โรงเรียน หนึ่งในหน่วยสำคัญของสังคม เป็นสถานที่ที่ขับเคลื่อนกลไกตามระบบการศึกษาของรัฐ สร้างความรู้ หล่อหลอมตัวตน เป็นพื้นที่หนึ่งให้เด็กได้เรียนรู้ ลองผิดลองถูก ค้นหาตัวตนของตัวเองเพื่อนำไปสู่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไป อย่างไรก็ดี ภาพจำของโรงเรียนและระบบการศึกษาในสายตาประชาชน ไม่ได้มีเพียงแต่ด้านที่สวยงามเท่านั้น หลายครั้งมักมีข่าวที่ครูใช้อำนาจเหนือนักเรียนปรากฏอยู่ในหน้าสื่อ ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบการอ้างกฎระเบียบเพื่อล่วงล้ำร่างกาย การลงโทษที่ทำต่อร่างกายอย่างรุนแรง ฯลฯ
ผลจากปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่โรงเรียน ทำให้กลุ่ม ‘นักเรียนเลว’ เริ่มเคลื่อนไหวที่รณรงค์และเรียกร้องเกี่ยวกับประเด็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน นอกจากการจัดการชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับเด็กและผู้เรียน ผ่านไปหนึ่งปีกว่าๆ นับจากการชุมนุมหน้ากระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2563 นักเรียนเลวได้ขยับก้าวสำคัญเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม เป็นตัวกลางรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษชนของผู้เรียน พ.ศ. …. (ร่างพ.ร.บ.สิทธิมนุษยชนผู้เรียนฯ) โดยมีวัตถุประสงค์ให้กฎหมายนี้เป็นเหมือนหลักยืนยันสิทธิเสรีภาพ ที่นักเรียนทุกคนพึงมีและเพื่อปกป้องตนเองและเพื่อนๆ ในโรงเรียนว่าใครก็จะละเมิดสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ไม่ได้
ร่างพ.ร.บ.สิทธิมนุษยชนผู้เรียนฯ แบ่งเนื้อหาออกเป็นสามหมวด หมวดแรก สิทธิมนุษยชนผู้เรียน หมวดสอง สภาพแวดล้อมและสวัสดิภาพ หมวดสาม การมีส่วนร่วมของผู้เรียน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
รับรองสิทธิเสรีภาพผู้เรียน หากลงโทษผู้เรียนโดยละเมิดสิทธิมนุษยชน มีโทษจำคุกหรือปรับ
ร่างพ.ร.บ.สิทธิมนุษยชนผู้เรียนฯ หมวดแรก สิทธิมนุษยชนผู้เรียน กำหนดให้ผู้เรียนมีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน โดยบุคลากรในสถานศึกษาจะมาละเมิดไม่ได้ มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองด้านจิตใจ โดยการจัดการศึกษาจะต้องไม่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการต้องจัดให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์อย่างเพียงพอเพื่อให้คำปรึกษาตามที่ผู้เรียนต้องการ เสรีภาพในการแสดงออกและการแสดงความคิดเห็นจะต้องได้รับการคุ้มครอง รวมถึงผู้เรียนจะต้องได้รับสิทธิในความปลอดภัย การลงโทษหรือการปรับพฤติกรรมผู้เรียนนั้นก็จะต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนและเป็นไปตามความเหมาะสมเท่านั้น หากมีการลงโทษเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน บุคคลนั้นจะต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท