ภายใต้การบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 (พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีฯ) ที่กำหนดความผิดและโทษสำหรับการ “ขาย” และการ “ซื้อ” บริการทางเพศ โดยไม่ได้ระบุโดยตรงว่าการให้บริการทางเพศและเงินตอบแทนนั้นเป็นความผิด แต่เขียน “โอบล้อม” เอาผิดการขายบริการทางเพศที่ทำเป็นกิจการอย่างเป็นกิจจะลักษณะ กำหนดห้ามการชักชวน แนะนำตัว โฆษณา และข้อสำคัญ คือ ห้ามการเข้าไป “มั่วสุม” ในสถานค้าประเวณี โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ทำให้ผู้ที่เลือกประกอบอาชีพนี้โดยสมัครใจตกอยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลาของการทำงาน อาจกลายเป็นผู้กระทำความผิดและโดนตำรวจจับได้ทุกเมื่อ
ผู้ที่ประกอบอาชีพให้บริการทางเพศ หรือ Sex Worker จึงต้องทำงานแบบ “หลบๆ ซ่อนๆ” โดยมีงานอื่นบังหน้า เช่น งานบาร์ งานนั่งดริงก์ หรืองานนวด แล้วอาศัยวิธีการตกลงกันข้างหลัง หรือให้งานที่แท้จริงนั้นต้องปิดๆ บังๆ ไม่ได้สื่อสารกันออกมาตรงๆ หากใครก็ตามที่ปรากฏตัวออกมาในที่แจ้งก็มีโอกาสจะถูกตำรวจจับ และหากเป็นคนทำงานที่ไม่มีสัญชาติไทย ข้อหานี้ก็อาจทำให้หมดอนาคตในอาชีพหรือหมดอนาคตในประเทศไทยได้เลย
ขวัญเป็นชื่อเล่นของหญิงชาวไทใหญ่คนหนึ่งที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่อายุได้ 15-16 ปี ชีวิตพัดพามาให้เธอต้องทำอาชีพ Sex Worker ในวันที่เธอเปิดเผยเรื่องราวของตัวเอง เธออายุได้ 25 ปีแล้ว ขวัญเป็นคนร่างเล็ก สูงประมาณ 150 เซ็นติเมตร และมีบุคลิกสดใส มีเสียงเล็กๆ เธอจึงดูเด็กกว่าวัยและเป็นจุดขายหรือเป็นจุดสนใจ เพราะการขายบริการทางเพศและการซื้อบริการทางเพศเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี เป็นความผิดที่มีโทษสูง
หลังจากนี้คือเรื่องราวที่ขวัญตัดสินใจเปิดเผย เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้สถานการณ์ของอาชีพ Sex Worker ที่ต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นสองหรือชั้นสาม ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน

โดนล่อซื้อจากตำรวจ ต้องจ่ายเงิน 30,000 ให้เรื่องจบ
“ตอนมาอยู่ไทยแรกๆ มาอยู่กับแม่ แม่เป็นคนไปพามา ตอนนั้นตั้งใจว่าอยากจะมาเรียนหนังสือเพราะว่าอายุแค่นั้น พอเอาตัวมาฝั่งนี้เขาบอกว่าเอกสารไม่ครบ นู่นนี่นั่น ต้องกลับไปขอเอกสารให้ครบ แล้วถ้ามาเข้าทางนี้ต้องไปเข้าเรียนใหม่ตั้งแต่ต้น แล้วภาษาเราก็ไม่ได้ กลายเป็นว่าไม่ได้รับสิทธินั้นเลย”
“ตอนเด็กอยู่กับครอบครัวพูดไทใหญ่ แต่ถ้าไปโรงเรียนพูดภาษาพม่า แม่จะเป็นคนยัดภาษาไทยให้ คือ แม่พูดโดยที่ฟังไม่รู้เรื่องก็พูดไป พยายามยัดภาษากลางใส่เรา ไม่ได้พูดเหนือ เพราะถ้าหากเราไปอีสานหรือไปไหนก็ยังพูดภาษากลางได้ แม่บอกว่า ยัดกลางให้มึงเนี่ยแหละ ใส่หัวมาตลอด จนตอนนี้พูดภาษาบ้านตัวเองแทบจะไม่ได้แล้วเพราะไม่ได้พูดนาน ลืมหมดแล้ว”
“แม่เป็นคนเย็บผ้า เอางานมาให้ช่วย เช่น ใส่กระดุม พออายุได้ 18-19 ถึงจะเริ่มทำงาน แม่เอาไปส่งไว้ที่ร้านสังฆทานก็ทำงานที่นั่น ทำงานแพ็กของ เราขายไม่ได้เพราะของมันเยอะเกิน จำไม่ได้ ช่วงก่อนโควิดทำงานอยู่ที่ร้านสังฆทานรายได้ไม่ค่อยพอ เราเริ่มอายุเยอะก็อยากมีแฟนแล้วแม่ไม่ค่อยโอเค เลยทะเลาะกับแม่ช่วงนั้น แล้วแยกกับแม่อยู่ เราไม่มีงานทำก็เลยหางานผ่านออนไลน์ แล้วไปเจอร้านนวด ในรายละเอียดค่อนข้างรับได้ว่า นวดหนึ่งชั่วโมงรายได้แบ่งกับทางร้าน 50% ก็เลยไปสมัคร แต่พอไปทำงานแล้วกลับพบว่า หลังร้านมีมากกว่านั้น ก็เลยได้เข้าวงการนี้”
ขวัญอธิบายตามความเข้าใจของเธอว่า หากเธอถูกตำรวจจับฐานค้าประเวณี ตามกระบวนการที่จะเกิดขึ้นก็คือ จับ-ปรับ-ปล่อย แต่ว่า หลังปล่อยตัวแล้วจะโดนตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สั่งแบล็กลิสต์ห้ามเข้าประเทศไทยอีก ซึ่งในภาษาที่พวกเขาเข้าใจกันเรียกว่า “แบล็กลิสต์ 100 ปี” คือ ไม่ได้เข้าประเทศไทยอีกเลย
“อยู่ที่ร้านนวดได้แค่ 2-3 เดือน แล้วต้องกลับบ้านในช่วงโควิด เมื่อกลับมาร้านก็ปิดไปแล้ว เราเลยต้องมาลงในฝั่งออนไลน์ ลุยงานเอง ปัญหาหลักๆ คือ เราไม่สามารถรู้ได้ว่า ลูกค้าที่เข้ามาหาเราจะเป็นใคร เป็นยังไง”
“ครั้งแรกน้องลงผ่านทวิตเตอร์ มีกลุ่มหนึ่งที่เขาเอาเด็กมาขาย ซึ่งอายุต่ำกว่า 18 ทำให้ตำรวจจ้องที่จะเอากลุ่มนี้ เอาเอเจนซี่นี้ เขาจะเอาให้ได้ แล้วไอ้นี่มารีทวีตของเราไปด้วย ตำรวจเลยคิดว่า น้องเป็นคนของเขาเลยมาล่อซื้อ โดยการนัดไปแล้วก็บอกว่า เป็นตำรวจนะ ถามว่าเราอยู่สังกัดไหน ใครส่งมา เราก็บอกว่าเราลุยงานเองไม่ได้ผ่านใคร เขาก็เล่าให้ฟังว่า ของเรานั้นมันไปเชื่อมโยงกับพวกเอเจนซี่เรื่องค้าเด็ก ในรอบนั้นเราไม่ได้ไปถึงโรงพัก อยู่ที่โรงแรมที่เรานัดลูกค้าผ่านไลน์เพื่อไปโรงแรม เขาบอกว่าเราไม่ใช่เป้าหมายที่เขาอยากได้ เหมือนว่ามาเสียเที่ยว”
“เขาโทรหานายว่าเอาไงดี นายก็ว่างั้นให้ปรับ ถ้าหากว่ายอมจ่ายก็จบแค่นี้ แต่ถ้าหากว่า ไม่ยอมจ่ายก็ต้องไปโรงพัก น้องเสียไป 30,000 เพื่อให้เรื่องมันจบ”
“โทรศัพท์น้องเขายึดเลย เขาบอกว่าห้ามจับ ห้ามแตะต้องอะไรทั้งนั้น นั่งนิ่งๆ เขามาคนเดียวแต่เขาบอกว่ามีอีกสามสี่คนรออยู่ข้างหลัง แต่เขามีบัตรให้เรารู้ว่าเขาเป็นตำรวจ แล้วมีเอกสารมาครบด้วย”
เมื่อถามว่า การต้องจ่ายค่าปรับราคานี้เป็นค่าอะไร ขวัญบอกว่า เท่าที่ทราบเป็นข้อหาค้าประเวณี โดยคนที่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจนั้นบอกว่าถ้าไปโรงพักอาจมีคดีมากกว่านั้น เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อาจโดนเป็นหลักแสนนะ ซึ่งตอนแรกชายคนดังกล่าวเรียกให้จ่ายเงินประมาณ 70,000-80,000 บาท แต่เธอไม่มี จึงต่อรองมาเหลือแค่ 30,000 บาท
ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีฯ มาตรา 6 ฐานมั่วสุมในสถานค้าประเวณี มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท มาตรา 7 ฐานโฆษณาชักชวนเพื่อการค้าประเวณี มีโทษจำคุกหกเดือนถึงสองปี ปรับ 10,000-40,000 บาท
คนเดิมกลับมาขอเอาฟรี ซ้ำยังขโมยเงิน
หลังผ่านประสบการณ์ที่ต้องเสียเงิน 30,000 บาทแล้ว ขวัญยังคงกลับไปทำงานและเปิดตัวบนโลกออนไลน์ต่อ ขวัญเล่าต่อไปว่า หลังจากนั้นยังเจอชายคนเดิมอีกครั้งหนึ่ง เข้ามาติดต่อโดยการใช้ทวิตเตอร์บัญชีใหม่ หรือที่เรียกว่า “แอคหลุม” เขานัดเธอไปเจอที่โรงแรมอีกครั้ง แต่คราวนี้ประสบการณ์ของเธอเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
“มีอีกรอบนึง คือ คนคนนี้แหละ แต่ไม่ได้มาเป็นทางการ มาเดี่ยว แล้วแกล้งพูดว่ามาล่อซื้อเรา แต่รอบนี้มาโดยการที่ว่า อยากเอาฟรี แล้วมันขู่ด้วยว่า ถ้าไม่ยอมก็ไปโรงพักเลย มีคดีรอบนั้นแล้วยังมีรอบนี้อีก ทำให้กลัวก็เลยยอม จริงๆ ขวัญสู้มันได้นะแต่ที่ไม่กล้าสู้เพราะมันพกปืนมาด้วย แต่พอเสร็จงานมันก็ขโมยเอาตังค์ไปอีก ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าขโมยไปตอนไหนด้วย เพราะน้องก็กลัวมัน มันบอกว่ามันเป็นตำรวจ”
“เรารู้แล้วล่ะว่าคนนี้เป็นตำรวจ แต่เราวิ่งออกจากห้องไม่ทัน มันบอกมันรู้ถึงขนาดว่า น้องอายุเท่าไร ชื่ออะไร อยู่หอไหน เคยมีประวัติอะไรบ้าง รู้ถึงขนาดจังหวัดที่น้องอยู่ที่ฝั่งนู้น ทำอะไรไม่ได้อะ จะไปแจ้งความก็ไม่ได้ถูกไหม จะขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้ จำเป็นต้องยอม ถ้าเกิดว่าเราไปแจ้งความ ก็อาจจะโดนตำรวจดูถูกนะ หรืออาจจะโดนตำรวจจับด้วยเพราะว่าเราค้าประเวณีจริง”
ขวัญเล่าว่า ตอนที่มารู้ตัวว่าเงินหายไปจากกระเป๋า ก็คือตอนที่กลับถึงห้องแล้ว เธอพกเงินสดไว้ประมาณ 5,000 บาท เนื่องจากกำลังจะเดินทางไปต่างจังหวัดในวันรุ่งขึ้น แต่เงินก็หายไปทั้งหมด “จองตั๋วไว้แล้วว่าจะต้องเดินทางอีกวันหนึ่งตอนเช้าเลยเก็บเงินสดไว้ในกระเป๋า ไม่เหลือสักแปะให้น้องเลย”
หลังจากเหตุการณ์นี้ขวัญตัดสินใจเลิกรับงานทางออนไลน์อีกเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะต้องเจอชายคนดังกล่าวกลับมาคุกคามหรือทำร้ายเธออีก
ถูกล่อซื้อให้นักข่าวถ่ายรูปนุ่งผ้าเช็ดตัว
“มีหนักๆ อีกเรื่องหนึ่ง เรียกได้ว่ารางวัลที่หนึ่งเลยก็ได้ คือ การโดนส่วนกลางล่อซื้อ เพราะทำงานผ่านออนไลน์ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าลูกค้าเป็นใครบ้าง ลูกค้าก็นัดกันไปโรงแรม เราตกลงกันว่า เราทำงานนวด เมื่อไปถึงแล้วค่อยว่ากัน เขาคือตำรวจนั่นแหละแต่มาทรงเป็นลูกค้า ไม่ได้มาเครื่องแบบตำรวจ เขาก็พยายามยัดเยียดให้เราว่าให้รับเงินก่อนไหม แล้วก็ยื่นเงินให้เรา พอเรารับเงินเขาก็ถามว่า นับก่อน เพื่อให้ลายนิ้วมือเราติดในเงิน เสร็จแล้วเราใส่ในกระเป๋า เขาบอกว่า พี่พกถุงยางมานะ เดี๋ยวพี่ฉีกรอ น้องไปอาบน้ำเลย เรารับเงินมาแล้วก็ต้องทำงานก็ไปอาบน้ำ”
“พอไปอาบน้ำเท่านั้นแหละ พี่คนนี้เขาเปิดประตู ซึ่งมีทั้งนักข่าว ตำรวจในเครื่องแบบเต็มห้องเลย เขาเคาะประตูห้องน้ำแล้วบอกว่า น้องออกมาเลย ไม่ต้องใส่เสื้อผ้านะ ออกมาเลย ให้ใส่แค่ผ้าขนหนูออกมา แล้วนักข่าวเต็มไปหมดเลย ตำรวจเต็มไปหมดเลย มีอีกสองคนที่ใส่เครื่องแบบครบเซ็ตเหมือนเวลาบุกทลายค้ายา มาแบบนั้นสองคน รวมๆ ประมาณสิบกว่าคน”
“ออกมาแล้วเขาก็ถ่ายรูปเต็มเลย เขาบอกว่า อันนี้กระเป๋าเราใช่ไหม ขอเปิดนะ ทั้งที่เรายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลย เราบอกว่า ขอใส่เสื้อผ้าได้ไหม เขาบอก ไม่เป็นไรๆ แล้วก็เอาเงินออกมาว่าเงินอยู่ในกระเป๋าเรานะ เห็นว่าเลขนี้ๆ ติ๊กไว้ด้วยว่า ใบนี้ๆๆ แล้วก็ถุงยางมีใช้แล้วด้วย เพื่อให้มีหลักฐาน ทั้งที่น้องยังไม่ได้จับเลยเพราะเขาเป็นคนฉีก พอเสร็จก็ค่อยให้น้องใส่เสื้อผ้าแล้วตามไปโรงพัก
“จากนั้นก็ยังเอาน้องไปขังไว้อีก เขาบอกว่ายังไปไหนไม่ได้ ฝากขังเพื่อจะรอขึ้นศาล ซึ่งไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ศาลเปิดแล้วเราจะได้เข้า มันจะต้องรอคิวอีก กลายเป็นว่าน้องนอนโรงพักไปสองคืนเพื่อรอขึ้นศาล พอขึ้นศาลก็โดนค่าปรับอีก ข้อหาค้าประเวณี ข้อหาโฆษณาชักชวน 10,000 บาทถ้วน ขนาดรับสารภาพยังโดน 10,000 ถ้วน ถ้าเป็นคนไทย จ่ายค่าปรับก็เดินกลับบ้านได้เลย ถ้าเป็นแรงงานข้ามชาติก็โดนยัดให้ตม. มารับต่อเอาไปขังไว้อีก ตอนที่ส่งให้ตม. จะเอาไปขังไว้อีกที่หนึ่งเพื่อที่จะรอเรียกว่ากองเมือง และไม่ใช่แค่วันสองวัน อาจจะรอเป็นเดือนๆ บางคนถูกขัง สามสี่เดือนหรือครึ่งปี กว่าจะได้ส่งกลับ”
“ขวัญโดนไปตอนจะปีใหม่ด้วย นอนรออยู่ประมาณครึ่งเดือนจนกว่าจะส่งไปที่แม่สาย แล้วก็ไปนอนรอที่แม่สายอีก เพื่อรอวันที่ด่านจะเปิด”
สำหรับขวัญ แม้ประสบการณ์การโดนส่วนกลางล่อซื้อและต้องถูกทำให้อับอายจะเป็นเรื่องเลวร้าย แต่เธอมองว่า การดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายยังน่ากลัวน้อยกว่า “การโดนไถเป็นกระบวนการที่จุกกว่า เพราะตอนโดนทางการจับ เรายังพอรู้ว่าเราจะต้องไปขึ้นศาล หรือไปอะไรยังไง คือ ความปลอดภัยของเรายังอยู่เป็นอย่างน้อยๆ แต่ไอ้ที่โดนรีดไถ เราไม่รู้ด้วยว่าจะตายในห้องนั้นไหม เพราะมันเอาปืนขู่น้อง ชักปืนวางบนโต๊ะ เหมือนให้รู้ว่าถ้าไม่ยอมก็โดนนะ แล้วไม่คิดว่ามันจะมือเร็วถึงขนาดเอาเงินจากในกระเป๋าเราไปเร็วมาก”
ทุกวันนี้ขวัญยังคงทำงานให้บริการทางเพศอยู่ แต่ขวัญได้มีโอกาสเข้ามารู้จักกับมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ จึงเข้ามาอยู่ในชุมชนที่มีการดูแลคนทำงานทั้งทางด้านสุขภาพ สวัสดิภาพ และสิทธิตามกฎหมาย ขวัญยังได้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้ยกเลิกพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีฯ และเสนอกฎหมายฉบับใหม่ขึ้นใช้แทน คือ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ซึ่งจะยอมรับให้อาชีพ Sex Worker ไม่เป็นความผิด การมั่วสุม หรือการโฆษณาชักชวนไม่เป็นความผิด แต่กำหนดอายุ และบังคับสถานบริการจดทะเบียนให้ถูกต้อง ให้คนทำงานมีสิทธิสวัสดิการเช่นเดียวกับอาชีพอื่น
ขวัญมองว่า หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านมาบังคับใช้ได้จริง ก็น่าจะไม่โดนตำรวจรีดไถง่ายๆ หรือถ้าหากถูกตำรวจมากระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่างน้อยก็สามารถที่จะแจ้งความได้ สามารถเอาเรื่องได้ เพราะงานที่เธอทำอยู่จะถูกยอมรับให้เป็นอาชีพอย่างหนึ่งที่ไม่มีความผิด อาจจะไม่โดนล่อซื้อ หรืออาจจะไม่โดนแบล็กลิสต์ ไม่โดนบันทึกข้อมูลในประวัติว่าเป็นอาชญากร
อย่างไรก็ดี การเสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ครบ 10,000 รายชื่อ เพื่อให้เข้าเงื่อนไขที่เสนอร่างพ.ร.บ.ต่อรัฐสภาได้ ซึ่งขวัญมองว่ายังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผลักดันกฎหมายนี้จนสำเร็จได้
“10,000 รายชื่อ เป็นเรื่องยาก แต่สู้ สู้แน่นอน เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ลำบากเท่ากับโดนจับอีกรอบ ถ้าให้โดนจับกับไปวิ่งหา 10,000 รายชื่อ คิดว่าขอไปวิ่งหา 10,000 รายชื่อแล้วกัน”