ร่างแก้ไขวิ.อาญาฯ: เพิ่มอำนาจดักฟังโทรศัพท์ ใครใช้สิทธิไม่ให้การให้สันนิษฐานว่าผิด

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นกฎหมายที่ใช้สำหรับการสืบสวนสอบสวน และดำเนินคดีอาญาผู้กระทำความผิด และยังทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการที่รัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ อัยการและศาล ดำเนินการกับผู้ต้องสงสัยหรือผู้กระทำความผิด เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาให้มีสิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่และได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่  ..) พ.ศ. …. (ร่างแก้ไข วิ.อาญาฯ) เป็นหนึ่งใน "ชุดกฎหมายความมั่นคงดิจิทัล 10+3 ฉบับ" ที่กำลังเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยการผลักดันของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเพิ่มเติม 3 มาตราสำคัญ ที่อาจเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาไปอย่างมาก 
เพิ่มมาตรา 131/2 ให้อำนาจตำรวจดักฟัง
ตามกฎหมายปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไปไม่ว่าจะมียศใหญ่โตแค่ไหน ก็ไม่มีอำนาจดักฟังโทรศัพท์ หรือดักข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชาชน ยกเว้นเป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งมีอำนาจในการขอข้อมูลการใช้งานคอมพิวเตอร์ของผู้ต้องสงสัย หรือเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งมีอำนาจดักฟังโทรศัพท์และดักข้อมูลการสื่อสารต่างๆ ได้
ร่างแก้ไข วิ.อาญาฯ เพิ่ม มาตรา 131/2 ให้อำนาจดักข้อมูลเพื่อป้องกันปราบปรามการกระทำความผิด การรวบรวมหลักฐานในคดีอาญาทั่วไป และการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย โดยกำหนดว่า
                “มาตรา 131/2 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งการสืบสวนคดีความมั่นคงของรัฐ ความผิดที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม หรือที่ยุ่งยากซับซ้อน  พนักงานสอบสวนโดยอนุมัติของผู้บังคับการ ซึ่งเป็นหัวหน้าของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบอาจยื่นคำร้องขอต่ออธิบดีผู้พิพากษาหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล เพื่อให้มีคำสั่งอนุญาตในการเข้าถึงและได้มาซึ่งข้อมูลอิเล็คทรอนิคส์หรือข้อมูลข่าวสารใดๆ เช่น การตรวจสอบหรือการดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลการติดต่อสื่อสาร หรือข้อมูลทางการเงิน ของบุคคลที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้นได้ …”
ร่างแก้ไข วิ.อาญาฯ ฉบับนี้ กำหนดว่า ในการจะดักข้อมูลการสื่อสารของประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขออนุมัติจากผู้บังคับการ และยื่นคำร้องขอต่อผู้พิพากษาซึ่งดำรงตำแหน่งสูงสุดในเขตท้องที่นั้นๆ พร้อมระบุเหตุผลความจำเป็น และวิธีการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนด้วย คำสั่งอนุญาตของศาลก็จะอนุญาต เป็นคราวๆ คราวละไม่เกิน 15 วัน ไม่เกินสี่คราว ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรศาลอาจขยายระยะเวลาให้ได้ แต่รวมแล้วต้องไม่เกินเก้าสิบวัน 
ข้อสังเกตประการแรก ร่างมาตรานี้ ยังไม่ให้ความชัดเจนว่าความผิดอาญาฐานใดบ้างที่เข้าข่ายการถูกดักรับข้อมูล ร่างมาตราเพียงกำหนดว่าความผิดที่อาจเข้าข่ายถูกดักรับข้อมูลได้ คือ (1) ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ (2) ความผิดที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม (3) ความผิดที่มีลักษณะยุ่งยากซับซ้อน
ทั้งที่การเขียนกฎหมาย โดยระบุฐานความผิดที่จะให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจดักข้อมูลให้ชัดเจนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สามารถระบุเป็นรายมาตราในประมวลกฎหมายอาญา หรือพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง หรือระบุเป็นหมวดความผิดให้เห็นชัดเจนก็ได้ การที่ร่างกฎหมายยังเปิดกว้างไว้เช่นนี้ย่อมเสี่ยงต่อการถูกตีความเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจเกินขอบเขตได้
ข้อสังเกตประการที่สอง ร่างมาตรานี้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานในการดักรับข้อมูลที่ค่อนข้างกว้าง ยังขาดระเบียบวิธีการจัดการและมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของข้อมูลที่ได้มาอย่างเป็นรูปธรรม ประเด็นข้อถกเถียงสำคัญ คือ มาตรการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่สามซึ่งมิได้มีส่วนร่วมในความผิด แต่มีส่วนร่วมในการถูกดักฟังด้วย
ข้อสังเกตประการที่สาม การดักรับข้อมูลการสื่อสารของประชาชนอาจจะเกิดขึ้นแม้ในกรณีที่เพียงมีเหตุสงสัย โดยยังไม่จำเป็นต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริงๆ เพราะเงื่อนไขหนึ่งที่ศาลจะสั่งอนุญาตให้ดักรับข้อมูลได้ คือ จะทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในการ “ป้องกัน” ก่อนที่จะมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น การดักรับข้อมูลจึงไม่ใช่อำนาจที่ทำได้เฉพาะเพื่อการตามหาตัวผู้ต้องสงสัยหลังเกิดการกระทำความผิดขึ้นแล้วเท่านั้น
ข้อสังเกตประการที่สี่ การให้ศาลเป็นองค์กรถ่วงดุลเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะจากงานวิจัยผลกระทบจากการบังคับใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พบว่า ในทางปฏิบัติเมื่อเจ้าหน้าที่ขออนุญาตศาลเพื่อปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ ศาลทำงานในลักษณะคล้าย “ตรายาง” คือ มีคำสั่งอนุญาตตามที่ขอมาทั้งหมด บางครั้งมีคำขอปิดกั้นเว็บไซต์จำนวนหลายพันยูอาร์แอล ศาลก็สั่งอนุญาตภายในวันเดียวกัน จึงชวนให้ตั้งคำถามถึงกลไกการถ่วงดุลโดยใช้ศาลเพียงองค์กรเดียว ว่าเพียงพอที่จะตรวจสอบเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนแล้วหรือไม่
ร่างแก้ไข วิ.อาญาฯ มาตรานี้ ยังต้องทำการบ้านอีกหลายชิ้นเพื่อหาจุดสมดุล ระหว่างการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารของประชาชนและการควบคุมอาชญากรรมเพื่อความมั่นคงของรัฐ
เพิ่มมาตรา 133/1 และ 233/1 หากใช้สิทธิไม่ตอบคำถาม ให้สันนิษฐานเป็นผลร้ายไว้ก่อน
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาปัจจุบัน “สิทธิที่จะไม่ให้การ” เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญของผู้ต้องหา ตามมาตรา 134/4 เพื่อคุ้มครองผู้ต้องหาในกรณีที่ยังไม่พร้อมจะให้การเพราะยังต้องการเวลาปรึกษาทนายความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม หรือเพราะยังอยู่ในอาการตกใจจากการถูกจับ เพื่อคุ้มครองไม่ให้ผู้ต้องหาเผลอให้การเป็นผลร้ายกับคดีของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ในทางปฏิบัติผู้ต้องหาจำนวนไม่น้อยเลือกใช้สิทธิปฏิเสธและไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับรายละเอียดใดๆ เลยในชั้นสอบสวน หรือที่เรียกว่า “ปฏิเสธลอย” เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวให้พร้อมก่อนและจะไปให้การต่อสู้คดีโดยละเอียดในชั้นศาล
ร่างแก้ไข วิ.อาญา มาตรา 233/1 เปลี่ยนหลักการดังกล่าวในสาระสำคัญ 
                “มาตรา 233/1 ในกรณีที่จำเลยเบิกความในชั้นพิจารณา โดยนำเสนอข้อเท็จจริงหรือหลักฐานใดๆ ในประเด็นที่พนักงานสอบสวนได้ซักถามไว้แล้วในชั้นสอบสวน แต่จำเลยใช้สิทธิไม่ต้อบคำถามหรือไม่ให้การในชั้นสอบสวน โดยพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามมาตรา 133/1 แล้ว หากพนักงานอัยการได้โต้แย้งคัดค้านแล้ว ให้ศาลไม่รับฟังพยานหลักฐานของจำเลย หรือให้รับฟังพยานหลักฐานเป็นผลร้ายแก่จำเลยว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่น่าเชื่อถือ”
หมายความว่า หากจำเลยใช้สิทธิที่จะไม่ให้การในชั้นสอบสวน หรือไม่ตอบคำถามในประเด็นใดๆ แล้วจำเลยยกข้อเท็จจริงในประเด็นนั้นๆ ขึ้นต่อสู้ในชั้นศาล ร่างกฎหมายนี้ให้อำนาจพนักงานอัยการคัดค้านได้ หากคัดค้านแล้ว พยานหลักฐานที่จำเลยยกขึ้นมาในชั้นศาลนั้นศาลจะต้องไม่รับฟัง หรือรับฟังว่าไม่น่าเชื่อถือ
นอกจากแก้ไขหลักการรับฟังพยานหลักฐานในชั้นศาลแล้ว ร่างแก้ไข วิ.อาญาฯ ฉบับนี้ ยังเพิ่มมาตรา 133/1 เข้ามาเพื่อให้พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบก่อนการสอบสวนด้วยว่า หากใช้สิทธิไม่ให้การ หรือไม่ตอบคำถามใด การใช้สิทธินั้นอาจเป็นผลร้ายในชั้นศาลได้
                "มาตรา 133/1 ในการถามปากคำบุคคลใด …. ให้แจ้งบุคคลนั้นด้วยว่า หากพนักงานสอบสวนได้ถามปากคำในประเด็นใด บุคคลนั้นหรือผู้ต้องหามีสิทธิที่จะไม่ตอบคำถาม หรือให้การในประเด็นนั้นก็ได้ แต่การไม่ตอบคำถามหรือให้การในประเด็นดังกล่าวนั้น หากภายหลังบุคคลหรือผู้ต้องหานั้น  ถูกฟ้องดำเนินคดีเป็นจำเลยแล้ว  ได้นำประเด็นที่ไม่ได้ตอบหรือให้การไว้นั้นยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในชั้นพิจารณา  ให้ศาลมีอำนาจสันนิษฐานเป็นผลร้ายแก่จำเลย และศาลจะไม่รับฟังพยานหลักฐานของจำเลยในชั้นพิจารณานั้นได้  หากพนักงานสอบหรืออัยการได้โต้แย้งคัดค้านไว้”
            
ข้อสังเกตประการแรก ร่างแก้ไข วิ.อาญาฯ ฉบับนี้ เปลี่ยนแปลงหลักการเรื่องสิทธิที่จะไม่ให้การของผู้ต้องหาในสาระสำคัญ หากร่างกฎหมายนี้ประกาศใช้ ถึงแม้ผู้ต้องหาจะยังมีสิทธิที่จะไม่ให้การ หรือไม่ตอบคำถามในชั้นสอบสวน ตามมาตรา 134/4 อยู่เช่นเดิม แต่ผู้ต้องหาก็แทบไม่มีโอกาสกล่าวถึงประเด็นนั้นๆ ในชั้นศาลอีกต่อไป ดังนั้น ผู้ต้องหาทุกคนจึงเหมือนถูกบังคับให้ต้องตอบคำถามเจ้าหน้าที่ตำรวจในชั้นสอบสวนทุกคำถาม
ร่างแก้ไข วิ.อาญาฯ ฉบับนี้ยังไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น สภาวะทางอารมณ์ของผู้ต้องหาขณะถูกสอบสวน ความพร้อมที่จะจดจำข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ได้ในขณะนั้น ความรู้ทางด้านกฎหมาย และความพร้อมจากการปรึกษาทนายความและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก่อน
ข้อสังเกตประการที่สอง ร่างฉบับนี้ให้อำนาจดุลพินิจอยู่ที่พนักงานอัยการ แต่ไม่ให้ศาลมีดุลพินิจเลย โดยกำหนดให้เป็นอำนาจของอัยการในการโต้แย้งคัดค้าน หากอัยการคัดค้านในกรณีใดร่างฉบับนี้กำหนดว่าศาลต้องไม่รับฟังพยานหลักฐานนั้น โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานในกรณีที่จำเป็นเพื่อความยุติธรรมของแต่ละคดีเลย
หากร่างแก้ไข วิ.อาญาฯ ฉบับนี้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็น่าติดตามต่อไปในอนาคตว่า จะมีการแก้ไขปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ ที่ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน หรือจะมีการเปิดให้ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นมากน้อยเพียงใด 
ไฟล์แนบ