“มาตรฐานทางจริยธรรม” เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจอีกชิ้นหนึ่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เอาไว้ควบคุมนักการเมืองจากการเลือกตั้ง แม้โดยกฎหมายจะบังคับใช้กับศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระด้วยก็ตาม แต่อำนาจในการออกมาตรฐานทางจริยธรรม การดำเนินคดี และการลงโทษล้วนอยู่ในมือของศาลและองค์กรอิสระทั้งสิ้น นับจนถึงคดีล่าสุดของ พรรณิการ์ วานิช อดีต สส. พรรคอนาคตใหม่ มีนักการเมืองถูกตัดสินว่าผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงแล้วจำนวนสี่คน
ผู้กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรม
รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 219 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เป็นผู้กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นมาบังคับใช้ ในการจัดทำต้องรับฟังความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย โดยเนื้อหาต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมีลักษณะร้ายแรง รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 219 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เป็นผู้กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นมาบังคับใช้ ในการจัดทำต้องรับฟังความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย โดยเนื้อหาต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมีลักษณะร้ายแรง
หลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้ไม่ถึงปี ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระก็จัดทำมาตรฐานทางจริยธรรมเสร็จ โดยใช้ชื่อว่า “มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ” โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561
แน่นอนมาตรฐานทางจริยธรรมนี้ถูกใช้บังคับแก่ สส. สว. และครม. ด้วยตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 219 วรรคสอง อย่างไรก็ตามกระบวนการจัดทำมาตรฐานจริยธรรมในช่วงนั้นก็ไม่ได้มีการรับฟังความเห็นจากสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีการเลือกตั้ง สส. เกิดขึ้น
มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
มาตรฐานทางจริยธรรมฯ ฉบับนี้แบ่งออกเป็นทั้งหมดสี่หมวดด้วยกัน โดยหมวดที่ 1-3 ว่าด้วยเรื่องมาตรฐานจริยธรรมที่ต้องปฏิบัติตาม โดยมีหมวดที่สำคัญที่สุดคือ “หมวดที่ 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์” ข้อ 5-10 ซึ่งหากใครถูกตัดสินว่าผิดในหมวดนี้ก็จะเข้าข่ายผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเนื้อหาในหมวดนี้ประกอบด้วย
- “ข้อ 5 ต้องยึดมั่น และธำรงไว้ซึ่งการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
- ข้อ 6 ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน
- ข้อ 7 ต้องถือผลประโยขน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน
- ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติกรรมที่รู้เห็นยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
- ข้อ 9 ต้องไม่ขอ ไม่เรียก ไม่รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่
- ข้อ 10 ต้องไม่รับของขวัญของกำนัล ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เว้นแต่เป็นการรับจากการให้โดยธรรมจรรยา และการรับที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับให้รับไว้”
นอกจากเนื้อหาในหมวดที่ 1 จะถูกระบุให้เป็นความผิดมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรงแล้ว ถ้าทำความผิดใน “หมวด 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก” และ “หมวด 3 จริยธรรมทั่วไป” ก็สามารถถูกพิจารณาให้มีลักษณะร้ายแรงได้ โดยให้พิจารณาถึงพฤติกรรม เจตนาและความร้ายแรงของความเสียห
ผู้อำนาจลงโทษตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต
รัฐธรรมนูญ 2560 ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และหาก ป.ป.ช. เห็นว่ามีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย
ทั้งนี้ หากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์หรือกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าว ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งด้วยก็ได้แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
เมื่อดูจากเนื้อหามาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ จะเห็นว่ามีความเป็นนามธรรมสูง ตีความยาก เช่น พฤติกรรมใดที่แสดงออกว่าไม่ปกป้องระบอบประชาธิปไตย หรือปกป้องความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้การให้คำนิยามและระดับของมาตรฐานทางจริยธรรมของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ดังนั้นการลงโทษว่าบุคคลใดฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมจึงขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของ ป.ป.ช. และศาลฎีกาเป็นหลัก
ย้อนรอย 4 นักการเมืองเหยื่อมาตรฐานทางจริยธรรม
นับตั้งแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกบังคับใช้มาถึงปี 2566 มีนักการเมืองถูกศาลฎีกาตัดสินว่าผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจำนวนถึงสี่คน โดยมาจากต่างพรรคการเมืองกันทั้งหมด และได้รับบทลงโทษที่รุนแรงเหมือนกันคือถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในทุกระดับ และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่ง โดยทั้งสี่คนประกอบด้วย
- ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ศาลฎีกาตัดสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิต และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ จากกรณี เข้ายึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบเมื่อ 18 ปีก่อน
- กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.กระทรวงศึกษาธิการ พรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ศาลฎีกาตัดสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิต และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ จากกรณีรุกป่าเขาใหญ่
- ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ศาลฎีกาตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ จากกรณีถูกกล่าวหาเสียบบัตรลงคะแนนแทน
- พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ศาลฎีกาตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ กรณีโพสต์ภาพและข้อความลงเฟซบุ๊ก กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในแง่ร้าย