“ไม่ควรจะมีอีกแล้ว” เสียงของผู้สมัคร สว. รอบสุดท้าย หลังล่ารายชื่อร้องเรียนความผิดปกติแต่กกต. เงียบ

“แบ่งกลุ่ม-เลือกกันเอง” คือ ระบบการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในปี 2567 โดยมีผู้สมัครจำนวน 48,117 คน จะต้องลงคะแนนให้กันเองตั้งแต่ระดับอำเภอ ผ่านเข้าสู่ระดับจังหวัด และเหลือรอดเป็นผู้ชนะในระดับประเทศเพียง 200 คน แต่จากมุมของผู้สมัครที่นั่งอยู่ในกระบวนการและจับจังหวะความผิดปกติของระบบนี้ได้ มองว่าเป็นระบบที่ออกแบบมาให้ “ฮั้ว” กัน และจากความผิดปกติทั้งหลายเจอมากับตา ทำให้เห็นว่า ระบบเช่นนี้ “ไม่ควรจะมีอีกแล้ว”

ไอลอว์พูดคุยกับผู้สมัครสองคนที่เดินทางผ่านเข้ารอบมาสู่รอบสุดท้ายในระดับประเทศ คนแรกคือ ธีระพงศ์ กันตรัตนากุล ผู้สมัครจากจังหวัดชลบุรี กลุ่ม 8 สิ่งแวดล้อม-พลังงาน-อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสุดท้ายไม่ได้รับเลือกเป็นสว. และผู้สมัครอีกคนหนึ่งที่ขอให้ใช้นามสมมติเรียกเธอว่า “มะลิ” เพราะเธอยังอยากทำงานในบทบาทอื่นต่อ มะลิเป็นหนึ่งในผู้สมัครในรอบสุดท้ายที่ลุกขึ้นมากลางสนามการเลือกในคืนนั้นแล้วคว้ากระดาษกับปากกา ประกาศรวบรวมรายชื่อผู้สมัครคนอื่นๆ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงความผิดปกติของการเลือก สว. ระดับประเทศ

“ไม่ควรจะมีอีกแล้ว” มะลิและธีระพงศ์ประสานเสียงพร้อมกัน

สว. ที่เลือกกันในปี 2567 มาจากระบบพิเศษตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่แบ่งผู้สมัครออกเป็นทั้งหมด 20 กลุ่ม ผู้สมัครจะต้องผ่านการเลือกทั้งสามระดับ โดยในแต่ละระดับจะมีการลงคะแนนเลือกกันสองรอบ รอบแรกผู้สมัครในแต่ละกลุ่มต้องเลือกกันเอง และส่วนรอบที่สองจะจับสลากแบ่งสายผู้สมัครออกเป็นสี่สาย สายละห้ากลุ่ม แล้วให้ผู้สมัครเลือกไขว้ ลงคะแนนให้กลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน

การเลือก สว. ในระดับอำเภอ จัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 และระดับจังหวัดจัดขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 2567 ซึ่งเสร็จสิ้นภายในวันเดียวคือโดยส่วนใหญ่ในช่วงเช้าจะเป็นการเลือกกันเอง ส่วนรอบบ่ายจะเป็นการเลือกไขว้ แต่ในระดับประเทศใช้เวลายาวนาน 21 ชั่วโมงตั้งแต่เช้าของวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ยาวไปจนถึงเช้ามืดของวันถัดไป เป็นเวลา 21 ชั่วโมงต่อเนื่องกันที่ผู้สมัครถูกยึดเครื่องมือสื่อสาร ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกัน และต้องนั่งอยู่ที่ในห้องโถง อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี

ท่ามกลางปัญหาและความผิดปกติตลอดกระบวนการที่พบเจอมา เมื่อถามอดีตผู้สมัครทั้งสองคนว่า ระบบการเลือก สว. นี้สามารถปรับปรุงให้โปร่งใสขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ได้หรือไม่ ผู้สมัครสองคนตอบประสานเสียงพร้อมกันว่า “ไม่ควรจะมีอีกแล้ว” 

“เรามาเป็น สว. เพื่อปิดสวิตช์ สว. ให้มันหายไป เราไม่ต้องการให้มี สว. ที่เป็นจระเข้ขวางคลอง เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจต่อไปแล้ว กระบวนการที่มันไม่ใช่ประชาธิปไตยมันไม่ควรจะมีอยู่” ธีระพงศ์ เล่าย้อน

“พี่คิดว่าถ้ามันมีการเลือกสว. แบบนี้อีกครั้ง…  ทุกคนจะรู้โจทย์แล้วว่าต้องทำอะไร ข้อเสนออย่างเดียวของพี่คือยุบไปเลย ถ้าจะมี สว. แล้วมาจากระบบวิธีการเลือกแบบนี้ ก็ไม่ต้องมี ” มะลิกล่าว

ระบบที่ออกแบบมาให้ฮั้ว และให้คนเกลียดกันเอง

ธีระพงศ์ กล่าวว่า ระบบการเลือก สว. ออกแบบให้ผู้สมัครต้องจับกลุ่มแลกคะแนนเพื่อให้เข้ารอบต่อไป เป็นลักษณะของการจัดตั้ง แต่จะเป็นการ “จัดตั้ง” แบบไหน มีผลประโยชน์อะไรตอบแทนหรือไม่ หรือเป็นการจัดตั้งด้วยอุดมการณ์ที่ผู้สมัครมาดีเบตกันว่าใครควรได้ไปต่อ

“กติกามันผิดตั้งแต่แรก…. ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นการฮั้ว ผมไม่เถียงว่าสิ่งนี้คือการฮั้ว กติกามันออกแบบมาให้ฮั้วกันอยู่แล้ว แต่ว่าจะฮั้วโดยสุจริตหรือทุจริต”

เนื่องจากในระบบเลือกกันเองแต่ละรอบ ผู้สมัครที่มีสิทธิลงคะแนนในแต่ละกลุ่มมีจำนวนไม่มาก หรือมีระดับหลักหน่วยซึ่งทุกคนมีโอกาสรู้จักกัน มีโอกาสที่จะได้พูดคุยทำความรู้จักและตกลงกันว่าใครจะลงคะแนนให้ใคร รวมทั้งมีโอกาสที่จะมีการตกลงกันแต่สุดท้าย “หักหลัง” ไม่ทำตามที่พูดกันไว้ มะลิ มองว่า ต่อให้ไม่มีบ้านใหญ่ที่ส่งคนเข้ามาสมัครเยอะๆ จนได้เปรียบ ระบบนี้ก็เป็นเกมที่วางแผนให้คนเกลียดกันอยู่แล้ว 

“พอมีการตกลงกัน มีคนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ไปต่อ มันก็เริ่มมีการป่วนกัน…. เริ่มเละเทะ สุดท้ายระบบนี้มันก็คือ การต่อสู้กันกับความกระหายของมนุษย์”

มะลิเล่าต่อว่า “ถ้าคุณไปสมัครโดยสุจริต คุณอยากเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงประเทศ คุณคิดว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอ ถ้ามีแค่นี้คุณไม่มีทางไปถึงไหน คุณจะตกรอบตั้งแต่ระดับอำเภอ เพราะมันต้องอาศัยวิธีการพูดคุยเท่านั้น” 

การจัดพื้นที่เพื่อเลือก สว. ระดับประเทศ 

*ภาพผังการเลือก สว. ระดับประเทศ กรอบสี่เหลี่ยมฝั่งซ้ายของภาพทั้งสี่กรอบคือโซนที่นั่งในรอบเลือกกันเอง ส่วนกรอบแนวยาวด้านฝั่งขวาของภาพคือรอบเลือกไขว้ จากเอกสารที่ผู้สังเกตการณ์การเลือก สว. ระดับประเทศได้รับ ในวันที่ 26 มิถุนายน 2567*

ในการเลือก สว. ระดับประเทศที่ อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี มีการแบ่งหอประชุมออกเป็นสองฝั่ง (ตามภาพ) 

  • ฝั่งแรกคือฝั่งรอบเลือกกันเอง จะประกอบไปด้วยคอก (คือคำที่ผู้สมัครใช้เรียกแผงกั้นระหว่างกลุ่ม) ของแต่ละกลุ่มทั้ง 20 กลุ่ม 
  • ส่วนอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นฝั่งสำหรับรอบเลือกไขว้ ที่มีการจัดคูหาลงคะแนนตามการแบ่งสาย

ในช่วงเช้าเมื่อผู้สมัครเลือกกันเองเสร็จ เจ้าหน้าที่จะให้เดินย้ายที่นั่งไปพร้อมกันทั้งกลุ่มจากที่นั่งในรอบเลือกกันเอง มาสู่ที่นั่งที่จัดไว้เป็นสายสำหรับรอบเลือกไขว้

ไม่ให้คุยกัน เข้าห้องน้ำต้องมีคนพาไป

ผู้สมัครทั้งสองคนเล่าให้เราฟังว่า “กฎเหล็ก” ของการเลือกสว. ระดับประเทศคือ ห้ามพูดคุยกัน และห้ามเดินไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต การจะลุกไปเข้าห้องน้ำจะต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่และมีเจ้าหน้าที่พาไปเท่านั้น ที่สำคัญจะมีเจ้าหน้าที่คอยเดินตรวจตราความเรียบร้อยและ “ดุ” ไม่ให้ผู้สมัครคุยกัน 

มะลิ เล่าว่ามีผู้สมัครชายสูงวัยคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ดุด่าเมื่อพบว่าผู้สมัครคนนั้นมีกระดาษบางอย่างที่เหมือนโพย ซึ่งผู้สมัครคนนั้นถูกเรียกตัวไปทำบันทึกสอบสวนในเวลาต่อมา มะลิ ตั้งข้อสงสัยว่าสำหรับการเลือก สว. ในระดับประเทศ ในรอบเลือกกันเองผู้สมัครแต่ละคนจะทำการบ้านมาดีอยู่แล้ว แต่ในรอบเลือกไขว้เราจะไม่รู้เลยว่าผู้สมัครที่เราหมายปองจะลงคะแนนให้จะเข้ารอบมาบ้างหรือไม่ ทำให้มะลิสงสัยว่า ถ้าไม่ให้คุยกันแล้วจะตัดสินใจเลือกกันได้อย่างไร

“ในความเป็นจริง มนุษย์เราจะไปทำหน้าที่ออกกฎหมายของประเทศเนี่ย คุณจะให้ฉันเลือกจากฐานของอะไร ประวัติที่ได้อ่านจาก สว.3 ก็เขียนมาตั้งแต่ระดับอำเภอ บางคนก็เขียนดี บางคนก็เขียนไม่ดี บางคนเขียนแค่ว่าทำงานในกลุ่มนี้มา 10 ปี ”

* สว.3 คือเอกสารการแนะนำตัวที่ผู้สมัครทุกคนต้องกรอกตั้งแต่การสมัคร ซึ่งจะมีช่องให้กรอกคำแนะนำตัวเองห้าบรรทัด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/40267 *

ธีระพงศ์เห็นด้วยกับ มะลิ เขาอธิบายว่า การแจกเอกสารแนะนำตัวเป็นใบ สว.3 ของผู้สมัครในรอบเลือกไขว้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าไม่มีการนัดแนะเพื่อลงคะแนนกันก่อนมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้สมัครจะสามารถตัดสินใจเลือกลงคะแนนให้กันและกันได้ 

นอกจากนี้เมื่อผู้สมัครต้องย้ายที่นั่งเมื่อเปลี่ยนจากรอบการเลือกกันเองไปสู่รอบเลือกไขว้แล้ว เอกสารแนะนำตัวที่เคยแจกให้อ่านจะต้องทิ้งไว้ที่สถานที่เลือกกันเอง ไม่สามารถนำไปในสถานที่รอบเลือกไขว้ โดยเจ้าหน้าที่จะจัดทำเอกสารชุดใหม่แจกให้ ซึ่งการจัดทำเอกสารใหม่ใช้เวลายาวนานถึงสี่ชั่วโมง 

และในเวลาสี่ชั่วโมงนี้คือจังหวะที่ผู้สมัครทั้งสองคนเริ่มจับจังหวะถึง “ความผิดปกติ”

คนเสื้อเหลืองอยู่นอกคอก ไม่ทำตามกติกา

ธีระพงศ์เล่าว่า ระหว่างการรอคอยอันยาวนานผู้สมัครจะต้องนั่งอยู่ในคอกของกลุ่มตัวเอง เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้ผู้สมัครเดินไปไหนมาไหน การไปเข้าห้องน้ำจะต้องขออนุญาต มีการเซ็นชื่อเมื่อออกและเข้าคอก โดยเขียนเวลากำกับไว้ทุกครั้ง ระหว่างทางเดินไปเข้าห้องน้ำก็จะมีเจ้าหน้าที่เดินตามประกบ

“แต่มีผู้สมัครกลุ่มหนึ่งที่ใส่เสื้อสีเหลือง-สูทสีดำ เดินว่อนพูดคุยไปทั่วทุกกลุ่ม เสมือนว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. คนกลุ่มนี้เดินไปขอแลกหมายเลขผู้สมัคร… และที่สำคัญคนกลุ่มนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ประกบด้วย” 

เจ้าหน้าที่ก็เหลือง ผู้สมัครก็เหลือง

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว คำถามคือ ธีระพงษ์และผู้สมัครคนอื่นๆ ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลอยู่หรือไม่ ธีระพงษ์ตอบว่า “เขาเดินได้แบบอิสระเสรีเลยครับ เขาเดินเข้ามาคุยกับพวกเราด้วย ผมก็มีการแจ้งกับเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มของพวกเราว่าทำไมพวกเขาเดินได้ เจ้าหน้าที่บอกว่าเขาอาจจะเป็น กกต. ก็ได้ ซึ่งความแปลกคือในวันนั้นเจ้าหน้าที่ กกต. บางส่วนโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มก็ใส่เสื้อสีเหลืองเหมือนกัน 

ธีระพงศ์ เล่าว่า ในวันนั้นเขาได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งว่าทำไมถึงใส่เสื้อสีเหลือง เจ้าหน้าที่ตอบว่าเป็นคำสั่งภายในของทาง กกต. ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาปฏิบัติงานในการเลือก สว. ระดับประเทศทุกคนต้องใส่เสื้อสีเหลือง 

จุดสำคัญที่ทำให้คนเสื้อเหลืองใส่สูทกลุ่มนี้สามารถมีอิสระเสรีในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นต้องนั่งอยู่ในคอกกลุ่มของตัวเองคือ “ป้ายชื่อ” ซึ่งธีระพงศ์ เล่าเพิ่มว่าผู้สมัครทุกคนจะมีป้ายชื่อเป็นของตัวเอง ซึ่งจะบ่งบอกชื่อ-นามสกุลและกลุ่มของผู้สมัครคนนั้น แต่ผู้สมัครเสื้อเหลืองกลุ่มนี้ก็ถอดป้ายชื่อออก ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นผู้สมัครหรือเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.

“แม้ไม่มีกฎว่าห้ามถอด แต่อยู่ดีๆ ผู้สมัครจะไปถอดป้ายชื่อออก มันก็ต้องมีคำอธิบายว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง คุณมาทำหน้าที่อะไรในสถานที่แห่งนี้ คนทั่วไปไม่มีใครถอดหรอก” มะลิเสริม

“สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นการวางแผนมาแล้ว”

ธีระพงศ์กล่าวอย่างหนักแน่น ก่อนจะเล่าว่า เขาเห็นการจับกลุ่มอยู่บริเวณทางเข้าห้องน้ำ ผู้สมัครจะไปเข้าห้องน้ำกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณสามถึงสี่คน แต่จะไม่ได้กลับมาพร้อมกันทั้งหมด มีการเวียนกันแบ่งคิวเข้าห้องน้ำเพื่อออกไปแลกคะแนนจดชุดหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร 

“เขาไปห้องน้ำ 3 คนกลับมาแค่ 2 ทิ้ง 1 คนไว้สำหรับส่งข้อมูลต่อให้กลุ่มอื่นแล้วก็เวียนกันไปอย่างนั้น”

“ในส่วนนี้ผมได้แจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยนะซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่ยังไม่มีการลงคะแนนก็สามารถพูดคุยกันได้ เจ้าหน้าที่จึงไม่ได้มีการดำเนินการอะไร” ผู้สมัครที่ได้เข้าถึงการเลือกรอบสุดท้ายเล่าด้วยความอึดอัด

กลุ่มคนเสื้อเหลือง เตรียมแผนมาอย่างดี

จากข้อเท็จจริงที่ไอลอว์พบจากการสังเกตการณ์ที่อิมแพ็คฟอรั่ม ตลอดทั้ง 21 ชั่วโมงพบว่า มีผู้สมัครจำนวนหนึ่งใส่เสื้อสีเหลืองและใส่สูทสีดำทับ และหอบแฟ้มหนาที่มีลักษณะและขนาดเหมือนกัน บางส่วนก็ใส่เสื้อเหลืองที่มีลักษณะใหม่จนยังเห็นรอยพับของเสื้อ ผู้สมัครกลุ่มนี้เกาะกลุ่มไปไหนมาไหนด้วยกันและที่สำคัญเมื่อเสร็จสิ้นการเลือกก็เดินทางกลับด้วยกันเป็นหมู่คณะ โดยมีรถตู้มารอรับกลับบ้าน

มะลิ เล่าให้ฟังว่า เธอได้เจอกับกลุ่มคนเสื้อเหลืองนี้เป็นจำนวนมาก บางส่วนใส่เสื้อเหลืองธรรมดา บางส่วนก็จะมีสูทสีดำปิดทับ มะลิมีโอกาสได้คุยกับผู้สมัครที่สวมเสื้อสีเหลืองคนหนึ่งที่บ่นให้มะลิฟังว่า เก้าอี้มันเอียงทำให้เมื่อยและเพลีย บทสนทนาของทั้งสองคนจึงเริ่มขึ้น และมะลิจะจำได้เป็นอย่างดี

“เมื่อคืนนั่งรถตู้มาจากต่างจังหวัดถึงตอนตีสี่” คนเสื้อเหลืองกล่าว

มะลิจึงถามว่ามากันกี่คน
“มากันสองถึงสามคันรถ” คนเสื้อเหลืองตอบ 

มะลิจึงถามต่อว่าแล้วถ้าเลือก สว . เสร็จแล้วจะกลับเลยหรืออยู่เที่ยวกรุงเทพฯ ต่อสักคืน? 

คนเสื้อเหลืองตอบว่า “ไม่ เขาจัดไว้แบบนี้”

คนเสื้อเหลืองกลับบ้านก่อน ไม่รอผลคะแนน

มะลิเล่าให้ฟังต่อว่าผู้สมัครกลุ่มเสื้อเหลือง เมื่อลงคะแนนเสร็จแล้วก็จะขอสละสิทธิไปรับโทรศัพท์คืนแล้วกลับออกไปทันที โดยไม่สนใจที่จะเฝ้ารอดูการนับคะแนนและรอลุ้นผล เมื่อมาถึงตอนที่มีการประกาศคะแนน ผู้สมัครในห้องประชุมก็หายไปแล้วประมาณ 30% 

สำหรับการเลือก สว. ในทุกระดับกำหนดไว้ชัดเจนให้เจ้าหน้าที่จะเก็บเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดของผู้สมัครไว้ก่อนที่จะเข้าสู่การเลือกและคืนให้หลังจากที่การเลือกเสร็จแล้ว และหากผู้สมัครขอออกจากสถานที่เลือกเจ้าหน้าที่จะถือว่าผู้สมัครคนนั้นสละสิทธิทันที

ทั้งมะลิและธีระพงษ์ แชร์ภาพจำที่ตรงกันว่า พวกเขาสังเกตเห็นผู้สมัครที่มีพฤติกรรมผิดปกติ แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม 

  • กลุ่มแรก คือ คนเสื้อเหลือง เมื่อลงคะแนนเสร็จสิ้นในรอบไขว้ ก่อนจะประกาศผล คนเสื้อเหลืองไม่รอฟังผลคะแนนเลย
  • สคนอีกกลุ่ม คือ คนที่มีคะแนนสูงระดับล้นกระดาน คะแนนติดท็อปห้าทุกกลุ่ม เหมือนนอนมา

มะลิเล่าให้ฟังว่า ผู้สมัครโดยทั่วไปรวมถึงตัวมะลิเองเมื่อมาถึงช่วงการนับคะแนนก็จะว้าวุ่นจนแทบเป็นบ้า ส่วนคนกลุ่มที่มีคะแนนสูงระดับล้นกระดาน หรือ ที่มะลิเรียกว่าผู้สมัคร “ตัวจริง” จะมีพฤติกรรมแบบนั่ง “ชิวๆ” ไม่ต้องลุ้นอะไรเลย เหมือนรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะได้รับเลือกด้วยคะแนนที่มากเพียงพอ 

มีผู้สมัครตัวจริงกับผู้สมัครพลีชีพ

ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้มีหน้าที่มาลงคะแนนในรอบเลือกกันเองเพื่อส่งคะแนนให้ผู้สมัคร “ตัวจริง” เข้ารอบไขว้ มะลิเล่าต่อว่าผู้สมัครคนที่เล่าเรื่องการจัดรถรับส่ง ได้คะแนนสูงในรอบเลือกกันเองประมาณ 25 คะแนน แต่พอในรอบเลือกไขว้ก็มีคะแนนต่ำเพียง 1 คะแนนเท่านั้น ในภาพรวม ก็จะมีผู้สมัครที่มีลักษณะเช่นนี้ คือ ได้คะแนนต่ำหรือไม่ได้คะแนนเลยในรอบเลือกไขว้

“มันไม่ใช่การพลีชีพธรรมดา มันเป็นการรับจ้าง นี่เขามาทำมาหากิน พูดจริงๆ เขาไม่ได้อยากเป็น สว. หรอก มันไม่ใช่ว่าฉันชอบเธอฉันจะยกคะแนนให้เธอแบบนั้น เหมือนมาตามคำสั่ง สั่งยังไงก็ทำตามอย่างนั้น เป็นการรับจ้างทุจริตอย่างหนึ่ง” มะลิกล่าว 

ผู้สมัครตัวจริง “คะแนนล้นจนต้องต่อกระดาน”

ธีระพงศ์ อธิบายว่า ผลคะแนนที่ออกมามีผู้ได้รับเลือกที่ได้คะแนนสูงแบบฉีกค่าเฉลี่ยออกมาแบบชัดเจนมาก ถ้าเรามองเป็นกราฟจะมีคะแนนที่หลุดค่าเฉลี่ยออกไป และคะแนนที่ต่ำค่าเฉลี่ยลงมา ชัดเจนเลยว่าคนที่ได้คะแนนสูงจนหลุดค่าเฉลี่ยออกไปคือผู้สมัคร “ตัวจริง” ของเขาทั้งหมด 

คะแนนที่ได้รับจนสูงมากเช่นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องต่อกระดานและเขียนกระดาษต่อในแผ่นที่สอง ในขณะที่คะแนนของผู้สมัครรอบเลือกไขว้ส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่เก้าคะแนน คะแนนของผู้สมัคร “ตัวจริง” เหล่านี้ก็จะอยู่ที่ 50-70 คะแนน ผู้สมัครหลายคนก็พูดกันปากต่อปากว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนได้คะแนนลักษณะนี้ 

จากการสังเกตุการณ์ของเจ้าหน้าที่ไอลอว์ พบว่า ปรากฏการณ์คะแนนที่ล้นกระดานนี้เกิดขึ้นจริง เมื่อมีการนับคะแนนไปได้ระยะหนึ่งจะพบว่าในทุกกลุ่มจะมีผลคะแนนล้นกระดานหกคนต่อกลุ่มเท่ากันถึง 19 กลุ่ม ยกเว้นกลุ่มเดียวที่มีคะแนนล้นกระดานห้าคน ทำให้มีผู้สมัครที่ได้คะแนนล้นกระดานเหล่านี้เกาะกลุ่มกันได้รับเลือกเป็นสว. รวม 119 คน

คะแนนแบบแพทเทิร์น 1 ใน 5,566 ล้านล้านล้าน

หลังการขานคะแนนทั้งในรอบเลือกกันเองและในรอบเลือกไขว้ไปได้ระยะหนึ่ง ผู้สมัครจำนวนหนึ่งจับจังหวะความผิดปกติในการขานคะแนนได้ เมื่อพบว่ามีการลงคะแนนเป็นแพทเทิร์น คือ มีบัตรลงคะแนนจำนวนหนึ่ง ที่เขียนหมายเลขในช่องลงคะแนนลงในบัตรเหมือนกันทุกหมายเลข และเรียงลำดับหมายเลขเหมือนกันด้วย โดยไม่ได้เรียงจากหมายเลขน้อยไปหามาก แต่เรียงลำดับแบบอิสระได้เหมือนกันหลายใบ 

*ธีระพงศ์ กันตรัตนากุล พร้อมกระดาษที่จดคะแนนที่มีลักษณะเป็นแพทเทิร์น*

สำหรับการเขียนหมายเลขในรอบเลือกกันเอง ซึ่งผู้สมัครหนึ่งคนสามารถเขียนได้ 10 หมายเลข จากตัวเลือกผู้สมัคร 144 คนต่อกลุ่ม โอกาสที่ผู้สมัครสองคนจะเลือกเหมือนกันทั้งสิบหมายเลขและเรียงลำดับเหมือนกัน โดยไม่ได้ตกลงนัดหมายกันมาก่อน คือ 1 ใน 5,566,857,732,147,160,000,000 (อ่านว่า หนึ่งในห้าพันห้าร้อยหกสิบหกล้านล้านล้าน) หรือแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย แต่ในความเป็นจริงมีบัตรที่เขียนหมายเลขตรงกันทั้งหมดมากกว่าสองใบ

ธีระพงศ์ เล่าต่อว่า ผู้สมัคร “ตัวจริง” ของเขาดูเหมือนว่า ถูกคัดมาตั้งแต่รอบเลือกกันเองแล้ว เพราะมีคะแนนเป็นแบบ “แพทเทิร์น” ก็จะเห็นเลยว่าใน 10 หมายเลขของรอบเลือกกันเอง คือ เลือกเหมือนกันและเรียงเหมือนกัน 

“ในกลุ่ม 8 ของผม จากที่ผมจดใบขานคะแนนเนี่ย พบว่าจาก บัตรลงคะแนน 149 ใบมี 21 ใบที่ลงคะแนนแบบนี้ซึ่งคิดเป็น 14% ของบัตรลงคะแนนทั้งหมด”

หรือแพทเทิร์นจะเกิดจากโพย

มะลิมองว่าไม่มีทางที่ผู้สมัครจะจำหมายเลขของกันและกันได้ทั้งหมด เพราะ “มันจำได้ยาก” ก่อนเข้าสู่ระดับประเทศ กกต. จะให้เอกสารประวัติ สว.3 ของผู้สมัครในกลุ่มของเราราว 154 คน เราก็จะหมกมุ่นเกี่ยวกับแค่คนในกลุ่มเราเท่านั้น เว้นแต่ว่าผู้สมัครจะไปดาวน์โหลดประวัติของผู้สมัครอีก 19 กลุ่มมาอ่านเอง และต่อให้ไปดูหมายเลขของผู้สมัครอีก 19 กลุ่ม เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าใครจะได้เข้ารอบบ้าง 

“เราจึงแปลกใจมากที่ทำไมถึงมีผลคะแนนแบบเป็นแพทเทิร์น เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการคิดสด เมื่อรู้คะแนนแล้วก็จัดทำรายชื่อขึ้นมาแล้วก็เดินกระจายข้อมูลให้ไปจดซึ่งกันและกัน เพราะคะแนนมันเป๊ะจนผิดปกติ” มะลิกล่าว

“หรือบางทีอาจมีคนนั่งเฝ้าอยู่ข้างนอกก็ได้ แต่ผู้สมัครทุกคนก็ถูกเก็บโทรศัพท์ไว้ แล้วข้อมูลจะออกไปได้อย่างไร และในวันนั้นก็มีการถ่ายทอดสดแต่ก็เป็นการถ่ายทอดสดสลับกันของแต่ละกลุ่มไม่ได้เจาะจงที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ”

ผู้สมัคร สว. ก็มีต้นทุน

มะลิ เล่าให้ฟังว่าผู้สมัคร สว. แต่ละคนมีต้นทุนในการสมัครและเข้าร่วมกระบวนการเลือกกันเองสูงมาก นอกจากจะต้องเสียค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พักแล้ว ยังจะต้องใช้สมอง ต้องใช้เวลา ต้องเสียสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ 

ธีระพงศ์ เล่าต่อว่า เรื่องของต้นทุนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้สมัครหลายคนที่มาเกาะกลุ่มกันด้วยอุดมการณ์กลับแตกคอกัน เพราะทุกคนต่างมอง “ฉันมีต้นทุน ฉันอยากเป็น” พอมาถึงรอบสุดท้ายแล้วก็คิดว่า อีกก้าวเดียวจะได้เป็น สว. แล้ว

“ส่วนกลุ่มคนเสื้อเหลือง ผมคิดว่าเขาไม่มีต้นทุนแบบนี้เขาไม่ต้องลงทุนอะไร เลยกลายเป็นว่าความกระหายที่จะเป็นเลยไม่มี ฉันมาทำตามสั่งและฉันก็กลับบ้าน เสียเวลาวันสองวันที่พักฟรี ค่ารถฟรี มีรถรับส่งถึงบ้าน เขาไม่มีต้นทุนก็เลยอยู่ภายใต้คำสั่งได้มากขึ้น”

ล้นกระดาน+แพทเทิร์น= ต้องทำอะไรซักอย่าง

“ทุกกลุ่มแชร์เหมือนกันเลย พอนับคะแนนไปได้ระยะหนึ่ง เราก็เริ่มถอดใจแล้ว เราเดินไปดูด้วยตาตัวเอง มันเหมือนกันทุกกลุ่มเลย มันพิลึกจนเราต้องมาจับกลุ่มคุยกันในหมู่ผู้สมัครว่ามันมีความผิดปกติแน่ เพราะมันมีแบบนี้ทุกกระดาน” มะลิเล่า

มะลิเล่าว่า พอเห็นผลคะแนนก็รู้เลยว่า “เขา” ไม่สนใจกติกาอะไรเลย 

“ตอนนั้นอยากทำอะไรสักอย่าง อยากจะไปคว้าไมค์ยืนตะโกนด่าแต่ก็คิดได้ว่าอย่าเพิ่งดีกว่าเดี๋ยวติดคุก” 

“ก็เลยคุยกันว่างั้นเรามาล่ารายชื่อดีกว่า ร้องเรียน กกต. ที่จัดการเลือก สว. อย่างไม่โปร่งใส” มะลิกล่าว

ในเวลาประมาณ 02.00 น. เมื่อมีการนับคะแนนในรอบเลือกไขว้ไปได้ประมาณหนึ่ง ผู้สังเกตการณ์พบว่า มีผู้สมัครสว. รวมตัวพูดคุยกันอยู่ที่บริเวณโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อเข้าไปสอบถามพบว่า ผู้สมัครกลุ่มนี้กำลังล่ารายชื่อร้องเรียน กกต. จากการสอบถามผู้สมัครพบว่าแม้จะมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน บ้างก็ต้องการให้ กกต. ต้องรับผิดชอบอย่างถึงที่สุด บ้างก็ต้องการให้มีการลงคะแนนใหม่ แต่จุดร่วมของผู้สมัครกลุ่มนี้คือพบเห็นความผิดปกติในการเลือก สว. ระดับประเทศ และต้องการร้องเรียน กกต. ที่จัดการเลือก สว. อย่างไม่โปร่งใส 

ธีระพงศ์ เป็นผู้สมัครที่ร่วมลงชื่อเป็นลำดับที่ร้อยกว่าๆ เขาเล่าว่า ในกระดาษที่ลงชื่อเป็นกระดาษเปล่าที่เขียนคำร้องและรายชื่อของผู้ร่วมลงชื่อด้วยลายมือของผู้สมัครด้วยกันเอง หลังจากที่ยื่นหนังสือไปให้ทาง กกต. แล้ว ก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ กกต. ติดต่อผู้สมัครที่ร่วมลงชื่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมอะไรเลย จำได้ว่ากกต. รับเรื่องแต่ไม่ได้มีการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเรื่องนี้ธีระพงศ์มาได้ยินข่าวเกี่ยวกับการตรวจสอบกระบวนการก็เมื่อเกิดข่าวการส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนของดีเอสไอ 

“ราวกับว่าเรายื่นแล้วมันเงียบหายไปเลย” ธีระพงศ์ ทิ้งท้าย