ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองเองได้ผ่านกระบวนการทำประชามติ โดยไม่ต้องพึ่ง สส./สว.
- เรื่องที่จะจัดทำประชามติต้องมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติและประชาชน โดยไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล
- ข้อความที่จะขอความเห็นต้องชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงสามารถตัดสินใจว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในเรื่องนั้น ๆ ได้
- ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เห็นชอบและไม่เห็นชอบในเรื่องที่จะจัดทำประชามติได้แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมกัน
- ต้องจัดให้มีการลงคะแนนออกเสียงประชามติโดยอิสระ
- ต้องนำผลการออกเสียงประชามติไปดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนผู้มาออกเสียงประชามติ
ประชามติ 59 ต้นกำเนิดอำนาจสว.เลือกนายก
การออกเสียงประชามติของประเทศไทย เกิดขึ้นไม่บ่อยนักจนอาจทำให้หลายๆ คนไม่คุ้นชินกับกระบวนการดังกล่าว ล่าสุดกระบวนการประชามติครั้งใหญ่ในไทยเกิดขึ้นเมื่อปี 2559 เป็นการออกเสียงประชามติเพื่อรับรองรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งบรรยากาศของการทำประชามติในขณะนั้นมีทั้งปัญหาและอุปสรรคหลายประการจากรัฐบาลทหาร รวมทั้งยังปิดกั้นไม่ให้มีการรณรงค์ของฝั่งผู้ที่ไม่เห็นด้วยร้ายแรงไปจนถึงจับกุมกลุ่มคนดังกล่าว
การออกเสียงประชามติปี 2559 มีประชาชนคนไทยทั่วประเทศมาใช้สิทธิทั้งสิ้น 29,740,677 คน คิดเป็น 59.4% ของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50.07 ล้านเสียง โดยในการออกเสียงประชามติครั้งนี้ มีคำถามที่ประชาชนผู้มีสิทธิต้องตอบทั้งสิ้น 2 ข้อ ได้แก่
ซึ่งผลปรากฎว่าผู้มาใช้สิทธิส่วนใหญ่ 15,132,050 คน (58.07%) เห็นด้วยกับการให้ สว. มาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ในขณะที่เสียงส่วนน้อย 10,926,648 คน (41.93%) ไม่เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าวนี้
ผลสืบเนื่องจากในอดีตส่งผลถึงปัจจุบัน เมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบกับประเด็นดังกล่าว จึงกลายเป็นที่มาทำให้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 บัญญัติบทเฉพาะกาลไว้ในมาตรา 272 ให้การเลือกนายกรัฐมนตรีต้องกระทำโดยมติของสภาร่วม (สส. + สว.) หรือก็คือให้ สว. มีสิทธิร่วมเลือกนายกฯ ด้วย
อย่างไรก็ตาม การออกเสียงประชามติของประชาชนที่จะสะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชนได้นั้น ประชาชนจะต้องได้รับข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจอย่างครบถ้วนและถูกต้อง คำถามที่ออกมาเพื่อสอบถามประชาชนนั้นจะต้องมีความชัดเจน และผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยก็ควรจะมีโอกาสในการแสดงออกและรณรงค์อย่างเต็มที่โดยไม่มีการปิดกั้นจากภาครัฐ
- ประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256
- ประชามติเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีเหตุอันสมควร
- ประชามติตามที่กฎหมายกำหนด
- ประชามติกรณีที่รัฐสภามีมติเห็นควร
- ประชาชนเข้าชื่อ 50,000 ชื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบทำประชามติ
ทั้งนี้ การทำประชามติในเรื่องใดก็ตามจะเป็นกรณีที่ทำแล้วส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ไม่ได้
ไม่ได้มีแค่ “ประชามติ” ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองได้โดยตรงอีกหลายทาง
- การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน โดยประชาชนจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด (ร่างพระราชบัญญัติ ต้องไม่น้อยกว่า 10,000 รายชื่อ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องไม่น้อยกว่า 50,000 รายชื่อ) เข้าชื่อเพื่อเสนอหรือแก้ไขกฎหมาย
- การทำประชาพิจารณ์ เป็นกระบวนการที่หน่วยงานรัฐเปิดรับฟังความคิดเห็นก่อนริเริ่มกระบวนการอื่นๆ ในการจัดทำโครงการของรัฐ เพื่อให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการดำเนินนโยบายหรือการออกกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นทั้งในเชิงสนับสนุนหรือคัดค้าน เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของรัฐที่จะมีหน้าที่นำทุกความเห็นไปดำเนินการใช้ดุลยพินิจหาสมดุลระหว่างผลประโยชน์และผลเสียของประชาชนที่จะเกิดจากการกระทำของรัฐ
อ้างอิง
- เลิศศักดิ์ ต้นโต, ความหมาย หลักการสำคัญของการออกเสียงประชามติ (Referendum)
- รองศาสตราจารย์ ดร. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ ชาย ไชยชิต, การออกเสียงประชามติ: กระบวนการประชาธิปไตยทางตรงสมัยใหม่