พิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญ ผ่านด่านได้ต้องมีเสียง สว. 1 ใน 3
ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (2) กำหนดให้การเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะต้องเสนอต่อรัฐสภา ซึ่งประกอบไปด้วย สส. และ สว. พิจารณาไปร่วมกันสามวาระ โดยสว. จะมีบทบาทเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญ ในหลายขั้นตอน คือ
๐ การเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ : มาตรา 256 (1) กำหนดผู้มีสิทธิเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ได้แก่
- ครม.
- สส. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
- สส. และ สว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของสมาชิกสองสภา
- ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อ 50,000 ชื่อ
จะเห็นได้ว่า สว. ก็สามารถมีบทบาทในการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ เพียงแต่ต้องรวบรวมรายชื่อ สส. เพื่อเสนอร่วมกัน ลำพังเพียงแค่ สว. ไม่สามารถเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้
๐ การพิจารณาวาระหนึ่ง : รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (3) กำหนดกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระหนึ่ง ขั้นรับหลักการ ไว้ว่าการลงมติจะทำโดยเปิดเผย ใช้วิธีเรียกชื่อ สส. สว. สำหรับเงื่อนไขคะแนนเสียงว่าร่างฉบับนั้นจะผ่านวาระหนึ่งหรือไม่ จะค่อนข้างซับซ้อนเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเขียนมาให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นไปได้ยาก ต้องใช้เสียงของ สว. เห็นชอบด้วย ตามเงื่อนไขที่จะผ่านวาระหนึ่งได้ คือ
สส. มีอำนาจหลักพิจารณากฎหมาย สว. อำนาจน้อยกว่า
กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณเสร็จในวาระสาม หรือพิจารณาไม่เสร็จภายใน 105 วัน ร่างกฎหมายนั้นจะส่งมาที่วุฒิสภาต่อ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา ที่ตั้งไว้แล้วนั้น จะต้องรีบพิจารณาร่างกฎหมายและรายงานความเห็นต่อประธานวุฒิสภาภายใน 10 วันนับแต่ได้รับร่าง การพิจารณาขั้นตอนนี้ กรรมาธิการของวุฒิสภาจะไม่สามารถแปรญัตติเพื่อแก้ไขร่างกฎหมายงบประมาณนั้นได้
หลังจากนั้น วุฒิสภาก็จะต้องพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว โดยมีอำนาจในการพิจารณาลงมติแค่ “เห็นชอบ” หรือ “ไม่เห็นชอบ” เท่านั้น และ สว. ไม่สามารถแก้ไขร่างกฎหมายได้เช่นกัน ซึ่งในทางปฏิบัติ การประชุมวุฒิสภา บรรดา สว. ก็จะอภิปรายเพื่อให้เห็นความเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณตามในร่างกฎหมาย
โดยสรุป การพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณ สว. ก็มีบทบาทน้อยกว่า สส. มาก สว. ไม่สามารถแก้ไขกฎหมายได้เลย จะปรับลดงบรายการใดก็ทำไม่ได้เช่นกัน มีบทบาทเป็นผู้ทบทวนร่างในขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น
ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ กฎหมายที่จะใช้บังคับกับประชาชน จะต้องผ่านการพิจารณาจากฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นผู้แทนประชาชน ขณะที่ฝ่ายบริหารจะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ส่วนฝ่ายตุลาการจะเป็นผู้ตีความกฎหมาย
แต่ก็มีข้อยกเว้น ที่เปิดช่องให้กรณีที่ครม. ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารนั้น เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ครม. สามารถออกพ.ร.ก. ใช้บังคับเหมือน พ.ร.บ. ได้ (รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 172)
เมื่อประกาศใช้ พ.ร.ก.แล้ว ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้ ครม. เสนอ พ.ร.ก. นั้นต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุม และการรอการเปิดสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติ พ.ร.ก.โดยเร็ว
กระบวนการอนุมัติ พ.ร.ก. นั้น จะเริ่มที่สภาผู้แทนราษฎรก่อน หาก สส. ไม่อนุมัติ โดยการลงคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร พ.ร.ก. ฉบับนั้นตกไป แต่ถ้า สส. อนุมัติ ก็จะส่งไปยังวุฒิสภาต่อไป
- กรณีที่สว. อนุมัติ พ.ร.ก. นั้นก็ใช้เป็น พ.ร.บ. ต่อไป
- กรณีที่สว.ไม่อนุมัติ ก็ต้องใช้เสียง สส.เห็นด้วยเกินครึ่งหนึ่งยืนยันการอนุมัติ พ.ร.ก. นั้นก็มีผลเป็นกฎหมาย และประกาศใช้เป็น พ.ร.บ. ต่อไป
โดยสรุปการอนุมัติ พ.ร.ก. แม้ สว. จะมีบทบาทในการพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติ พ.ร.ก. ฉบับนั้นๆ แต่โดยหลักแล้ว สส. ก็มีอำนาจมากกว่า หาก สว. ไม่อนุมัติ แต่ถ้า สส. ครึ่งสภายืนยันว่าต้องอนุมัติ พ.ร.ก. ฉบับนั้น พ.ร.ก. ก็จะใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ องค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ต่างมีความสัมพันธ์ในการตรวจสอบถ่วงดุลกัน การกำหนดให้บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรบริหารหรือองค์กรตุลาการต้องผ่านความเห็นชอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติมีความยึดโยงกับประชาชนเป็นหนึ่งในกลไกที่เปิดโอกาสให้ผู้แทนปวงชนได้ตรวจสอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในองค์กรฝ่ายบริหารหรือฝ่ายตุลาการ ในอีกทางหนึ่ง ก็เป็นการสร้างความชอบธรรมให้ตำแหน่งที่ต้องผ่านความเห็นชอบโดยอำนาจที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ซึ่งในรัฐธรรมนูญ 2560 ให้อำนาจกับวุฒิสภาเป็นผู้พิจารณาและให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเข้าทำหน้าที่ในศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระ ดังนี้
- ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (มาตรา 204)
- คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เจ็ดคน (มาตรา 222)
- ผู้ตรวจการแผ่นดิน สามคน (มาตรา 228)
- คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เก้าคน (มาตรา 232)
- คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เจ็ดคน (มาตรา 238)
- ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (มาตรา 241)
- คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เจ็ดคน (มาตรา 246)
สำหรับกระบวนการสรรหาผู้มาดำรงตำแหน่งในศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระนั้น ขั้นตอนแรกๆ จะเป็นอำนาจของคณะกรรมการสรรหาก่อนว่าบุคคลที่มาสมัครรับคัดเลือกดำรงตำแหน่งในศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระนั้น สมควรดำรงตำแหน่งดังกล่าวหรือไม่ หลังจากนั้นก็จะส่งรายชื่อมายังวุฒิสภา วุฒิสภาจะมีอำนาจในการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนั้น และสามารถรวบรวมข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่จำเป็นต่อการดำรงตำแหน่งนั้นๆ ได้ (ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2562 ข้อ 105) หลังจากนั้นวุฒิสภาก็จะพิจารณาลงมติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลมาดำรงตำแหน่งศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระ
นอกจากนี้ สว. ยังมีอำนาจให้ความเห็นชอบในการดำรงตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ของรัฐ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น
- อัยการสูงสุด : พ.ร.บ. องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 10
- ตุลาการศาลปกครองสูงสุด : พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 15
- เลขาคณะกรรมการกฤษฎีกา : พ.ร.บ. คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 มาตรา 63
- เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแห่งชาติ (ปปง.) : พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 42