พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ยาแรงผิดขนานสำหรับการหมิ่นประมาทออนไลน์

*หมายเหตุ* พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ถูกแก้ไขในปี 2560 และมาตรา 14(1) ถูกแก้ไขไปแล้ว
เนื้อหาในบทความนี้จึงมีส่วนที่ไม่ทันสมัยต่อกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป
ดูการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมได้ทาง https://ilaw.or.th/node/4901
เนื่องจากปัจจุบันคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตคนเรามากขึ้นทุกวัน “อาชญากรรมคอมพิวเตอร์” จึงเพิ่มมากขึ้นด้วย พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จึงถูกตราขึ้นมาเพื่อรับมือกับปัญหานี้
การกระทำที่พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กำหนดให้เป็นความผิด มีทั้งการกระทำต่อระบบคอมพิวเตอร์ เช่น เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต การดักข้อมูล การรบกวนระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา 5-13 หรือที่เรียกว่า “ความผิดต่อระบบ” นอกจากนี้ยังมี “ความผิดเกี่ยวกับเนื้อหา” ซึ่งระบุไว้ตั้งแต่ มาตรา 14- 16
สถิติจากงานวิจัย* ตั้งแต่กรกฎาคม 2550 ถึง ธันวาคม 2554 มีคดีความตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่ขึ้นถึงชั้นศาล แบ่งเป็นความผิดต่อระบบ 62 คดี ความผิดต่อเนื้อหา 215 คดี
ทำให้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับปัจจุบันถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ควรรวมความผิดเกี่ยวกับเนื้อหาไว้ด้วยหรือไม่ เนื่องจากพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมดูแลการกระที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบในทางเทคนิคเท่านั้น 
อีกทั้ง ความผิดหลายมาตราก็ซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่มีอยู่แล้ว เช่น มาตรา 14(4) เรื่องข้อมูลลามก ก็มีกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287 ในความผิดฐานเผยแพร่สื่อลามกอยู่แล้ว หรือ มาตรา 14(3) เรื่องข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคง ก็มีกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 107-135/4 อยู่แล้ว เช่นเดียวกับกรณีของมาตรา 14(1) ที่ถูกใช้นำไปฟ้องต่อการมิ่นประมาทจำนวนมาก ทั้งที่มีฐานความผิดเรื่องหมิ่นประมาท และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และ 328 อยู่แล้ว
อะไรคือความผิดตาม มาตรา 14(1) 
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ระบุว่า “ผู้ใด …. (1) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าท้ังหมดหรือบางส่วน  หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” การเขียนกฎหมายเช่นนี้เป็นการเปิดให้ต้องตีความอยู่มาก ทำให้ลักษณะของความผิดที่ฟ้องร้องเป็นคดีความกันด้วยมาตรา 14(1) มีความหลากหลาย ดังต่อไปนี้
1.ความผิดต่อระบบ เช่น การปลอมแปลงไฟล์เพื่อแฝงตัวเข้ามาทำลายระบบคอมพิวเตอร์
2.การหลอกลวง ฉ้อโกง เช่น การปลอมหน้าเว็บไซต์ว่าเป็นเว็บไซต์ของสถาบันการเงิน
3.การหมิ่นประมาท
ลักษณะของความผิดทั้งสามแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ สองข้อแรกเป็นความผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อคนจำนวนมากหรือต่อประชาชน ขณะที่การหมิ่นประมาทเป็นความผิดต่อส่วนตัว นอกจากนี้ ในกรณีความผิดต่อระบบ และการฉ้อโกง ศาลมักตัดสินให้มีความผิด ขณะที่การหมิ่นประมาท มีอัตราการยกฟ้องและถอนฟ้องสูง 
อย่างไรก็ดี จากสถิติ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 จนถึง เดือนธันวาคม 2554 คดีที่ฟ้องร้องโดยพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์  ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว เป็นคดีตามมาตรา 14(1) มากที่สุด ซึ่งเป็นความผิดประเภทหมิ่นประมาท การฉ้อโกง และเป็นความผิดต่อระบบ มากน้อยตามลำดับ
อะไรคือสิ่งที่ มาตรา 14(1) มุ่งคุ้มครอง
องค์ประกอบความผิดที่สำคัญใน มาตรา 14(1) คือ “ข้อมูลความพิวเตอร์ปลอม หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ” ซึ่งไม่เหมือนกับกฎหมายหมิ่นประมาทที่ไม่สนใจว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ แม้เป็นความจริงแต่หากทำให้ผู้ถูกใส่ความเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ก็เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท  
อีกทั้งจุดประสงค์แรกเริ่มของการออกกฎหมายมาตรานี้ ก็เพื่อป้องกันและปราบปรามการปลอมแปลงข้อมูลคอมพิวเตอร์ เช่น การปลอมหน้าเว็บไซต์ให้ผู้ใช้เข้าใจผิดเพื่อขโมยข้อมูลของผู้ใช้ หรือที่เรียกว่า Phishing เป้าหมายของมาตรา 14(1) เพื่ออุดช่องว่างของกฎหมายอาญาเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งความผิดฐานปลอมเอกสาร ในประมวลกฎหมายอาญา มีความหมายเฉพาะกระดาษหรือวัตถุอื่นใดที่มีรูปร่างและจับต้องได้เท่านั้น ยังไม่สามารถตีความให้ครอบคลุมการปลอมแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ 
แต่ตามสถิติกลับพบว่ามาตรา 14(1) ถูกนำมาใช้ดำเนินคดีกับเรื่องการหมิ่นประมาทเป็นส่วนมาก ทำให้เกิดคำถามว่า การบังคับใช้มาตรา 14(1) กับการหมิ่นประมาทในโลกออนไลน์ เป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์แล้วหรือไม่
ผลกระทบของการใช้ มาตรา 14(1) ในฐานความผิดหมิ่นประมาท
1. เป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ซ้ำซ้อน เนื่องจากความผิดฐานหมิ่นประมาทมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้ว แม้จะเป็นการกระทำบนอินเทอร์เน็ต ก็มีความผิดหมิ่นฐานประมาทโดยการโฆษณาอยู่แล้ว ทำให้เกิดความสับสนในการตีความการบังคับใช้กฎหมาย และทำให้คดีความรกโรงรกศาล
2. อัตราโทษที่สูง ความผิดตามมาตรา 14(1) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณามีอัตราโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อนำพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) มาใช้ฟ้องร้องในประเด็นการหมิ่นประมาทจึงทำให้จำเลยต้องแบกรับอัตราโทษที่หนักขึ้น
3. ยอมความไม่ได้ คดีหมิ่นประมาทเป็นความผิดต่อส่วนตัว คดีจำนวนไม่น้อยเมื่อขึ้นสู่ชั้นศาลแล้วสามารถตกลงชดใช้ค่าเสียหาย หรือกล่าวขอโทษกัน ก็ทำให้คดีความจบกันไปได้ แต่ความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ไม่ใช่ความผิดที่ยอมความได้ แม้ผู้เสียหายกับจำเลยตกลงกันได้จนคดีหมิ่นประมาทจบลงแล้ว ความผิดตามมาตรา 14(1) ก็ยังต้องดำเนินคดีต่อไป ส่งผลกระทบต่อตัวจำเลยและทำให้คดีรกโรงรกศาลโดยไม่จำเป็น
4. ไม่มีหลักเรื่องความสุจริตหรือประโยชน์สาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329-330 การหมิ่นประมาทที่กระทำไปโดยการติชมด้วยความสุจริต หรือการวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นประโยชน์สาธารณะ เป็นเหตุยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษได้ แต่ความผิดตามมาตรา 14(1) แม้เป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะก็ตาม ก็ไม่สามารถอ้างเหตุเหล่านี้ขึ้นต่อสู้คดีได้
5. คุกคามเสรีภาพสื่อ เนื่องจากปัจจุบันมีสื่อออนไลน์เกิดขึ้นมาก แม้แต่สื่อกระแสหลักก็พัฒนาช่องทางออนไลน์ให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสื่อสาร เมื่อมีคดีความหมิ่นประมาทเกิดขึ้น มาตรา 14(1) ก็มักถูกฟ้องพ่วงเข้าไปด้วย ซึ่งเพิ่มภาระของสื่อหรือผู้ถูกกล่าวหาในการสู้คดี และปัจจุบันแนวโน้มการฟ้องร้องสื่อ ด้วยมาตรา 14(1) ก็มีสูงขึ้น กระทบต่อการบรรยากาศการใช้เสรีภาพในสังคม
กรณีตัวอย่างการใช้มาตรา 14(1) ฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่กระทบต่อบรรรยากาศเสรีภาพ
16 ธันวาคม 2556 กองทัพเรือแจ้งความดำเนินคดีกับ อลัน มอริสัน และชุติมา สีดาเสถียร นักข่าวจากเว็บไซต์ภูเก็ตหวาน สำนักข่าวระดับท้องถิ่นของจังหวัดภูเก็ต จากการเผยแพร่ข่าวบนเว็บไซต์ phuketwan.com อ้างอิงรายงานของรอยเตอร์ กล่าวหาว่าทหารเรือมีส่วนเกี่ยวข้องและได้รับผลประโยชน์จากขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา จะมีการนัดสืบพยานในเดือนมีนาคม 2558 
4 กุมภาพันธ์ 2556 บริษัท เนเชอรัล ฟรุต เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อานดี้ ฮอลล์ นักวิจัยด้านสิทธิแรงงาน จากการที่เขาเผยแพร่งานวิจัยเรื่อง การละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติในโรงงานผลไม้กระป๋อง เนื้อหาของงานวิจัยมีเรื่องการจ้างแรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ด้วยค่าจ้างที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนด รายงานวิจัยของเขาถูกสื่อเผยแพร่ไปในอินเทอร์เน็ต เขาจึงถูกฟ้องเป็นคดีพ.ร.บ.คอมพิเตอร์ฯ นอกจากนี้เขายังถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่งอีกด้วย
สงคราม ฉิมเฉิด เป็นพนักงานของบริษัทไทยอินดัสเตรียลแก๊ส และเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน กลางปี 2553 สงครามถูกผู้บริหารของบริษัทฟ้องว่าเป็นผู้ส่งอีเมลกล่าวหาผู้บริหารระดับสูงว่าห้ามเขาเข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพแรงงาน ต่อมาคดีมีการไกล่เกลี่ยยอมความ นายจ้างถอนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท แต่ข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ถอนฟ้องไม่ได้ สงครามจึงต้องต่อสู้คดีต่อไป ต่อมาศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ส่งอีเมล์จริง
ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป แห่งประเทศไทย แจ้งความดำเนินคดีกับ ปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ จากการโพสต์ข้อมูลและรูปภาพลงเฟซบุ๊กเกี่ยวกับความผิดพลาดในการรักษาพยาบาล 29 เมษายน 2554 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร จ.สุรินทร์ ออกหมายเรียก ปรียานันท์ต้องเดินทางไปจ.สุรินทร์เพื่อให้ปากคำ ต่อมาอัยการสั่งไม่ฟ้อง
13 กันยายน 2556 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดย นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการสหกรณ์ฯ ยื่นฟ้องนายมณฑล กันล้อม ประธานกรรมการดำเนินการฯ สหกรณ์และพวกรวม 6 คน ซึ่งรวมถึงกองบรรณาธิการของสำนักข่าวไทยพับลิก้า จากการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการทุจริตภายในสหกรณ์ ต่อมา 2 มิถุนายน 2557 โจทก์ถอนฟ้อง
13 มิถุนายน 2556 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจเผยแพร่บทสัมภาษณ์ที่กล่าวถึงความเสียหายของประเทศหากให้บริษัททุนข้ามชาติสามารถจดโดเมนเป็น .thai ต่อมาผู้ให้สัมภาษณ์และบรรณาธิการเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจถูกบริษัท เบ็ทเทอร์ ลิฟวิ่ง แมนเนจเมนท์ จำกัดที่ถูกพาดพิงฟ้อง คดียังอยู่ระหว่างการการไต่สวนมูลฟ้อง
4 กันยายน 2555 ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในพัทยาสองคนยื่นฟ้อง แอนดรูว์ ดรัมมอนด์ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศและเจ้าของเว็บไซต์ จากการปล่อยให้มีคนคอมเมนต์ในเว็บไซต์กล่าวหาโจทก์ว่ามีพฤติกรรมเป็นแมงดา ศาลพิพากษาว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาทให้จำคุก 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท ยกฟ้องข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะพิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยรู้ว่าข้อความเป็นเท็จ
ฝนทิพย์ วัชตระกูล หรือ ปุ๊กลุ๊ก อดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2553 ยื่นฟ้องเว็บไซต์ไทยเดย์ดอทคอม ในเครือผู้จัดการ จากการเผยแพร่คอลัมน์ Super บันเทิง Online กล่าวหาโจทก์ว่ามีความประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะกับการเป็นกุลสตรีไทย ศาลพิพากษาว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาทปรับจำเลยที่หนึ่ง 200,000 บาท จำคุกจำเลยที่สอง 2 ปี และปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา ให้ทำลายข้อความในเว็บไซต์ และให้ชดใช้ค่าเสียหาย ยกฟ้องข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
เอกสิทธิ์ วันสม ประธานบอร์ดบริหารทีโอที ฟ้องว่า วันที่ 30 พฤษภาคม 2554 เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์เผยแพร่ข่าว ทำนองว่า โจทก์ในฐานะประธานบอร์ดบริหารกับประธานการประเมินกรรมการผู้จัดการใหญ่เข้าแทรกแซงสั่งการในการปรับโครงสร้างผังองค์กร และเข้าไปมีผลประโยชน์หักค่าหัวคิวเก็บค่าคอมมิชชั่นในโครงการต่างๆ 17 ตุลาคม 2554 โจทก์ถอนฟ้อง บทความถูกเอาออกแล้ว
25 สิงหาคม 2557  ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง มอบหมายให้ทนายความ ฟ้องร้องสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย, นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศราฯ และนายเสนาะ สุขเจริญ บรรณาธิการสำนักข่าวอิศราฯ จากการเสนอข่าว “จดหมายน้อย” เกี่ยวกับการที่ประธานศาลปกครองพยายามใช้เส้นแต่งตั้งนายตำรวจ
———————————————————–