‘ร่างกฎหมายน้ำ’: มุ่งตอบสนองผู้มีเงินจ่ายค่าน้ำ การสร้างระบบบริหารน้ำล้มเหลวตั้งแต่ยังร่าง

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
หลักการและเหตุผลประกอบ ‘ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ….’  หรือ ‘ร่างกฎหมายน้ำ’ ฉบับกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่คณะรัฐมนตรีเสนอต่อสภานิติบัญญัติ (สนช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558  ปัจจุบัน สนช. เห็นชอบหลักการวาระที่ 1 และแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญเกือบครบทุกมาตราแล้ว 
ร่างปัจจุบันมุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะน้ำแล้งและน้ำท่วมเป็นหลัก โดยอ้างว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำในหลายด้าน การแก้ไขปัญหาได้กระทำโดยหลายหน่วยงานหลากหลาย ตามอำนาจหน้าที่ในกฎหมายหลายฉบับ ทำให้ความเป็นเอกภาพ จึงต้องการให้มีกฎหมายเดียวและหน่วยงานเดียวเพื่อทำงานแบบบูรณาการ  
หลักการและเหตุผลประกอบร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ทำให้ย้อนนึกถึงเหตุการณ์น้ำท่วมจากมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่วันเวลาล่วงเลยจนมาถึงรัฐบาลประยุทธ์ก็ยังตั้งอยู่บนฐานคิดเดียวกันในความพยายามกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะน้ำแล้งและน้ำท่วมที่เป็นปัญหามาตลอดทุกยุคสมัยที่ไม่สามารถบูรณาการหลายหน่วยงานและหลายกฎหมายให้เกิดเอกภาพได้ มีภาวะต่างคนต่างทำ ไร้ทิศทาง สะเปะสะปะ ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากความล้มเหลวของการบริหารจัดการน้ำท่วมจากมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา  
ร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ก็ตั้งอยู่บนฐานคิดนี้ที่พยายามรวบอำนาจการบริหารจัดการน้ำจากหลายหน่วยงานและหลายกฎหมายเข้ามาอยู่ภายในหน่วยงานเดียวและกฎหมายเดียวเพื่อบูรณาการให้เกิดเอกภาพและทิศทางเดียวกันให้ได้
ที่มาภาพ  dasroofless
ร่างกฎหมายน้ำ แค่เริ่มก็ล้มเหลวในการรวมอำนาจบริหารจัดการ
แต่แค่เริ่มต้นก็ไปไม่ถึงเป้าหมายนั้นเสียแล้ว เพราะในมาตรา 3 ของร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ระบุว่า 
“การใช้  การพัฒนา  การบริหารจัดการ  การบำรุงรักษา  การฟื้นฟู  และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ  ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ในกรณีที่มีกฎหมายใดกำหนดเกี่ยวกับการใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟืื้นฟู  และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ ก็ให้ดำเนินการไปตามกฎหมายเฉพาะนั้น”  
นั่นก็เท่ากับว่าร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ได้ยกเว้นให้กรณีของการใช้น้ำบางประการ เช่น การใช้น้ำเพื่อการชลประทาน การผลิตกระแสไฟฟ้า หรือการใช้น้ำบาดาล ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ ซึ่งกรณียกเว้นเหล่านี้ล้วนแต่เป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาน้ำท่วมจากมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ทั้งสิ้น กล่าวคือ ความลังเลใจและสับสนที่สืบเนื่องมาจากการบริหารจัดการน้ำของ 2 เขื่อนใหญ่เป็นอย่างน้อย คือ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ที่ต้องคำนึงถึงความจำเป็นในการกักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลักกว่าวัตถุประสงค์อื่นด้วย จึงทำให้เกิดความผิดพลาดในการพยากรณ์ปริมาณน้ำสะสมของเขื่อน กว่าจะพยากรณ์ปริมาณน้ำได้ก็ชักช้า จนเป็นสาเหตุการกักเก็บน้ำจนเกือบล้นความจุในสองเขื่อนใหญ่ดังกล่าว โดยที่ไม่พยายามทยอยปล่อยระบายออกมาตั้งแต่ช่วงต้นของฤดูฝน
ถ้ารวมความลังเลสับสนที่สืบเนื่องมาจากการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนใหญ่ 2 เขื่อนดังกล่าว ร่วมกับเขื่อนอื่นๆ  เช่น เขื่อนเจ้าพระยาและป่าสัก และประตูระบายน้ำในระบบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อการตัดสินใจกั้นน้ำไว้เพื่อไม่ให้ไหลเข้าสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจใหญ่ของประเทศ ประกอบด้วยเมืองและนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง  จะเห็นภาพของต้นเหตุสำคัญของปัญหาน้ำท่วมจากมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ชัดเจนขึ้น เพราะมันทำให้มวลน้ำมหาศาลถูกโยกไปมาในทุ่งตั้งแต่ใต้เขื่อนชัยนาทลงมา  ถ่วงรั้งและฝืนไม่ให้มวลน้ำไหลลงต่ำตามธรรมชาติของมัน  จนก่อเกิดเป็นมวลน้ำมหาศาลที่มีปริมาณมากและหนัก โดยเริ่มแรกกักกั้นไว้ไม่ยอมให้ไหลผ่านปริมณฑลรอบนอกกรุงเทพฯที่เป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมและเมืองรอบนอก  เมื่อต้านทานไม่ไหวก็ยังมีความพยายามกักกั้นไว้ไม่ยอมให้ไหลผ่านกรุงเทพฯ ชั้นนอก และเมื่อต้านทานไม่ไหวอีกคำรบหนึ่งก็ยังมีความพยายามกักกั้นไว้ไม่ยอมให้ไหลผ่านกรุงเทพฯ ชั้นในอีก
จากข้อเท็จจริงดังที่ได้กล่าวมา จะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์ที่ต้องการจะทำให้ร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้เป็นกฎหมายแม่บทด้านทรัพยากรน้ำนั้นล้มเหลวตั้งแต่ต้น (ล้มเหลวตั้งแต่ยังเป็นร่างกฎหมาย) เพราะหากร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ถูกประกาศใช้บังคับ ก็ยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับและอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำที่มีวัตถุประสงค์หลักในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาพรวมใช้บังคับซ้ำซ้อนอยู่ร่วมไปด้วยกัน
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่สมควรเพิ่มเติมลงไปเพื่อทำให้เห็นภาพของความล้มเหลวของร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก  ก็คือ ในขณะที่ สนช. กำลังพิจารณาร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ที่มีภาวะล้มเหลวตามที่ได้อธิบายไว้ อีกด้านหนึ่ง คสช. ก็ใช้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 46/2560 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560 จัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อต้องการให้หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานเดียวและกฎหมายเดียวในการบังคับบัญชา หรือ Single Command เผชิญเหตุกับปัญหาภาวะน้ำท่วมรุนแรงในปีนี้ 
แต่คำสั่งหัวหน้า คสช. กลับให้สำนักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติอิงอยู่กับพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 เป็นหลัก โดยไม่รอให้ร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจาก สนช. ประกาศเป็นกฎหมายฉบับใหม่ใช้บังคับเสียก่อน ยิ่งสะท้อนความล้มเหลวของร่างกฎหมายน้ำ ในประเด็นที่ต้องการให้เป็นกฎหมายแม่บทด้านทรัพยากรน้ำให้มากยิ่งขึ้นไปอีก  
รวบอำนาจจากท้องถิ่น เข้าสู่ศูนย์กลาง
ก็ในเมื่อล้มเหลวในประเด็นการบูรณาการอำนาจแล้ว ร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ต้องการอะไร ?
ประเด็นแรก การรวบอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำสาธารณะเข้าสู่ศูนย์กลาง ในมาตรา 7 และมาตรา 8 ได้วางหลักเกณฑ์ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำสาธารณะไว้ โดยระบุไว้ชัดว่าทรัพยากรน้ำสาธารณะเป็นของส่วนรวม บุคคลมีสิทธิใช้หรือเก็บกักน้ำได้เท่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ในกิจกรรมหรือในที่ดินของตน โดยไม่เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่บุคคลอื่นซึ่งอาจใช้น้ำนั้น แต่ร่างกฎหมายนี้ก็ยังเปิดช่องให้สามารถทำลายสาระสำคัญนี้ได้ด้วยการออกกฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบให้บัญญัติเป็นอย่างอื่นได้  
ในมาตรา 6 จะเห็นความย้อนแย้งได้ชัดเจนขึ้น โดยให้รัฐมีอำนาจพัฒนาทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อควบคุมและจัดการการใช้น้ำในแหล่งทรัพยากรน้ำสาธารณะได้ ในมาตราเดียวกันนี้ดูเผินๆ เหมือนจะดีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลและบำรุงรักษา เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าใช้สอยทรัพยากรน้ำสาธารณะได้ แต่กลับขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่าจะอนุญาตให้ อปท. ควบคุมดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรน้ำสาธารณะหรือไม่ อย่างไร 
ดังนั้น โดยสภาพหรือโดยอัตโนมัติ ทรัพยากรน้ำสาธารณะถูกรวบอำนาจการบริหารจัดการเข้าสู่ศูนย์กลางเอาไว้ทั้งหมด จะกระจายอำนาจสู่ อปท. และชุมชนท้องถิ่นได้ก็ต่อเมื่อรัฐมนตรีฯจะออกประกาศอนุญาตให้
การรวบอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำสาธารณะเข้าสู่ศูนย์กลางปรากฎชัดขึ้นในหมวด 3 ที่สร้างองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำขึ้นมาสามองค์กรเพื่อสร้างอำนาจบังคับบัญชาจากมากไปหาน้อย ดังนี้ (1) คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.)  (2) คณะกรรมการลุ่มน้ำ และ (3) องค์กรผู้ใช้น้ำ โดยคณะกรรมการลุ่มน้ำและองค์กรผู้ใช้น้ำจะต้องขึ้นตรงต่อ กนช. ที่โครงสร้างส่วนใหญ่จากทั้งหมด 23 คน ล้วนเป็นนักการเมืองและข้าราชการประจำระดับปลัดกระทรวง มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีเพียงแค่ตัวแทนประชาชนจากองค์กรผู้ใช้น้ำเพียง 2 คน เท่านั้น  
ลักษณะผูกขาดอำนาจหรือรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมากเกินไปของ กนช. ที่ควบคุม ก้าวก่ายและล้วงลูกคณะกรรมการลุ่มน้ำและองค์กรผู้ใช้น้ำเสียจนขาดความเป็นอิสระและไม่สะท้อนการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นปรากฎอยู่ในมาตรา 17 เฉพาะประเด็นสำคัญมากๆ ได้แก่
          (1) ควบคุมแผนแม่บทการใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำต่างๆ ตามที่คณะกรรมการลุ่มน้ำจะต้องเสนอมาให้พิจารณาและให้ความเห็นชอบ
          (2) กำหนดกรอบและแนวทางการปฎิบัติงานของคณะกรรมการลุ่มน้ำ และกำหนดลำดับความสำคัญของการใช้น้ำสำหรับกิจการประเภทต่างๆ เพื่อให้คณะกรรมการลุ่มน้ำนำไปพิจารณาในการจัดสรรน้ำ
          (3) การเข้าไปล้วงลูก อปท. ให้ตรากฎหมายหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรน้ำให้สนองตอบต่อความต้องการของส่วนกลางได้ อาทิเช่น อปท. อาจจะออกกฎระเบียบเพื่อกำหนดลำดับความสำคัญของการใช้น้ำสำหรับกิจการประเภทต่างๆ ให้สนองตอบต่อภาคอุตสาหกรรมเป็นลำดับแรกก่อนการใช้น้ำเพื่อการยังชีพในภาคครัวเรือนและภาคเกษตรกรรมก็ย่อมได้ เป็นต้น
แบ่งประเภทผู้ใช้น้ำ แต่รายใหญ่มีแนวโน้มได้รับความสนใจมากกว่า
ประเด็นที่สอง การจัดสรรน้ำตามมาตรา 39 ที่แบ่งประเภทการใช้น้ำออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่  
          (1) การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการดำรงชีพ การอุปโภคบริโภคในครัวเรือน การเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ การอุตสาหกรรมในครัวเรือน และการใช้น้ำในปริมาณเล็กน้อย
          (2) การใช้น้ำประเภทที่สอง การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปา และกิจการอื่น
          (3) การใช้น้ำประเภทที่สาม การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำปริมาณมาก หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง
ปัญหาใหญ่ คือ การใช้น้ำทั้งสามประเภทนั้นใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะในแหล่งเดียวกัน และเปิดโอกาสให้การใช้น้ำประเภทที่สองและสามเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ำสาธารณะต่างๆ ได้อย่างเสรีโดยใช้มาตรการด้านความสามารถในการจ่ายค่าน้ำเป็นตัวกำหนดหรือควบคุม มิหนำซ้ำการใช้น้ำประเภทที่หนึ่งซึ่งควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและควรถูกจัดไว้เป็นความสำคัญลำดับแรกเพื่อคำนึงถึงการดำรงชีพที่สามารถอยู่รอดได้ของประชาชนทั่วไป กลับต้องฝากชะตากรรมไว้กับรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการลุ่มน้ำและโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ กนช. ที่มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการใช้น้ำประเภทที่หนึ่งสำหรับแต่ละลุ่มน้ำได้
การออกกฎกระทรวงดังกล่าวคงจะไม่มีปัญหาอะไรหากเป็นไปเพื่อการจัดสรรน้ำระหว่างผู้ใช้น้ำประเภทที่หนึ่งด้วยกันเอง แม้มาตรา 40 วรรคสองจะระบุไว้ชัดว่าการออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการใช้น้ำประเภทที่หนึ่งสำหรับแต่ละลุ่มน้ำนั้นให้คำนึงถึงการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนทั่วไปเป็นสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่กฎหมายนี้เปิดช่องให้การใช้น้ำทั้งสามประเภทสามารถใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะในแหล่งเดียวกันได้ และยังเปิดช่องให้นำทรัพยากรน้ำสาธารณะในแหล่งต่างๆ ไปหารายได้ได้
แม้มาตรา 41 เรื่อยไปจนถึงมาตรา 53 ได้กำหนดให้การใช้น้ำประเภทที่สองและสามต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำเสียก่อน โดยต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำและ ‘ค่าน้ำ’ รวมถึงกำหนดเงื่อนไขอ่อนที่ไม่มีบทลงโทษเอาไว้ในมาตรา 43 มาตรา 49 และมาตรา 51 เพื่อเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้น้ำของผู้ใช้น้ำประเภทที่สองและสาม เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมความสมดุลของลุ่มน้ำ และต้องคำนึงถึงว่าจะเป็นต้นเหตุให้เกิดผลกระทบต่อความสมดุลของทรัพยากรน้ำสาธารณะ หรือก่อให้เกิดผลกระทบอย่างสำคัญต่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่ 
ถึงแม้ร่างกฎหมายนี้จะมี มาตรา 76 ที่มีบทลงโทษตามมาตรา 89 ให้ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ ต่อผู้กระทำการให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรน้ำสาธารณะ และมีมาตรา 80, 81 ที่ลงโทษผู้กระทำละเมิดให้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อรัฐ แต่กรณีเหล่านี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผู้ต้องการใช้น้ำในประเภทที่สองและสามแต่อย่างใด ตราบใดที่มีเงินจ่ายค่าน้ำก็สามารถผลักภาระในการพิสูจน์ความเสียหายไปให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบได้  รวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐก็คงจะปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้น้ำที่มีเงินจ่ายค่าน้ำเป็นหลัก
มิพักต้องพูดถึงหมวด 3 ที่แบ่งองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นสามลำดับให้มีอำนาจบังคับบัญชาตามลำดับชั้นลดหลั่นลงไปยิ่งกลับเป็นการสร้างโครงสร้างขึ้นมาเพื่อประกันสิทธิให้แก่การใช้น้ำประเภทที่สองและสามมากขึ้้้น ดังจะเห็นได้ชัดในมาตรา 17(7)  และมาตรา 34(3) ว่า กนช. และคณะกรรมการลุ่มน้ำ คือ สององค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาปริมาณการใช้น้ำ  การจัดสรรน้ำ และจัดลำดับความสำคัญของการใช้น้ำสำหรับกิจการประเภทต่างๆ  บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ผู้ใช้น้ำประเภทที่หนึ่งซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการดำรงชีพก่อนเป็นลำดับแรก แต่กลับเปิดช่องให้สามารถวางลำดับการจัดสรรน้ำกลับหัวกลับหางโดยให้ความสำคัญแก่การใช้น้ำในประเภทที่สามและสองก่อนการใช้น้ำประเภทที่หนึ่งได้
ในประเทศชิลี  หนึ่งในเป้าหมายหลักของกฎหมายน้ำคือการสร้างตลาดซื้อขายน้ำ ซึ่งทำให้เกิดการถ่ายโอนหรือเปลี่ยนมือสิทธิในน้ำจากสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนเข้าถึงได้เป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจแก่เอกชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่เข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากรน้ำสาธารณะส่วนใหญ่ของประเทศ จนเกิดความขัดแย้งรุนแรงไปทั่ว ถึงแม้องคาพยพของกฎหมายทั้งหมดในบ้านเมืองเราจะไม่เป็นเหมือนประเทศชิลี ที่กฎหมายต่างๆ บัญญัติให้สามารถซื้อขายน้ำกันได้อย่างโจ่งแจ้ง  แต่ร่างกฎหมายน้ำฉบับนี้ของบ้านเมืองเรามีกลิ่นอายรางๆ ของภาวะการนำไปสู่ตลาดซื้อ-ขายน้ำ 
หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำใช้ในประเภทที่หนึ่ง ซึ่งเป็นน้ำใช้เพื่อการดำรงชีพของประชาชนส่วนใหญ่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค จะนำมาซึ่งความขัดแย้งรุนแรงอย่างแน่นอน เพราะรัฐจะมุ่งบริหารจัดการทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อตอบสนองสำหรับผู้ใช้น้ำประเภทที่สองและสามซึ่งเป็นผู้ที่มีเงินจ่ายค่าน้ำเป็นหลัก  
ความขัดแย้งนี้จะกระจายตัวกว้างขวางออกไปทั่วทุกภูมิภาคมากกว่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบันในพื้นที่ภาคตะวันออกที่กรมชลประทานขายทรัพยากรน้ำสาธารณะในอ่างเก็บน้ำเพื่อการชลประทานหลายแห่งที่ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักในการจัดหาน้ำแก่ภาคเกษตรกรรมไปให้แก่เอกชนในนามบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสต์ วอเตอร์ เพื่อเอาน้ำไปขายให้กับการใช้ในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกหลายแห่งแทน