ชูวัสมองทุกฝ่ายต่างปรารถนาดี ยันต้องรวมม. 112 ในกฎหมายนิรโทษกรรม

26 กันยายน 2567 ในงานเปิดตัวโครงการ “Freedom bridge” มีวงเสวนา “นิรโทษกรรมประชาชน ยังมีความหวัง?” โดยชูวัส ฤกษ์ศิริสุข กรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเล่าถึงบรรยากาศในการทำงานในคณะกรรมาธิการฯ และโอกาสในการที่กฎหมายนิรโทษกรรมจะรวมคดีมาตรา 112 เขาย้ำว่า หากการนิรโทษกรรมไม่รวมคดีมาตรา 112 จะกลายเป็นกระบวนการต่อเนื่องของความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นมาในสองทศวรรษนับแต่การรัฐประหาร 2549 

ชูวัสมองทุกฝ่ายต่างปรารถนาดี ยันต้องรวมม. 112 ในกฎหมายนิรโทษกรรม

หลังฉากทุกฝ่ายเห็นร่วมเรื่องนิรโทษกรรม แต่สงวนท่าทีเรื่องมาตรา 112 ต่อสาธารณะ

ชูวัส กล่าวว่า บรรยากาศการทำงานในคณะกรรมาธิการฯ “น่าจะเป็นงานหนึ่งในหลายๆเดือนเลยที่ผมทำแล้วก็มีความสุขเพราะว่า แต่ละคน สำหรับผม…ผมรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยความปรารถนาดีในหลังฉาก แต่เมื่อมันปรากฏว่าจะต้องเป็นข่าวขึ้นมามันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ก็เป็นข้อสังเกตหนึ่ง ผมก็ไปนั่งคุยกับแต่ละคนในกรรมาธิการไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเพื่อไทย ฝ่ายก้าวไกล…หรือแม้กระทั่งฝ่ายไพบูลย์ นิติตะวันก็เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่าจริงๆแล้วก็อยากให้เอาออกมาเพียงแต่ว่าจะต้องมีเงื่อนไขอย่างนู้นอย่างนี้คือหลักๆแล้วมันก็มีประเด็นแค่ว่าอย่าให้มันเป็นประเด็นเรื่องแสดงตัวว่าเขาไปเห็นด้วย หรือเห็นดีเห็นงามกับ “มาตราหนึ่ง” กับการแก้ไขมาตรา 112 หรือบรรเทาเบาบางมาตราที่เกี่ยวกับความมั่นคงมาตรานี้ แต่ว่าโดยหลักแล้วมันเห็นความปรารถนาดีร่วมกันบางอย่างว่าไม่มีใครควรจะต้องอยู่ในเรือนจำเพราะความคิดต่าง

อันนี้ผมจับตรงนั้นได้และผมก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันก็ยืนอยู่บนฐานของความเป็นมนุษย์ ความเอื้ออาทรต่อกันทั้งทุกฝ่าย แต่ว่าโอเคมันก็จะมีเห็นต่างอะไรกันไปก็ตามแนวคิด ซึ่งมันพอจะอธิบายได้แล้วพอจะเข้าใจกันแต่ละฝ่ายได้แต่ว่าจุดร่วมตรงนี้เนี่ยมันอาจจะต้องอาศัยไหว้วานหรือว่าใช้พลังทางสังคมบางอย่างที่ขับเน้นความเป็นมนุษย์ร่วมกันบางอย่างว่า ไม่ว่ายังไงเราก็รู้ว่าเส้นของมัน มันไม่ควรจะต้องรุนแรงต่อกันอันนี้เราขีดกันไปได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า มันไม่ต้องฆ่ากันหรอก แล้วก็ในปรากฏการณ์ที่ผ่านมาโชคดีที่เราอาจจะมีพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ได้นำพาประเด็นไปสู่ไกลถึงขนาดจะต้องลงถนน ซึ่งทำให้เสียงที่เกิดการจลาจล ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นบทบาทที่ดีแล้วก็พยายามจะประคองให้เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่แค่เป็นเรื่องความคิดต่างซึ่งผมคิดว่า มันก็ต้องอาศัยที่สังคมจะต้องช่วยกันในการสร้างภูมิต้านทานบางอย่างให้เห็นว่า เรื่องแบบนี้มันเป็นมันควรจะเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยได้แล้วนะ

แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาจจะต้องใช้เวลาทีเดียว ซึ่ง ณ วันนี้…คือผมเห็นความปรารถนาดีเพียงแต่เมื่อความปรารถนาดีจำเป็นต้องถูกแสงส่องทางการเมืองหรือว่ามีแสงในทางการเมืองหรือต้องบอก position ของแต่ละคน มันทำให้ position บดบังในสิ่งที่ทุกคนอยากให้เป็น รวมทั้งฝ่ายขวาในกรรมาธิการด้วยนะอันนี้เป็นข้อสังเกตที่ผมเห็น”

ยันต้องรวมมาตรา 112 มิเช่นนั้นจะเป็นภาคต่อของความไม่เป็นธรรมนับแต่รปห. 49

ในประเด็นเรื่องโอกาสในการนิรโทษกรรมรวมมาตรา 112 ชูวัสกล่าวว่า “มี ไม่งั้นเราสามคน [ชัยธวัช ตุลาธนและเข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง] ที่เป็นกรรมาธิการในที่นี้คงไม่ยอมรับการนิรโทษฯ มาตรา 112 แบบมีเงื่อนไขเพราะว่าเราเห็นโอกาสแต่ถ้าเกิดว่า ถามกันสามคนในวงภายในเราก็เฮ้ยมึงต้องนิรโทษฯเลย 112 ต้องไม่มีเงื่อนไขเลยแต่ว่าเพราะว่าเราเห็นโอกาสไงเราจึงยอมที่จะยอมให้มีการนิรโทษฯ 112 แบบมีเงื่อนไข เพราะเราหวังโอกาสที่มันริบหรี่แล้วมันจะมีขึ้นมาในสภา เพราะว่าเอาจริงๆ…คือมันไม่ได้แปลว่า เราไม่ยอมรับมาตรานี้ เพราะว่าการยอมรับนิรโทษฯ 112 ในทางหนึ่งเท่ากับว่าในทางนึงก็เท่ากับว่าโอเคมาตรานี้ยังมีอยู่มันยังเป็นกฎหมายอยู่ เอาล่ะก็ปล่อยมาดำเนินไปแต่มันมีเหตุแห่งการให้อภัย มีเหตุแห่งการที่ต้องเข้าใจ…

เนื่องจากว่าพีเรียดของคดีต่างๆที่โดนและอยู่ในเงื่อนไขของการนิรโทษฯครั้งนี้ มันครอบคลุมไปเกือบ 20 ปี เอาเข้าจริงๆแล้วคนที่ติดคุกจริง ก่อนปี 63 นะคนที่ติดคุกจริงพ้นคุกพ้นตะรางมาแล้วแล้วตายด้วยก็คือคนเสื้อแดง แทบจะเรียกว่าไม่มีกรณีที่อะลุ่มอล่วยให้อภัยใดๆเลย ส่วนใหญ่แล้วก็ติดครบหมดรวมทั้งสมยศ…ในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในกลุ่มกปปส. ถ้าไม่ผิดเรื่องอาวุธเรื่องการสังหารคนอย่างกรณีมือปืนป๊อปคอร์น ผมก็จำไม่ได้เลย นึกไม่ออกเลยว่ามีใครติดคุกจริง คือน้อยมาก คงมีแหละแต่น้อยมาก เพราะฉะนั้นแล้วถ้านิรโทษฯชุดนี้ไม่รวมเรื่อง 112 มันเท่ากับว่า มันจะเป็นร่างกฎหมายนิรโทษฯหรือมันจะเป็นกฎหมายนิรโทษฯที่เป็นเฟสต่อเนื่องเป็นกระบวนการต่อเนื่องของกระบวนการรัฐประหารนับตั้งแต่ 19 กันยาฯ 

ก็คือปลุกม็อบให้เกิดการรัฐประหารแล้วก็อภัย ซึ่งมีผลในทางปฏิบัติกับคนที่ปลุกม็อบให้เกิดการรัฐประหาร เพราะว่าคนที่มีส่วนร่วมในการปูพรมให้เกิดการรัฐประหารไม่ได้ติดคุกจริงเลยและการนิรโทษฯครั้งนี้มันจะมีผลต่อพันธมิตรต่อกปปส.เป็นด้านหลักคือคดีล้มละลายที่โดนฟ้องกันอยู่ ยึดทรัพย์อะไรต่างๆก็พ้นด้วย เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่าคนเสื้อแดงติดคุกไปแล้ว โอเคอภัยได้แต่ในนาม อภัยโทษพ้นมลทินได้ประโยชน์แค่นั้น และคนติดคุกจริงในเฟสต่อมาก็คือ ปี 63 และปี 64 …ถ้าการนิรโทษฯครั้งนี้ไม่รวม 112 มันจะเป็น Process ต่อเนื่องของความไม่เป็นธรรมนับตั้งแต่ 19 กันยาฯ ในภาพใหญ่จะเป็นอย่างงั้น…เพราะฉะนั้นมันจึงต้องร่วมนิรโทษฯ 112 ครั้งนี้ให้ได้

ถามว่าโอกาสมีไม่ก็อย่างที่บอกว่าเราเชื่อว่ามันมีไงเราถึงบอกว่ายอมๆที่จะถอยกันมาว่ายอมรับกันแบบมีเงื่อนไขนั้นก็คือปัจจัยสำคัญแล้วผมก็ยังลุ้นว่าถ้าหาที่ทางในการอธิบายอะไรบางอย่างได้หรือทำให้มันเน้นขึ้นมาให้ได้ว่า ตอนนี้มันสงบราบคาบแล้วคือลักษณะของการนิรโทษฯอันนึงก็คือว่าเมื่อมันสงบราบคาบแล้วการนิรโทษฯมันจะเกิดขึ้น เราต้องบอกว่ามันสงบราบคาบแล้วไม่มีอะไรคุกคามอีกแล้ว โอเคใครจะบอกว่าเห้ยมันไม่แมนเลยมันไม่สมาร์ทเลยก็ไม่เป็นไรแต่ว่า ณ ตอนนี้มันต้องช่วยกันบอกว่ามันไม่มีอะไรคุกคามอีกแล้ว สถานการณ์มันกำลังจะค่อยๆแปรเปลี่ยนไปให้หาจุดสมดุลให้ได้”

อ่านสรุปรายงานในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

วิดีโอแนะนำ