เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2553 เครือข่ายพลเมืองเน็ต คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) และ Southeast Asia Press Alliance (SEAPA) จัดเวทีสัมมนา “3 ปีการบังคับใช้ พ.ร.บ.คอมฯ : หลักนิติรัฐกับความรับผิดชอบของภาครัฐ” ณ โรงแรมโนโวเทล สยาม
ศิลป์ฟ้า ตันศราวุธ นักกฎหมายอิสระด้านสื่อ นำเสนอบทวิเคราะห์ต่อพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งประกาศใช้มาแล้วสามปี กฎหมายฉบับนี้ทำให้การฟ้องร้องคดีทำได้โดยตรงและสะดวกขึ้น เพราะมีการนิยามว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์คืออะไร ก่อนที่จะมีกฎหมายนี้ จะมีคำถามเช่น โปรแกรมเป็นทรัพย์หรือไม่ แล้วการขโมยข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นการขโมยทรัพย์หรือไม่ พอมีพ.ร.บ.นี้ออกมา การขโมยข้อมูลคอมพิวเตอร์ถือเป็นการกระทำผิด
อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า นับจากประกาศกฎหมายนี้ออกมา ก็มีคดีเกิดขึ้นมากและหลายคดีเป็นที่อยู่ในความสนใจของสื่อทั้งไทยและเทศ
“สาเหตุที่ทำให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้น่าสนใจและอื้อฉาว คือ มาตรา 14 ซึ่งระบุว่า ถ้าคุณกระทำผิดโดยใช้คอมพิวเตอร์ คุณก็ผิดมาตรา 14 ซึ่งย้ำว่ามันผิดกฎหมายอื่นอยู่แล้ว”
ศิลป์ฟ้ากล่าวถึงตัวอย่างคดีจากกฎหมายอื่นๆ ที่ถูกใช้ให้เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เช่น มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา (คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่า แม้ในเนื้อหาของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ได้พูดถึงความผิดฐานนี้ แต่เมื่อเกิดความผิดฐานหมิ่นฯ จะมีการนำมาตรา 14 ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาบังคับใช้เป็นหลัก เช่น กรณีของนายสุวิชา ท่าค้อ ที่โพสรูปในหลวง และกรณีนางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้ให้บริการเว็บไซต์ประชาไท ที่อัยการส่งฟ้องตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯเพราะเห็นว่าเป็นเนื้อหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ศิลป์ฟ้ากล่าวว่า กฎหมายนี้ใช้มา 3 ปีก็มีข้อถกเถียงว่าควรแก้ไขหรือไม่ ซึ่งล่าสุดมีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ของวุฒิสภาที่ศึกษาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ข้อสรุปของกมธ. ไม่ได้เสนอให้แก้ไขมาตรา 14 ในส่วนที่ภาคประชาสังคมมีความกังวล และไม่ได้แตะเนื้อหาเรื่องอำนาจรัฐในกฎหมายฉบับนี้ อย่างไรก็ดี เขาเห็นว่าภาคประชาสังคมน่าจะมีการถกเถียงในส่วนนี้
ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงหลักการเสรีภาพสื่อว่า การปิดหนังสือพิมพ์หรือสื่อจะทำไม่ได้ ถ้าจะทำตามกฎหมายก็ต้องจำกัดเฉพาะ ไม่ใช่ปิด การจำกัดหมายถึง หากหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับมีการละเมิดบางประการ ก็ต้องห้ามจำหน่ายจ่ายแจกเฉพาะฉบับนั้น หรือถ้าศอฉ.ห้ามจำหน่าย ก็ต้องห้ามเฉพาะฉบับที่ละเมิดกฎหมาย เขาเห็นว่า กฎหมายคอมพิวเตอร์ ในมาตรา 20 ก็ไม่ได้หมายความว่า ให้อำนาจศาลสั่งปิดเว็บไซต์ได้ ทำได้เพียงระงับการแสดงข้อมูลเฉพาะในส่วนที่ละเมิดกฎหมาย
นายกสมาคมนักข่าวฯ เสนอว่า น่าจะมีการผลักดันหน่วยงาน เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เพื่อฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
นิรันดร์ เยาวภาว์ บรรณาธิการเว็บไซด์เอเอสทีวีผู้จัดการ เล่าถึงปัญหาจากการบังคับใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฟ้องผู้จัดกวน แม้ว่าคอลัมน์ผู้จัดกวนจะมีคำเตือนอยู่แล้วว่า สิ่งที่ทำเป็นเรื่องสมมติ อีกทั้งภาพในผู้จัดกวนปรากฏทั้งในเว็บไซต์และในหนังสือพิมพ์ แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็เลือกฟ้องเฉพาะในส่วนของเว็บไซต์
“การใช้กฎหมายนี้ เน้นเอาผิดคนทำมากกว่าคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้” นิรันดร เยาวภาว์กล่าว
ในการเสวนาช่วงบ่าย มีการพูดถึงการควบคุมสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตของภาครัฐ ผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการพัฒนาประชาธิปไตย สฤณี อาชวานันทกุล กรรมการเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า รัฐไทยเข้าใจผิดว่าอินเทอร์เน็ตเป็นสือที่คล้ายสื่ออื่นๆ อย่างหนังสือพิมพ์ หรือวิทยุ จึงพยายามที่จะคัดกรอง แต่โดยธรรมชาติของอินเทอร์เน็ตเป็นระบบเปิด ถ้าปิดขวางไม่ให้เดินไปได้ ก็จะเล็ดรอดไปได้อยู่ดี
“ถ้าผู้ใช้อำนาจยังมองอินเทอร์เน็ตว่าคือสื่อที่ต้องคัดกรองกัน ต้นทุนของการเซ็นเซอร์ไม่ใช่แค่ความเร็ว เงิน สิทธิเสรีภาพเท่านั้น แต่ยังมีความเสียหายในอนาคต นวัตกรรมใหม่ๆ การออกแบบเว็บไซด์ใหม่ๆ เครื่องมือต่างๆ เราจะมีไปนานแล้วถ้ารัฐบาลไม่เซ็นเซอร์ เพราะฉะนั้น เราควรมาตั้งคำถามว่า เราได้สูญเสีย โอกาสจากการที่ไม่เปิดให้ผู้ใช้ช่วยสร้างเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว”
สุรนันท์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พูดถึงวัฒนธรรมองค์กรที่ระบบราชการไทยมีรากฐานมาจากอำนาจนิยม มีระบบอุปถมภ์เชิงศักดินา ใครก็ตามเมื่อได้มาเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี ก็มาเป็นผู้ชี้นำให้คนอื่นทำตามเขากล่าวว่า วัฒนธรรมองค์กรแบบอำนาจนิยมนี้เองที่เปิดฉากปิดกั้นการตรวจสอบ ก่อให้เกิดกฎหมายหรือระเบียบที่ให้อำนาจกว้างขวางแก่คนที่เป็นหัวโขน
ตัวอย่างเช่นพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่เขียนให้อำนาจไว้อย่างครอบจักรวาล เช่น พูดถึงความมั่นคงรัฐ พูดถึงเรื่องลามก ซึ่งที่แท้แล้วไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งเหล่านี้ ปล่อยให้ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้ใช้อำนาจ และไม่เพียงเท่านั้น ยังมีกฎหมายพิเศษอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่ยิ่งให้อำนาจมาก ควบคุมมาก
“การปิดกั้นสื่ออินเทอร์เน็ต ปิดหนังสือพิมพ์ เป็นทัศนคติของมนุษย์ที่มีอำนาจ” อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว