | กำหนดให้คู่สมรสมีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายอื่นๆ โดยอัติโนมัติ แม้ว่ากฎหมายเหล่านั้นจะใช้คำมีลักษณะเป็นระบบสองเพศ | กำหนดให้หน่วยงานรัฐไปทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการแก้ไขกฎหมายเหล่านั้นให้สอดคล้องกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม | กำหนดให้หน่วยงานรัฐไปทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการแก้ไขกฎหมายเหล่านั้นให้สอดคล้องกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม |
- รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 108 ข. (8) กำหนดลักษณะต้องห้ามของส.ว. ต้องไม่เป็น “คู่สมรส” ของส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมือง ฯลฯ และมาตรา 184 วรรคสาม ที่กำหนดห้ามคู่สมรสของส.ส. หรือส.ว. แทรกแซงหรือก้าวก่ายการเข้ารับสัมปทานจากรัฐ และต้องไม่รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษ
- พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ.2558 มาตรา 3 (2) กำหนดยกเว้นไม่ให้เก็บภาษีมรดก กับมรดกที่ตกทอดไปยัง “คู่สมรส” เท่ากับว่าคู่สมรสที่ได้รับมรดกจากคู่สมรสอีกฝ่ายที่เสียชีวิตไป ไม่ต้องเสียภาษีมรดก
- พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ.2505 มาตรา 12 กำหนดให้ “คู่สมรส” มีสิทธิใช้นามสกุลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่ตกลงกัน หรือต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนก็ได้ และคู่สมรสอาจใช้นามสกุลของคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นชื่อรองได้หากได้รับความยินยอม
- กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับองค์กรอิสระ จะกำหนดให้กรรมการที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีมีสิทธิได้รับบำเหน็จตอบแทนเป็นเงินซึ่งจ่ายครั้งเดียวเมื่อพ้นจากตำแหน่งด้วยหากครบวาระ ลาออก มีอายุครบ 70 ปี หรือตาย ซึ่งกรณีที่ตาย สิทธิบำเหน็จตอบแทนนั้นจะตกกับ “คู่สมรส” หรือทายาทที่ได้แจ้งไว้ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ ได้แก่
- พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 40พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 32พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 31พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 25 แต่บางกรณีก็อาจใช้คำที่แบ่งแยกเพศสองเพศ สามี-ภริยา ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมหากมีการบังคับใช้แล้ว ตัวอย่างเช่น
- พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับประโยชน์ทดแทน โดย “คู่สมรส” ของผู้ประกันตนมีสิทธิไปรับบริการทางการแพทย์ได้ และมีหลายสิทธิที่กำหนดให้เป็นของ “สามีภริยา” เช่น สิทธิได้ประโยชน์ทดแทนกรณีผู้ประกันตนตาย สิทธิได้ประโยชน์ทดแทนกรณีภริยาคลอดบุตร เป็นต้นพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 หรือพ.ร.บ.อุ้มบุญฯ กำหนดให้คู่ “สามีภริยา” ที่ภริยาไม่อาจตั้งครรภ์ได้เท่านั้นที่จะให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนได้ หมายความว่า แม้ในกรณีของคู่สมรสชายหญิงก็ไม่ใช่ทุกคู่ที่จะมีลูกโดยการอุ้มบุญได้ หากฝ่ายหญิงมีสุขภาพแข็งแรงสามารถตั้งครรภ์ได้ ก็ไม่สามารถมีบุตรด้วยวิธีการอุ้มบุญได้ กรณีที่จะให้คู่สมรสผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือคู่ชีวิตอุ้มบุญได้ ก็ต้องแก้ไขหลักเกณฑ์ในกฎหมายให้ผ่อนคลายมากขึ้น
- พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 กำหนดหลักเกณฑ์การได้สัญชาติไทย สำหรับหญิงต่างชาติที่มีสามีสัญชาติไทย และชายต่างชาติที่มีภริยาสัญชาติไทย เอาไว้ความแตกต่างกัน กรณีของหญิงต่างชาติ หากประสงค์ถือสัญชาติไทยตามสามี ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยต้องแนบหลักฐาน ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาทะเบียนสมรส โดยการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ได้สัญชาติไทยให้อยู่ในดุลพินิจของรมต.กระทรวงมหาดไทย
สภาสามารถพิจารณาร่างทุกฉบับประกบกันได้ รับร่างประชาชนตัวแทนประชาชนได้โควตาเป็นกรรมาธิการ
ข้อสังเกต : สภาออกแบบกฎหมาย ต้องคำนึงถึงการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพในอนาคต
โจทย์สำคัญประการหนึ่งในการออกแบบหรือการเขียนกฎหมายที่รื้อถอนวิธีคิดระบบสองเพศ (Binary) อย่างเช่นกฎหมายสมรสเท่าเทียม คือการออกแบบหรือเขียนกฎหมายอย่างไรให้ถ้อยคำเป็นกลางทางเพศเพื่อครอบคลุมบุคคลที่ประสงค์ก่อตั้งครอบครัวทุกคน และไม่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ
นอกจากนี้ อีกโจทย์ใหญ่คือการออกแบบกฎหมายจะต้องคำนึงถึงกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพที่กำหนดให้บุคคลมีสิทธิจดทะเบียนรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ และสามารถให้เจ้าหน้าที่แก้ไขข้อมูลทะเบียนราษฎร ข้อมูลที่แสดงในเอกสารราชการ รวมถึงเปลี่ยนคำนำหน้าได้ (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพได้ที่ https://ilaw.or.th/node/6659)
หมายความว่า หากในอนาคตกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพผ่านการพิจารณาโดยฝ่ายนิติบัญญัติและบังคับใช้ เพศสภาพของบุคคลที่ระบุในเอกสารแสดงตัวของราชการ อาจไม่ได้สอดคล้องกับความรับรู้หรือความเข้าใจของคนในสังคม ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีครรภ์ ซึ่งสังคมหรือกฎหมายไทยในปัจจุบัน รับรองบุคคลนั้นเป็นหญิง แต่หากในอนาคตกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศบังคับใช้และบุคคลนั้นไปจดทะเบียนรับรองอัตลักษณ์ทางเพศเป็นเพศอื่น แต่ในกฎหมายยังใช้ถ้อยคำที่ยึดโยงกับความเป็นเพศหญิง เช่น คำว่า หญิงมีครรภ์ ก็จะไม่สอดคล้องกับการกำหนดอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลนั้นๆ อาจนำไปสู่การตีตรา และต้องมาแก้ไขกฎหมายอีก ฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่พิจารณากฎหมาย จึงควรออกแบบกฎหมายโดยมองไปถึงอนาคต เพื่อครอบคลุมถึงบุคคลทุกคนและลดความถี่ในการแก้ไขกฎหมายโดยไม่จำเป็น
แม้ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมทั้งสามฉบับ จะพยายามแก้ไขถ้อยคำโดยใช้คำที่เป็นกลางทางเพศหลายจุด แต่ก็มีบางส่วนที่ยังระบุถ้อยคำชี้เฉพาะสองเพศทำนองเดียวกับป.พ.พ. อยู่บ้าง เช่น
ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ฉบับที่เสนอโดย สส.พรรคก้าวไกล : ร่างมาตรา 18 ซึ่งแก้ไขมาตรา 1452 ระบุใจความว่า ชายหรือหญิงบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้
ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ฉบับภาคประชาชน : ร่างมาตรา 7 แก้ไขมาตรา 1453 ระบุใจความว่า หญิงที่คู่สมรสตายหรือการสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทำการสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดการสมรสผ่านไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่…
ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ฉบับที่เสนอโดย ครม. :
- ร่างมาตรา 14 แก้ไขมาตรา 1452 และมาตรา 1453 ในส่วนของมาตรา 1453 ระบุใจความว่า หญิงที่ชายคู่สมรสตายหรือการสมรสสิ้นสุดลงด้วยเหตุอื่น จะทำการสมรสใหม่กับชายต่อเมื่อการสิ้นสุดการสมรสนั้นผ่านไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่…
- ร่างมาตรา 41 แก้ไขมาตรา 1504 วรรคสอง ระบุใจความว่า ถ้าศาลไม่ได้สั่งเพิกถอนการสมรสจนบุคคลทั้งสองอายุครบ 17 ปี หรือในกรณีการสมรสระหว่างชายหญิง เมื่อหญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบ 17 ปี ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์ตั้งแต่เวลาสมรส
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดคำเรียกแทนคำว่า บิดามารดา ซึ่งยังมีลักษณะยึดโยงกับระบบสองเพศ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ฉบับที่เสนอโดย สส. พรรคก้าวไกล และฉบับที่เสนอโดย ครม. ไม่ได้แก้ไขหรือเขียนถ้อยคำใหม่มาแทนที่คำว่าบิดามารดา ขณะที่ร่างฉบับภาคประชาชนเสนอแก้เป็นคำว่า บุพการี ซึ่งคำว่า บุพการี ตามป.พ.พ. ที่ใช้บังคับอยู่ ไม่ได้จำกัดเฉพาะ บิดามารดา แต่รวมไปถึง ปู่ย่าตายายทวด (ป.พ.พ. มาตรา 28) ดังนั้นการใช้คำว่า บุพการีแทนคำว่าบิดามารดา ก็อาจขัดกับเนื้อหามาตราอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสมรสแทน ซึ่งตรงส่วนนี้หากร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านการพิจารณาของสภาในวาระหนึ่ง ก็สามารถแก้ไขเพิ่มเติมออกแบบถ้อยคำที่ประชาชนเข้าใจและมีความเป็นกลางทางเพศในชั้นกรรมาธิการวาระสองได้