ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในสังคมว่า ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ จะช่วยคุ้มครองและทำให้สิทธิของชุมชนใช้ได้จริงในทางปฏิบัติมากขึ้นหรือน้อยลง เนื่องจากร่างนี้ ‘ตัดสิทธิ’ การแสดงความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการของรัฐ และตัดขั้นตอนการขอความเห็นชอบจากองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมก่อนดำเนินโครงการต่างๆ
‘ตัดสิทธิ’ ของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมในสิ่งแวดล้อมที่ดี
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้ปรับเปลี่ยนและเพิ่มเติมเนื้อหาสิทธิชุมชนให้ชัดเจนขึ้นตามความต้องการของภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ นักวิชาการ และสื่อมวลชน หลังเขียนร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกออกมาแล้วถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องนี้
เรื่องสิทธิชุมชนและสิทธิของประชาชนในการจัดการสิ่งแวดล้อม ถูกเขียนไว้ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 43
“มาตรา 43 บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ
(1) อนุรักษ์ฟื้นฟูหรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงามทั้งของท้องถิ่นและของชาติ
(2) จัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ
(3) เข้าชื่อกันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการใดอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือชุมชน หรืองดเว้นการดำเนินการใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชุมชน และได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาข้อเสนอแนะนั้นโดยให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วยตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ
(4) จัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน สิทธิของบุคคลและชุมชนตามวรรคหนึ่ง หมายความรวมถึงสิทธิที่จะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐในการดำเนินการดังกล่าวด้วย”
นอกจากสิทธิที่ประชาชนจะมีในมาตรา 43 แล้ว ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังกำหนดหน้าที่ของรัฐ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเอาไว้ในมาตรา 57-58 กำหนดให้รัฐอนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วม ให้รัฐต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA, EHIA) และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนดำเนินโครงการต่างๆ ฯลฯ
ด้านรัฐธรรมนูญปี 2540 เขียนเกี่ยวกับเรื่องสิทธิชุมชนไว้ในมาตรา 56 หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยว่า บุคคลมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชน ในการบำรุงรักษาและได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน ตามที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งนี้ บุคคลสามารถฟ้องร้องรัฐได้เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามสิทธิและการมีส่วนร่วมดังกล่าว
และรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 67 หมวดสิทธิชุมชน ก็ได้เขียนถึงบุคคลมีสิทธิ มีส่วนร่วม และฟ้องร้องกับรัฐและชุมชนที่จะได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญปี 2540
เมื่อนำร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ มาเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 พบว่า เนื้อหาส่วนหนึ่งที่หายไปจากร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ คือ ส่วนที่เขียนว่า สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วม “ในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำรงชีพอยู่อย่างปกติ และต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของคน” ซึ่งมีในรัฐธรรมนูญสองฉบับก่อนหน้านี้
ขณะที่ประเด็นอื่นๆ เช่น การกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิฟ้องร้องรัฐได้หากไม่ดำเนินการคุ้มครอง ก็เป็นบทบัญญัติที่ยังมีอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ
‘ตัดสิทธิ’ ของบุคคลในการแสดงความคิดเห็นต่อโครงการต่างๆ
รัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 59 หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย เขียนไว้ว่า บุคคลมีสิทธิแสดงความคิดเห็น และได้รับข้อมูล คำชี้แจง เหตุผล จากหน่วยงานรัฐ ก่อนการอนุญาตดำเนินโครงการที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของตนหรือชุมชนท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่กฎหมายบัญญัติ
รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 57 หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย เขียนไว้เหมือนกับมาตรา 59 ของรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่มีเพิ่มประเด็นการวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม การเวนคืนคืนอสังหาริมทรัพย์ การวางผังเมือง การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดินและการออกกฎที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ
แต่ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ มาตรา 41 หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย เขียนเพียงว่า บุคคลและชุมชนมีสิทธิรับทราบ-เข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ และมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์และฟ้องหน่วยงานรัฐให้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยเร็ว อีกทั้งให้รับผิดจากการกระทำของบุคลากรรัฐได้
เมื่อนำร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ มาเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 พบว่า ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ ไม่มีการเขียนถึงสิทธิแสดงความคิดเห็นของบุคคลต่อการดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐ ซึ่งมีมาแต่รัฐธรรมนูญเดิม แต่มีการเพิ่มสิทธิ ของประชาชนที่จะเข้าชื่อกันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานรัฐมีหน้าที่ต้องพิจารณาข้อเสนอนั้นๆ หมายความว่า การใช้สิทธิที่ได้รับความคุ้มครองเปลี่ยนจากการแสดงความคิดเห็นโดยบุคคลคนเดียว เป็นการเข้าชื่อกัน โดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องเข้าชื่อกันเป็นจำนวนกี่คน
และไปเขียนไว้ในมาตรา 58 ให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและจัดการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียก่อนดำเนินโครงการที่อาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อม “อย่างรุนแรง”
‘องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ’ ไม่มีแล้วในร่างนี้
ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ก่อนการดำเนินโครงการใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรัฐจะต้องผ่านสามขั้นตอน คือ 1) จัดทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 2) ผ่านการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน 3) ผ่านการให้ความเห็นขององค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ตามร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ กำหนดขั้นตอนไว้ลดลง เหลือเพียงข้อ 1) และ 2) เท่านั้น ส่วนขั้นตอนที่เคยต้องอาศัยความเห็นชอบโดยองค์การอิสระถูกตัดออกไป
องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เป็นถ้อยคำที่มีอยู่ทั้งในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 แต่รัฐธรรมนูญสองฉบับก่อนหน้านี้ไม่ได้กำหนดรายละเอียดไว้ว่า องค์การอิสระจะมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่อย่างไรบ้าง ที่ผ่านมาภาคประชาชนเคยผลักดันให้ออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่สำเร็จเป็นรูปธรรม
ในทางปฏิบัติ เมื่อปี 2553 รัฐบาลภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้ง คณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.) ขึ้นมาทำหน้าที่ ให้ความเห็นชอบโครงการต่างๆ ที่อาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่องค์การที่จัดตั้งขึ้นนี้ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่อยมาว่ายังไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูเพราะไม่ได้เป็นองค์การที่จัดตั้งตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ และยังทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมได้ไม่ดีเท่าที่ควร สุดท้ายร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2559 จึงตัดขั้นตอนดังกล่าวออกไป