คดี “44 สส.ก้าวไกล” ภายใต้กรอบ “มาตรฐานทางจริยธรรม” อาจมีส่วนสำคัญต่อจำนวนที่นั่งสส. ในสภาผู้แทนราษฎร และอาจมีส่วนสำคัญที่จะเขย่าอุณหภูมิทางการเมือง ในระหว่างที่พรรคก้าวไกลทั้งไม่ได้เป็นรัฐบาล และยังถูกยุบ และอาจต้องสูญเสียสส. คนดังไปอีกหลายคนด้วยเหตุการเสนอแก้ไขมาตรา 112
ชวนทำความเข้าใจว่า คดีนี้มีที่มาอย่างไร ทำไม 44 สส. ถึงต้องโดนร้องเรื่องนี้ และกระบวนการที่จะต้องเจอเป็นอย่างไรบ้าง
ปี 2564 พิธา นำสส. ก้าวไกลเสนอแก้ไขม.112
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวตรวจสอบมาตรฐานจริยธรรมอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากพรรคก้าวไกล 44 คน เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่10 กุมภาพันธ์ 2564 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้นำชื่อที่หนึ่งรวบรวมสส. ในพรรคได้ 44 คน ซึ่งไม่ครบทุกคนที่อยู่ในพรรคขณะนั้น ยื่นเสนอชุดร่างกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวนห้าฉบับ รวมถึงร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อประธานรัฐสภา
ตามประมวลกฎหมายอาญาปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) มาตรา 112 ระบุไว้ว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
ใจความสำคัญของการยื่นแก้กฎหมายมาตรา 112 ใหม่คือการปรับลดโทษ โดยแบ่งแยกความผิดและอัตราโทษใหม่เป็นสองระดับ ดังนี้
- ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดประเด็นอื่นที่น่าสนใจ เช่น ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์เป็นคู่กรณีโดยตรง ไม่ใช่ให้ประชาชนที่ไหนเป็นผู้ริเริ่มคดีก็ได้ และเพิ่มข้อยกเว้นกรณีแสดงความเห็นโดยสุจริต เป็นต้น
ปี 2567 ศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค เหตุ “ล้มล้างการปกครอง”
ในช่วงเวลาที่มีการยื่นเสนอชุดร่างกฎหมายชุดนี้ บรรยากาศนอกรัฐสภาก็ได้มีการเคลื่อนไหวจากฝั่งไม่เห็นด้วย ตัวอย่างเช่น นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดีได้ยื่นหนังสือต่อวุฒิสภา เพื่อคัดค้านการแก้ไขมาตรา 112 พร้อมแนบรายชื่อผู้คัดค้านจำนวนทั้งหมด 101,568 รายชื่อ เขาให้เหตุผลว่ามาตรา 112 ไม่ได้จำกัดเสรีภาพการแสดงออก
อีกหนึ่งการเคลื่อนไหวสำคัญ คือ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ซึ่งเคยมีประวัติแจ้งความคดีการเมืองหลายครั้ง เช่น แจ้งความดำเนินคดีกับสามแกนนำคณะก้าวหน้าคือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช ในความผิดฐานร่วมกันยุยงปลุกปั่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือ แจ้งความดำเนินคดีกับนักเรียนชั้น ม.6 กรณีปราศรัยที่ห้าแยกลาดพร้าว ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 116 และอื่นๆ เป็นต้น
30 พฤษภาคม 2566 ธีรยุทธร้องต่ออัยการสูงสุดว่า การกระทำของพิธาและพรรคก้าวไกลที่ยื่นเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 อาจเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และต่อมา ธีรยุทธก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 16 มิถุนายน 2566 หลังจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็สั่งรับคำร้องของเขาไว้พิจารณาในระยะเวลาไม่ถึงเดือน
ระยะเวลากว่าหกเดือนหลังจากผ่านกระบวนการพิจารณาคดีแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญบรรยายเหตุการณ์ที่พรรคก้าวไกลกระทำว่า การยื่นเสนอแก้ไขมาตรา 112 นำออกจากหมวดความมั่นคง มีเจตนามุ่งหมายจะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้งการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แม้จะเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติและร่างกฎหมายดังกล่าวจะไม่ได้บรรจุวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม แต่เมื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกเสนอโดยพรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียว อีกทั้งในการหาเสียงเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลยังใช้การเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 โดยในเว็บไซต์ของพรรคอธิบายเนื้อหาการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในเนื้อหาทำนองเดียวกันกับร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเคยเสนอในปี 2564
ที่มาของการกระทำเหล่านี้แสดงออกว่า พิธาและพรรคก้าวไกลพยายามลดทอนความคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านร่างกฎหมายและกระบวนการนิติบัญญัติเพื่อสร้างความชอบธรรมโดยซ่อนเร้นในรัฐสภา เพื่อหวังผลคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้พระมหากษัตริย์เป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่ายต่อสู้แข็งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาสู่การติเตียนโดยไม่เคารพหลักการที่พระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง การกระทำของพิธาและพรรคก้าวไกลในการหาเสียงดังกล่าว มีเจตนาทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมโทรมลงอย่างช้าๆ
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงวินิจฉัยไว้ในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ว่าการกระทำของพิธาและพรรคก้าวไกล จากการหาเสียงนโยบายแก้ไข มาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีคำสั่งให้เลิกการกระทำ เลิกการแสดงความความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิก มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไข มาตรา 112 ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่วิธีการทางกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย

44 สส. ถูกร้องเหตุมาตรฐานทางจริยธรรม
คำวินิจฉัยขอศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการยุบพรรค กลายเป็นมูลเหตุทางกฎหมาย ในการใช้พิจารณาเพื่อถอดถอนสส. และทำลายกำลังสำคัญของพรรคนี้ให้หนักขึ้น
2 กุมภาพันธ์ 2567 ธีรยุทธ สุวรรณเกษรและสนธิญา สวัสดี ยื่นคำร้องต่อป.ป.ช.เพื่อให้ตรวจสอบและเอาผิดทางจริยธรรมต่อพรรคก้าวไกล และ สส.พรรคก้าวไกล 44 คน กรณีร่วมกันฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง ข้อ 5. ต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ ข้อ 6. ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ไทยรัฐออนไลน์ระบุว่า สส. พรรคก้าวไกล 44 คน ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และถูกยื่นคำร้องให้ตรวจสอบมาตรฐานทางจริยธรรม มีรายชื่อดังต่อไปนี้
กลุ่มที่หนึ่ง บุคคลที่ยังเป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 25 คน
1. ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (หัวหน้าพรรคประชาชน ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. กทม.)
2. ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
3. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
4. วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
5. ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ (นายทะเบียนสมาชิกพรรคประชาชน)
6. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
7. รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
8. วุฒินันท์ บุญชู สส.สมุทรปราการ
9. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.
10. เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม.
11. นิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ
12. นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. (ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. บัญชีรายชื่อ)
13. ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ
14. ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี
15. วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ
16. คำพอง เทพาคำ สส.บัญชีรายชื่อ
17. ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ
18. องค์การ ชัยบุตร สส.บัญชีรายชื่อ
19. มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ
20. จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา
21. วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ
22. จรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี
23. สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ
24. ศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด
25. สุรวาท ทองบุ สส.บัญชีรายชื่อ
กลุ่มที่สอง บุคคลที่ไม่ได้เป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 11 คน
1. พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์
2. กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี
3. สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา
4. สมเกียรติ ถนอมสินธุ์
5. ทองแดง เบ็ญจะปัก
6. พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์
7. ปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์
8. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ
9. ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์
10. ทวีศักดิ์ ทักษิณ
11. สมเกียรติ ไชยวิสุทธิกุล
กลุ่มที่สาม บุคคลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีจากการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค จำนวน 8 คน
1. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
2. เบญจา แสงจันทร์
3. อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล
4. ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์
5. สุเทพ อู่อ้น
6. อภิชาติ ศิริสุนทร
7. ปดิพัทธ์ สันติภาดา
8. สมชาย ฝั่งชลจิตร
จากจำนวนนี้จะเห็นได้ว่า หากสส. 44 คนถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและถูกตัดสิทธิทางการเมือง ก็จะทำให้สส. ที่อยู่ในสภามีจำนวนลดลงอีกอย่างมากที่สุด คือ 25 คน ซึ่งกระทบต่อเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่มีน้อยอยู่แล้วให้น้อยลงไปอีก และบุคคลที่เป็นระดับหัวหน้าพรรค และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ก็จะถูกตัดสิทธิด้วยทำให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านอ่อนแอลงอีกได้มากจากคดีนี้
ป.ป.ช. ไต่สวน 2-3 ปี เมื่อศาลรับฟ้องอาจต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
เส้นทางการดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานจริยธรรม ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป.ป.ป.ช.) ระบุไว้ว่า หากพบเรื่องราวที่เข้าข่ายการกระทำความผิดไม่ว่าจะมีการแจ้งหรือไม่ก็ตาม คณะกรรมการป.ป.ช. ต้องดำเนินการไต่สวนตรวจสอบทันที ซึ่งมีกระบวนการพอสรุปได้ ดังต่อไปนี้
- การตรวจสอบเบื้องต้น เมื่อคำกล่าวหาเข้ามา เลขาธิการป.ช.ช. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะต้องตรวจสอบว่า คำกล่าวหานั้นมีองค์กระกอบครบถ้วนหรือไม่ ตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 (ระเบียบไต่สวนฯ) หากข้อมูลมีองค์ประกอบครบถ้วนก็จะถูกนำเข้าระบบเข้าสู่การไต่สวน หากข้อมูลไม่ครบเจ้าหน้าที่สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้
- การไต่สวน เมื่อคำกล่าวหามีข้อมูลครบถ้วน คณะกรรมการป.ป.ช. จะจัดตั้งคณะกรรมการไต่สวน คณะกรรมการไต่สวนเบื้องต้นหรือจะไต่ส่วนด้วยตนเอง เพื่อทำการสืบหาข้อเท็จริงที่เกิดขึ้น ทั้งผ่านช่องทางเอกสารหรือพยานบุคคล ในชั้นนี้ผู้ถูกกล่าวหาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียสามารถคัดค้านผู้ไต่สวนกับคณะกรรมการป.ป.ช. ได้
หากพิจารณาแล้วพบว่ามีหลักฐานเพียงพอว่า มีมูล ให้คณะกรรมการไต่สวนแจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้ถูกกล่าวหา เพื่อให้มารับทราบ ชี้แจงและแก้ข้อกล่าวหากับคณะกรรมการไต่สวน ตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวนพ.ศ. 2561 ข้อ 48 วรรคหนึ่งและสอง ระบุว่า เมื่อมติป.ป.ช. มีมติให้ไต่สวน ให้คณะกรรมการดำเนินการไต่ส่วนภายในระยะเวลาไม่เกินสองปี แต่ถ้าไม่ทันให้ขยายเวลาได้แต่ต้องไม่เกินสามปี - การพิจารณาและลงมติ เมื่อสืบสวนข้อเท็จจริงดำเนินการสำเร็จแล้ว จะเข้าสู่การพิจารณาและทำสำนวนการไต่สวนส่งต่อคณะกรรมการป.ป.ช. หากมีมติไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ในส่วนของความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง คณะกรรมการป.ป.ช. จะเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อให้วินิจฉัยต่อไป
เมื่อคดีเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาคดีของศาลฎีกา ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง พ.ศ. 2561 กำหนดแนวทางในการพิจารณาคดีมาตรฐานทางจริยธรรมไว้โดยเฉพาะ โดยจะใช้ระบบไต่สวนที่ศาลสามารถมีบทบาทในการแสวงหาข้อเท็จจริงพร้อมกับการพิจารณาคดีได้ เช่นเดียวกับ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว
เมื่อป.ป.ช.ยื่นคำร้องเข้ามายังศาลฎีกา หากพบว่าข้อมูลถูกต้องครบถ้วนตามที่ระเบียบกำหนดศาลฎีกาจะประทับรับฟ้อง โดยหลักแล้วเมื่อศาลรับฟ้องผู้คัดค้านหรือ 44 สส. จะถูกสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา แต่ศาลฎีกามีอำนาจที่จะสั่งเป็นอย่างอื่นให้ทำหน้าที่ต่อไปก็ได้
ในการพิจารณาคดีทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะส่งพยานและหลักฐานเพิ่มเติมแสดงต่อศาลได้ เพื่อนำข้อมูลมาต่อสู้กันในชั้นศาล โดยศาลสามารถเบิกหลักฐานและพยานเข้ามาเพิ่มเติมในคดีด้วยตนเองได้ด้วย เมื่อทำการไต่สวนพยานหลักฐานเสร็จสิ้นก็จะให้ทั้งสองฝ่ายแถลงปิดคดีและรอฟังผลคำพิพากษา
ตัดสิทธิ 25 คน เลือกตั้งซ่อม 8 เขต ถ้าศาลฎีกาพิพากษาว่าผิด
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคห้า หากศาลพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงจริงให้ผู้ต้องคําพิพากษานั้นพ้นจากตําแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นและจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกําหนดเวลาไม่เกินสิบปีด้วยหรือไม่ก็ได้ เท่ากับว่าหากผิดจริงก็ถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง “ตลอดชีวิต” หรือเป็นการได้ “ใบดำ” ไม่อาจลงสมัครสส. หรือสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งใดได้อีก และอาจโดนตัดสิทธิเลือกตั้งได้ด้วยแล้วแต่กรณี
หากศาลพิพากษาว่า 44 สส. มีความผิดจริงสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชนที่มาจากพรรคก้าวไกลเดิม จะลดลง จากที่มีจำนวน 143 คน จะลดลงเหลือแค่ 118 คน จำนวนสส. ที่มาจากระบบบัญชีรายชื่อจะหายไปเพราะพรรคประชาชนเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นใหม่ไม่มีผู้สมัครสส.ระบบบัญชีรายชื่ออยู่ จึงไม่มีใครให้เลื่อนลำดับขึ้นมา ส่วนสส. จากระบบแบ่งเขตที่ถูกตัดสิทธิจะต้องดำเนินการจัดการ “เลือกตั้งซ่อม” ซึ่งมีอยู่ด้วยกันแปดเขตดังต่อไปนี้
กรุงเทพมหานคร
- เขตเลือกตั้งที่ 18 ประกอบด้วยเขตมีนบุรี หนองจอกและลาดกระบัง
- เขตเลือกตั้งที่ 24 ประกอบด้วยเขตคลองสาน ธนบุรีและราษฎร์บูรณะ
- เขตเลือกตั้งที่ 27 ประกอบด้วยเขตบางขุนเทียนและบางบอน
จันทบุรี
- เขตเลือกตั้งที่แปด ประกอบด้วยอำเภอสอยดาว โป่งน้ำร้อน ขลุง และมะขาม
ฉะเชิงเทรา
- เขตเลือกตั้งที่สี่ ประกอบด้วยอำเภอแปลงยาว บางปะกงและบ้านโพธิ์
ชลบุรี
- เขตเลือกตั้งที่แปด ประกอบด้วยอำเภอบางละมุง
ตราด
- เขตเลือกตั้งที่หนึ่ง ประกอบด้วยอำเภอเขาสมิง เมืองตราด คลองใหญ่ แหลมงอบ บ่อไร่ เกาะกูดและเกาะช้าง
สมุทรปราการ
- เขตเลือกตั้งที่สี่ ประกอบด้วยอำเภอบางพลี
นอกจากนี้ จำนวนที่นั่งสส. ในสภาผู้แทนราษฏรจะลดลง โดยเฉพาะสส. ฝ่ายค้าน จากรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 9 เมษายน 2568 จำนวนสมาชิกทั้งหมดมีจำนวนทั้งสิ้น 494 คน แบ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล 368 คนและฝ่ายค้านอีก 171 คน หากศาลฎีกาพิพากษาว่า มีความผิดจริงทั้งหมดทุกคนที่ถูกกล่าวหา และตัดสิทธิ สส. ไปอีก 25 คน จะทำให้จำนวนสส.ฝ่ายค้านเหลือจำนวนแค่ 146 คนเท่านั้น ทำให้สถานภาพของฝ่ายรัฐบาลมีความเข้มแข็งมากขึ้นอีก ส่วนสส.อีกแปดคนจากการเลือกตั้งซ่อมคือโอกาสของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องต่อสู้กันต่อไป
ดูเปรียบเทียบ คดีก่อนหน้าศาลพิจารณาหนึ่งปีเศษ
เมื่อพิจารณาตัวอย่างคดีการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงที่ศาลฎีกาเคย “ฟัน” นักการเมืองไปก่อนหน้านี้สี่กรณี พบข้อมูลดังนี้
ชื่อกรณี | วันที่ศาลรับคำร้อง | วันที่มีคำพิพากษา | ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มจนจบคดี |
กรณีเข้ายึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ โดย ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ | 25 มีนาคม 2564 | 7 เมษายน 2565 | 1 ปี 13 วัน |
กรณีรุกป่าเขาใหญ่ โดยกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พรรคภูมิใจไทย | 16 ธันวาคม 2565 | 22 กุมภาพันธ์ 2566 | 2 เดือน 9 วัน |
กรณีถูกกล่าวหาเสียบบัตรลงคะแนนแทน โดยธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ | 11 สิงหาคม 2564 | 3 สิงหาคม 2566 | 1 ปี 11 เดือน 23 วัน |
อีกหนึ่งกรณีการโพสภาพถ่ายอันมิบังควรต่อพระมหากษัตริย์ในวันรับปริญญา ของพรรณิการ์ วานิช ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดและส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 และศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 รวมระยะเวลาตั้งแต่ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดถึงวันที่ศาลฎีกาพิพากษา 1 ปี 6 เดือน 24 วัน
สำหรับกรณีกล่าวหา 44 สส. พรรคก้าวไกล มีผู้ถูกกล่าวหาจำนวนมากกว่า การดำเนินคดีอาจจะใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการนำเสนอพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคน จึงคาดหมายว่า หากป.ป.ช.มีมติ และส่งให้เรื่องให้ศาลฎีกา ก็น่าจะใช้เวลาพิจารณาคดีมากกว่าหนึ่งปีเศษๆ แต่จะต้องไม่เกินสามปี