ตารางนัดฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 เดือนมิถุนายน 2568

เดือนมิถุนายน 2568 มีนัดฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 อย่างน้อยเจ็ดคดี เป็นคดีในศาลชั้นต้นสองคดี ศาลอุทธรณ์สี่คดีและศาลฎีกาหนึ่งคดี จนถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ศาลมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 แล้ว 182 คดีจาก 313 คดี โดยมีจำเลยคดีมาตรา 112 ถูกคุมขังอย่างน้อย 31 คน

4 มิถุนายน 2568 เวลา 9:00 น. ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัด ‘อาร์ม’ฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีมาตรา 112 กรณีเผยแพร่คลิปวิดีโอที่กล่าวถ้อยคำหยอกล้อกับแมวลงใน TikTok เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2564  เขาทำงานที่เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานีต้องเดินทางไกลไปเข้ากระบวนการที่จังหวัดกำแพงเพชรตั้งแต่ปี 2565 ในชั้นศาลก่อนนัดสืบพยานเขากลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ต่อมาศาลจังหวัดกำแพงเพชรพิพากษาว่า มีความผิดให้จำคุกสามปี ให้การสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง ทั้งนี้โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้สองปีก่อนเนื่องจากจำเลยมีอาชีพและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงอาจไม่เกิดผลดีต่อสังคมหากจำคุกไว้ โดยให้คุมประพฤติหนึ่งปี และให้ทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์เป็นระยะเวลา 12 ชั่วโมง

ต่อมาอัยการยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาเป็นไม่รอการลงโทษระบุว่า “พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือจำเลยมีภาระต้องเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว จำเลยควรสังวรและตระหนักรู้ก่อนกระทำความผิด เพื่อให้จำเลยหลาบจำและมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น”

10 มิถุนายน 2568 เวลา 9:00 น. ศาลจังหวัดเชียงรายนัดสุปรียา ใจแก้ว ฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดีมาตรา 112 กรณีแขวนป้ายผ้าข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” บริเวณป้าย “ทรงพระเจริญ” ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ในตัวเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 ต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายยกฟ้องระบุว่า ใจความของข้อความคำดังกล่าว “เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย และการจัดการงบประมาณแผ่นดินนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นการใส่ความหรือให้ร้ายพระมหากษัตริย์”

10 มิถุนายน 2568 เวลา 9:00 น. ศาลจังหวัดนนทบุรีนัดต่อหรือที่เคยใช้นามสมมติว่า โชติช่วงฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กรณีเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่สิบ ท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรีเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ในชั้นศาลเขารับว่า เป็นผู้เผาพระบรมฉายาลักษณ์จริง แต่กระทำด้วยเหตุมึนเมาไม่ได้มีเจตนาทางการเมือง รับสารภาพเฉพาะความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์แต่ให้การต่อสู้คดีในส่วนของมาตรา 112 ต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 112 วางเพลิงเผาทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ โดยลงโทษบทหนักที่สุดคือมาตรา 112 เป็นเวลาสามปีและไม่รอการลงโทษ คำพิพากษาโดยสรุปคือที่ตั้งของพระบรมฉายาลักษณ์อยู่บริเวณที่คนผ่านไปมาจำนวนมาก แสดงว่า ต้องการเผาให้ประชาชนที่ผ่านไปมาเห็น ในโทรศัพท์ของจำเลยก็มีภาพถ่ายเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง จึงเชื่อว่า จำเลยมีแนวคิดต่อต้านสถาบันกษัตริย์ เจตนาวางเพลิงเพื่อทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย

10 มิถุนายน 2568 เวลา 9:00 น. ศาลจังหวัดชุมพรนัดโอ๊ต-วรพล อนันตศักดิ์ อดีตผู้สมัครสส.จังหวัดชุมพร พรรคก้าวไกลฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เขาโพสต์ภาพอัพเดทโปรไฟล์เฟซบุ๊กเป็นภาพของตัวเขาสวมเสื้อโปโลสีขาว คอมีปก คล้องพวงมาลัยดอกดาวเรือง พื้นหลังของภาพเป็นสีดำมุมซ้ายของภาพมีริบบิ้นสีดำบนวงกลมสีขาว พร้อมข้อความกำกับภาพ ต่อมาศาลจังหวัดชุมพรมีคำพิพากษาว่ามีความผิดตามฟ้อง จำคุกสี่ปี รับสารภาพ ลดเหลือสองปี และโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ห้าปี

19 มิถุนายน 2568 ศาลอาญานัดนรินทร์ฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจ “กูkult” โพสต์รูปเสียดสีกษัตริย์ 12 โพสต์ ซึ่งเป็นการแยกฟ้อง 12 กรรม คดีนี้ถือเป็นคดีที่สองที่เขาถูกกล่าวหา โดยคดีแรกคือ คดีที่ถูกกล่าวหาว่า ปีนขึ้นไปติดสติกเกอร์ “กูKult” บริเวณพระพักตร์ตรงพระเนตรทั้งสองข้างของพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ระหว่างการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563 ณ ท้องสนามหลวง 

19 มิถุนายน 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดจิรวัฒน์ฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 กรณีแชร์โพสต์เฟซบุ๊กสามโพสต์โดยไม่ได้ใส่ข้อความใดๆ เพิ่มเติม วันที่ 6 ธันวาคม 2566 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกกระทงละสามปี รวมสามกระทง จำคุก 9 ปี เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์จึงลดเหลือหกปี ไม่รอลงอาญา หลังจากนั้นไม่ได้รับการประกันตัวเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 12 ธันวาคม 2567 จึงได้รับการปล่อยตัว

25 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดอานนท์และจิรฐิตากรณีที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 จากการปราศรัยในการชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อปี 2563 เดิมทีคดีนี้มีจำเลยทั้งหมดเจ็ดคน โดยไบรท์ ชินวัตร จันทร์กระจ่างให้การรับสารภาพคดีจึงแยกพิพากษาไปแล้ว ส่วนจำเลยที่เหลือไม่ปรากฏตัวจึงเหลือเพียงอานนท์และจิรฐิตาในคดีนี้ โดยอานนท์ปราศรัยเกี่ยวกับการเรียกร้องให้กษัตริย์เป็นกลางทางการเมืองจึงจะเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ส่วนจิรฐิตาปราศรัยเรื่องการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่หน้ารัฐสภาเกียกกาย

RELATED TAGS

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage