“ลดความเหลื่อมล้ำ” ด้วยภาษีมรดก?

18 ธันวาคม 2557 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. … ด้วยคะแนน 160 ต่อ 16 เสียง พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาอีก 90 วัน และประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาอีก 90 วัน จึงจะนำกฎหมายนี้มาใช้จริงในเดือนมิถุนายน 2558  โดยร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ  มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนองค์กรสาธารณกุศล เพิ่มรายได้ให้รัฐ และกระตุ้นการบริโภค

สมชัย จิตสุชน นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้อธิบายถึงการใช้กฎหมายการรับมรดกในอดีตไว้ว่า ประเทศไทยเคยมี พ.ร.บ.อากรมฤดกและการรับมฤดก พ.ศ.2476 ในสมัยรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา บังคับใช้เป็นเวลา 10 ปี และยกเลิกในปี 2487 สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เพราะเก็บภาษีได้น้อย มีภาระในการดูแลสูง และมักหลบเลี่ยงมาก ต่อมาในปี 2552 ทรัพย์มรดกถูกเก็บแฝงในรูปภาษีเงินได้ กล่าวคือ ถ้าขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมรดกต้องเสียภาษีเงินได้ ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน

สาระสำคัญของร่างภาษีการรับมรดก คือให้เก็บภาษีจากผู้รับมรดก (Inheritance Tax)กล่าวคือ เมื่อเจ้าของมรดกตายไป และมีการแจกจ่ายทรัพย์สินให้ญาติ ลูกหลาน กรมสรรพากรจะไปประเมินมูลค่าทรัพย์สินและเก็บภาษีจากผู้รับมรดกแต่ละราย แทนที่จะเก็บกับภาษีจากกองมรดก  (Estate Tax) ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทันทีที่เจ้ามรดกตายโดยยังไม่ได้แบ่งให้ทายาท เพราะมักมีปัญหาตรงที่ทายาทไม่มีเงินจ่าย จนอาจต้องขายทรัพย์สินมาจ่ายภาษี

ในการจัดเก็บภาษีเป็นหน้าที่ของกรมสรรพาการ ซึ่งเก็บ ทรัพย์สินทั้งหมดหักด้วยหนี้สิน แล้วนำทรัพย์สินที่เหลือมาคิดคำนวณ โดยผู้รับมรดกแต่ละราย ไม่ว่าจะได้รับมาในคราวเดียว หรือหลายคราว เมื่อรวมกันแล้วเกิน 50 ล้านบาท ต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน ด้วยอัตราคงที่ ไม่เกิน 10%  (อัตราเพดาน) ซึ่งจะมีการตราพระราชกฤษฎีกาลดลงตามเห็นสมควร เช่น ลดตามความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ามรดกกับผู้รับมรดก หากมีความใกล้ชิดกันมาก เช่น เป็นพ่อลูกกัน อาจลดหย่อนได้มากกว่าญาติ

ใครบ้างต้องเสียภาษีมรดก?

1) ผู้มีสัญชาติไทย
2) ไม่มีสัญชาติไทย แต่มีภูมิลำเนาหรือมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต้องเสียภาษีทั้งมรดกที่ทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทยและนอกประเทศไทย
3) ผู้ไม่มีสัญชาติไทย แต่ได้รับมรดกอันเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ให้เสียภาษีเฉพาะมรดกที่ทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทย ส่วนกรณีที่ผู้ได้รับมรดกเป็นนิติบุคคล ถ้าจดทะเบียนในประเทศไทย หรือจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายไทย หรือมีคนสัญชาติไทยถือหุ้นเกิน 50% หรือผู้มีอำนาจบริหารเกินกึ่งหนึ่งมีสัญชาติไทย ให้ถือว่านิติบุคคลนั้นมีสัญชาติไทย

 

มรดกเพื่อสาธารณประโยชน์ไม่ต้องจ่ายภาษี
ข้อยกเว้นในร่างพ.ร.บ.นี้ คือ ไม่บังคับใช้กับมรดกที่เจ้ามรดกเสียชีวิตก่อนกฎหมายนี้ประกาศใช้ และถ้าคู่สมรสเป็นเจ้ามรดก คู่สมรสไม่ต้องเสียภาษีเพราะถือว่าหากินมาด้วยกัน เป็นคนคนเดียวกัน  นอกจากนี้ ยังยกเว้นภาษีให้ผู้รับมรดก หากใช้มรดกเพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา การศึกษา และสาธารณประโยชน์ ยกเว้นให้หน่วยงานของรัฐและนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน  รวมทั้งยกเว้นให้บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศด้วย

 

ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษี
รวมทั้งทรัพย์สินที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน เช่น ที่ดิน บ้าน เงินในบัญชี หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ นาฬิกา เพชร รูปภาพ รูปปั้น เป็นต้น ซึ่งจะเป็นปัญหาในการจัดเก็บ เพราะทรัพย์สินบางอย่างประเมินมูลค่าได้ยาก ต้องใช้ต้นทุนในการสืบเสาะสูง ส่วนการคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินให้ถือตามมูลค่าในวันที่ได้รับทรัพย์สินเป็นมรดก กรณีอสังหาริมทรัพย์ ให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ หลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ให้ใช้ราคาหลักทรัพย์ในวันสิ้นสุดเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ได้รับมรดก ส่วนกรณีอื่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ได้รับมรดก และสามารถผ่อนชำระได้ไม่เกิน 5 ปี โดย 2 ปีแรก ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย

 

ทำลาย – ย้าย –  ซ่อน –  เสี่ยงถูกปรับครึ่งล้าน

สำหรับโทษกรณีไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีโดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท กรณีทำลาย ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่บุคคลอื่นซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีและปรับไม่เกิน 400,000 บาท  กรณีผู้ใดจงใจยื่นข้อความเท็จ โดยฉ้อโกงหรือใช้อุบายโดยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด หลีกเลี่ยงการเสียภาษี หรือแนะนำ หรือสนับสนุนให้คนอื่นกระทำตามที่กล่าวมาข้างต้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 120,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

 

ควบแก้ไขประมวลรัษฎา: มรดกเกิน 10ล. ต้องเสียภาษี

โดยทั่วไประบบการจัดเก็บภาษีมรดกมักจะเก็บควบคู่กับภาษีการให้ เพื่อป้องกันการหลบเสี่ยงภาษีและการยักย้ายทรัพย์สินก่อนเสียชีวิต ดังนั้น วันที่ 18 ธันวาคม 2557 สนช. จึงเห็นชอบในหลักการของร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เพื่อให้สอดคล้องกับร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก จึงกำหนดให้เงินได้ ที่รับจากมรดกได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ และจากเดิมการโอนทรัพย์สินของพ่อให้แก่ลูกไม่ต้องเสียภาษี แก้ไขเป็น ถ้าพ่อแม่ให้บุตร บุพการีให้ผู้สืบสันดาน หรือการให้บุคคลอื่นโดยหน้าที่ธรรมจรรยา  หรือโดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี เกิน 10ล้านบาท ต้องเสียภาษีในอัตรา 5%  ซึ่งจะไปกระทบกับผู้ที่มีรายได้เกิน 10 ล้านบาท แต่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท จึงมีผู้ที่มีทรัพย์สินเกิน 50 ล้านบาท จะทยอยโอนทรัพย์สินปีละ 9.9 ล้านบาท ทุกปี เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีใดๆ หรืออาจหลบเลี่ยงด้วยการทำสัญญาเงินกู้ระหว่างพ่อลูก การทำประกันชีวิตโดยให้ลูกหลานเป็นผู้รับผลประโยชน์ การตั้งกองทรัสต์เพื่อกระจายมูลค่ามรดก เป็นต้น

 

ต่างชาติเลิกภาษีมรดก เหตุกำไรน้อย
ภาวิน ศิริประภานุกูล นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้อธิบายถึงการเก็บภาษีมรดกในต่างประเทศไว้ว่า หากเราไปสำนวจประเทศอื่นๆ จะพบว่ามี 30 ประเทศทั่วโลกที่เก็บภาษีมรดก ซึ่งการที่ประเทศไทยเก็บภาษีเพียง 10% ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น อาทิ สหรัฐอเมริกา เก็บในอัตราไม่เกิน 40% และปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกเลิกการเก็บภาษีมรดก เช่น แคนาดา ยกเลิกในปี 1972 เพราะภาษีมรดกไม่ได้เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ และได้นำภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สินมาใช้แทน (capital gains tax) สิงคโปร์ ยกเลิกปี 2008 เพราะต้องการสร้างแรงจูงใจให้ต่างชาติมาลงทุน และนอร์เวย์ ยกเลิกปี 2014 เพื่อลดภาระในการส่งต่อธุรกิจครอบครัวให้รุ่นถัดได้

ภาษีมรดกลดความเหลื่อมล้ำได้จริง?
สมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเก็บภาษีมรดกว่า ไม่ได้คาดหวังรายได้มากนัก แต่จำเป็นต้องเก็บเพื่อเป็น “สัญลักษณ์ลดความเหลื่อมล้ำ” และเชื่อว่าจะทำให้คนบริจาคเงินมากขึ้น เหมือนสหรัฐอเมริกามีการบริจาคเงินจำนวนมากให้มหาวิทยาลัย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ทั้งนี้ มีการประมาณการว่า 1 ใน 6 ของผู้เสียภาษีมรดกจะใช้จ่ายในการบริจาคเพื่อการกุศล

 

ขณะที่พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ภัทร จำกัด เห็นว่า การเก็บภาษีมรดกเป็นการกระจายภาระภาษีไปที่ฐานทรัพย์สิน และกระจายภาระจากมนุษย์เงินเดือนไปสู่คนที่มีความมั่งคั่ง แต่จากงานวิจัยการเก็บภาษีในประเทศอังกฤษ ระหว่าง ปี 1999-2001 ด้วยอัตราคงที่ 10% พบว่าคนรวยสูงสุดมีสัดส่วนความมั่งคั่งเพิ่มจาก 47% เป็น 56% อาจกล่าวได้ว่าการเก็บภาษีมรดกอัตราคงที่ ไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำมากนัก

 

เหตุผลหนึ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสนับสนุนให้เก็บภาษีมรดก เพราะปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วเก็บภาษีได้ 30-40% ต่อจีดีพี ในขณะที่ประเทศไทยเก็บได้เพียง 18% คาดว่าหากจัดเก็บภาษีมรดกจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 21-22%

 

ในอีกมุมมองของ อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) คือ หากคำนวณรายได้จากภาษีมรดกโดยใช้ฐานข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2556 พบว่า กระทรวงการคลังจะมีรายได้จากภาษีมรดกปีละประมาณ 2,174 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.01%  ของรายได้ภาษีทั้งหมดของประเทศ ถือว่าน้อยมาก

 

นอกจากนี้ ภาษีมรดกยังส่งผลกระทบให้เงินออมซึ่งเป็นเงินทุนของประเทศลดลง เพราะการเก็บภาษีจะสร้างแรงจูงใจให้เศรษฐีใช้จ่ายเงินมากขึ้น หรือไม่ก็อาจโยกย้ายทรัพย์สินไปต่างประเทศ  รวมถึงเปลี่ยนรูปการถือครองทรัพย์สินจากทรัพย์ที่สืบค้นง่ายเป็นทรัพย์สินที่สิบค้นยาก เช่น อัญมณี เพชร พลอย เป็นต้น ซึ่งแม้ว่ากฎหมายจะครอบคลุมการเก็บภาษีทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศและทรัพย์สินไม่จดทะเบียน แต่ในความเป็นจริงการติดตามสืบเสาะมูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้เป็นเรื่องยาก ต้นทุนในการไล่เก็บแพง อาจไม่คุ้มค่ากับภาษีที่เก็บได้ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่อาจทุจริตในการประเมินราคา

 

 

อ้างอิง

                 สมชัย จิตสุชน,Thai News Special:ตอนที่ 1 ฟื้นชีพภาษีมรดก (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2557), เทปโทรทัศน์, http://tdri.or.th/multimedia/tna20140926/ (วันที่ค้นข้อมูล :14 ธ.ค. 2557)

               ทีมข่าวเศรษฐกิจ,เจาะลึกร่างพ.ร.บ.ภาษีมรดก เก็บ5-10% ลุ้นครม.คลอด 12 พ.ย.นี้. มติชน, 10 พฤศจิกายน 2557.เข้าถึงได้จาก : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1415628207(วันที่ค้นข้อมูล : 14 ธ.ค. 2557)

                อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา, ว่าด้วยภาษีมรดก. 16 ธันวาคม 2557.   เข้าถึงได้จาก :  http://tdri.or.th/tdri-insight/inheritance-tax/. (วันที่ค้นข้อมูล: 17 ธ.ค. 2557)

                ภาวิน ศิริประภานุกูล, ภาษีมรดกและประสบการณ์ในต่างประเทศ. กรุงเทพธุรกิจ, 6 พฤศจิกายน 2557เข้าถึงได้จาก :  http://tdri.or.th/tdri-insight/kt32/. (วันที่ค้นข้อมูล: 14ธ.ค. 2557)
                ภาษีที่ดินและมรดก : ใครมี ใครจ่าย ใครได้ประโยชน์, 2557. เข้าถึงได้จาก :   https://www.youtube.com/watch?v=ddOgb4RWSPc. (วันที่ค้นข้อมูล: 10 ธ.ค. 2557)

                สนช.รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ภาษีมรดก, ประชาไท.18 ธันวาคม 2557.เข้าถึงได้จาก: http://www.prachatai.com/journal/2014/12/57064. (วันที่ค้นข้อมูล:  18 ธ.ค. 2557)

ไฟล์แนบ