เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 เครือข่ายคนดูหนังนัดประชุมครั้งที่ 3 เพื่อหารือเกี่ยวกับจุดยืนของสมาชิกเครือข่ายฯ ที่มีต่อพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551

จุดหนึ่งที่ทุกคนมีร่วมกันเป็นทุนเดิม คือไม่อยากให้ประเทศไทยมีการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ เพราะนอกจากการเซ็นเซอร์จะเป็นตัวบ่อนทำลายทางความคิดแล้ว ยังมีผลกระทบต่ออนาคตของมุมมองด้านศิลปะทั้งต่อผู้สร้างและเสพอย่างแน่นอน

งานนี้ สมาชิกของเครือข่ายคนดูหนังนัดพบกันที่ร้านชาของมูลนิธิหนังไทย ที่ชั้น 3 หอศิลป และวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร หากใครอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นก็จะเห็นภาพของกลุ่มคนที่นิยมชมชอบในโลกของ เซลลูลอยด์ แต่มานั่งกุมขมับหยิบจับกฎหมาย แล้วถกกันแบบมาตราต่อมาตรามีหลายเรื่องที่อาจไม่ได้ คิดตรงกันนัก และมีหลายเรื่องที่เห็นปัญหาแต่ยังวาดภาพทางออกได้ไม่ชัดเจนนัก แต่โดยรวมแล้วสามารถสรุปออกมาเป็นหลักการคร่าวๆ ที่อยากเสนอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ดังนี้

หลักการของการเสนอแก้ไขพ...ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.….

  1. กฎหมายภาพยนตร์ ควรหันมาใช้ระบบเรทติ้งแบบเต็มรูปแบบ แล้วยกเลิกการเซ็นเซอร์ การตัด บัง เบลอ ในภาพยนตร์
  2. กฎหมายนี้น่าจะส่งเสริมให้วงการภาพยนตร์ไทยเติบโตแบบใจกว้าง ซึ่งสามารถทำได้โดย
  • ไม่ทำให้การทำหนังและการฉายหนังเป็นเรื่องยาก เปิดกว้างให้คนทั่วไปเช่น คนทำหนังอิสระ นักศึกษา บุคคลทั่วไป ที่สนใจอยากผลิตภาพยนตร์หรืออยากฉายภาพยนตร์ สามารถทำกิจกรรมได้โดยไม่ต้องเจอขั้นตอนที่ซับซ้อน
  • ทำลายกำแพงพรมแดนประเทศออกไป นั่นคือ คนทำหนังในไทย สามารถส่งภาพยนตร์ออกไปต่างประเทศได้ และคนจากต่างประเทศก็สามารถมาสร้างภาพยนตร์ในไทยได้ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนของรัฐ
  • ภาพยนตร์ที่ผ่านการอนุญาตแล้ว น่าจะถือเป็นการอนุญาตที่เนื้อหา ไม่ใช่สื่อหรืิอวัสดุที่ใช้บรรจุภาพยนตร์  
  • กฎหมายนี้ควรคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคทั่วไป การแลกเปลี่ยนภาพยนตร์กันเองระหว่างผู้บริโภคจึงไม่ควรกำหนดต้องขออนุญาต
  1. การทำงานของเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการภายใต้กฎหมายนี้ ต้องมีแนวทางการทำงานที่ชัดเจน เปิดเผย เป็นธรรม และมีกลไกการรับผิด
  • การอุทธรณ์คำตัดสินใดๆ ผลของการอุทธรณ์ต้องไม่สร้างโทษที่หนักกว่าคำตัดสินเดิม เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครกล้าอุทธรณ์
  • เจ้าหน้าที่จะสั่งหยุดการสร้างภาพยนตร์ได้ ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งศาล ห้ามบุกสั่งด้วยวาจา
  • คณะกรรมการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ น่าจะมีองค์ประกอบที่ชัดเจนและหลากหลาย มีแนวทางการทำงานที่ชัดเจนเปิดเผย รวมทั้งมีกลไกการรับผิดด้วย
  1. โทษสูงสุดของกฎหมายนี้ ควรปรับให้เบาลง และควรยกเลิกโทษจำคุก เพราะการแสดงความเห็นและการผลิตงานศิลปะใดๆ หากกำหนดโทษไว้สูงเกินไปจะสร้างบรรยากาศการเซ็นเซอร์ตัวเองขึ้น
  2. แก้ไขหลักเกณฑ์ของผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับภาพยนตร์ โดยตัดสิ่งที่ซ้ำซ้อนในกฎหมายอื่นๆ ด้านพาณิชย์ออก เพราะโดยรวม โทษของกฎหมายนี้ค่อนข้างสูง และตัดเงื่อนไขที่ว่า ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นคนทำหนัง คนทำร้านเช่า คนขายหนัง จะต้องไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยด้านเพศ เพราะการเขียนกฎหมายไว้เช่นนี้ถือเป็นการใส่อคติไว้ในกฎหมาย

จากหลักการเหล่านี้ นำมาสู่การแก้ไขข้อความในกฎหมายเดิม และดังที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า บางเรื่องไม่ได้คิดตรงกัน บางเรื่องเห็นปัญหาแต่ยังไม่แน่ใจเรื่องทางออก จึงขอเปิดกว้างให้ทุกคนช่วยกันระดมความเห็น โดยการแสดงความเห็นแนบท้าย จากนั้น เครือข่ายคนดูหนังจะนำไปประมวลออกมาเป็นร่างฉบับสมบูรณ์

หมายเหตุ:

  • เราใช้วิธี ขีดเส้นฆ่าตรงกลาง ลงบนข้อความที่ไม่ต้องการ แล้ว ขีดเส้นใต้ ที่ข้อความใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้น
  • ข้อความที่ถูกขีดฆ่า มีสองเหตุผล คือ อาจเป็นข้อความที่ตัดออกเพราะเนื้อหาไม่ดี หรือเป็นข้อความที่ตัดออกเพราะเชื่อมโยงกับข้อความที่ถูกตัดไปก่อนหน้า
  • คุณอาจงงเมื่อเห็นตัวเลขมาตราเต็มไปหมด ดังนั้น เพื่อความสะดวก แนะนำให้เปิดพ...ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ฉบับปัจจุบันเทียบไปด้วยกันได้ ที่นี่