20 มกราคม 2568 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติ “ให้ความเห็นชอบ” ด้วยคะแนนเสียงให้ความเห็นชอบ 173 เสียง ไม่เห็นชอบ 11 เสียงและไม่ออกเสียง 6 เสียง ให้ประภาศ คงเอียด อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แทนที่พล.อ.บุญยวัจน์ เครือหงส์ ประภาศเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระคนแรกที่ได้รับความเห็นชอบโดยสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่จากระบบ “เลือกกันเอง”

หลังจากที่พล.อ.บุญยวัจน์ เครือหงส์ ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. สืบเนื่องจากมีอายุครบ 70 ปี ทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเปิดรับสมัครกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลง หลังจากปิดรับสมัครแล้วคณะกรรมการสรรหาก็ได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ก่อนที่คณะกรรมการสรรหาจะลงมติเพื่อเห็นชอบเสนอชื่อไปยัง สว. เป็นการต่อไป
คณะกรรมการสรรหาชุดนี้ประกอบไปด้วย
- อโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา
- วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา
- ศ.พิเศษ วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ประธานศาลปกครองสูงสุด
- ณรงค์ วุ่นซิ้ว บุคคลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง
- ฉัตร์ชัย ยอดอุดม บุคคลซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้ง
- พล.ต.อ.ศักดา ชื่นภักดี บุคคลซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินแต่งตั้ง
- วิทูรัช ศรีนาม บุคคลซึ่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินแต่งตั้ง
- บุญสม อัครธรรมกุล บุคคลซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแต่งตั้ง
ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 217 ประกอบมาตรา 203 “ผู้นำฝ่ายค้าน” เป็นหนึ่งในกรรมการสรรหากรรมการองค์กรอิสระด้วยด้วย แต่ระหว่างดำเนินการสรรหากรรมการ ป.ป.ช. ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านว่างลง เนื่องจากเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกลและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ส่งผลให้ ชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคก้าวไกลต้องพ้นจากตำแหน่ง สส. และผู้นำฝ่ายค้าน ส่งผลให้ในการลงมติเลือกผู้สมัครกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งสองรอบ ในวันที่ 27 สิงหาคม 2567 ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านลงคะแนน ซึ่งพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เป็นผู้นำฝ่ายค้านคนต่อไป ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พ้นช่วงเวลาสรรหากรรมการ ป.ป.ช. แล้ว
ประภาศ คงเอียดได้รับคะแนนสูงสุดในการลงมติของคณะกรรมการสรรหาทั้งสองรอบ วิธีการลงมติของคณะกรรมการสรรหาถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป. ป.ป.ช.) มาตรา 13 ซึ่งกำหนดว่า คณะกรรมการสรรหาจะต้องสัมภาษณ์ผู้สมัคร ให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และลงคะแนนโดยเปิดเผย ผู้สมัครที่จะได้รับการสรรหาจะต้องได้รับคะแนนเสียงสองในสามของคณะกรรมการสรรหา แต่ถ้าการลงคะแนนในรอบแรกยังไม่มีใครได้คะแนนเสียงสองในสาม ต้องมีการลงคะแนนใหม่ไปจนถึงรอบที่สาม หากพ้นรอบที่สามไปแล้วถือว่าต้องสรรหาใหม่แทน
เท่ากับว่าในการสรรหา กรณีที่มีกรรมการสรรหาครบทั้งเก้าคนจะต้องใช้คะแนนเสียงของกรรมการสรรหาเห็นชอบอย่างน้อยหกเสียง เพื่อเสนอชื่อต่อไปยังวุฒิสภา แม้ว่าในกรณีการสรรหาของประภาศ จะมีกรรมการเพียงแปดคนแต่สองในสามของจำนวนกรรมการก็ยังคงเป็นหกคนดังเดิม
โดยในรอบแรกประภาศได้สี่คะแนน ขณะที่ผู้สมัครคนอื่นได้คะแนนสองคะแนน หนึ่งคะแนน และหนึ่งคะแนน ตามลำดับ จึงทำให้ต้องมีการลงมีอีกครั้งในรอบที่สอง ประภาศได้รับคะแนนเสียงตามเกณฑ์ คือหกเสียง คณะกรรมการสรรหาจึงได้เสนอชื่อไปยังวุฒิสภาต่อไป
วันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อหน้าทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม (กมธ. สอบประวัติฯ) ของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีกำหนดเวลา 60 วัน ก่อนที่จะขยายเวลาเพิ่มอีก 30 วัน และส่งต่อให้ที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณา
ต่อมาเมื่อ 20 มกราคม 2568 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 173 เสียง ให้ประภาศ คงเอียด เป็นกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่ ขั้นตอนต่อไปถือการได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ซึ่งจะนับวาระเจ็ดปีนับแต่ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง นอกจากประภาศแล้วยังมี พศวัจณ์ กนกนาก ที่ยังรอการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช.แม้จะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาแต่งตั้งมาเมื่อ 7 สิงหาคม 2566 หรือประมาณหนึ่งปีห้าเดือนนับจนถึงวันที่ 23 มกราคม 2568
ล่าสุดประภาศได้รับการโปรดเกล้าฯเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ทำให้ประภาศจะหมดวาระในฐานะกรรมการ ป.ป.ช. ในเดือนมกราคม 2575 ด้วยเช่นกัน เว้นเสียแต่ว่าจะมีอายุครบ 70 ปีเสียก่อน
กระบวนการสรรหากรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่เพื่อแทนที่พล.อ.บุญยวัจน์ เครือหงส์ เคยมีมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งในสมัย สว. แต่งตั้ง คณะกรรมการสรรหาเคยมีมติเห็นชอบเสนอชื่อพล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ แต่ในการประชุมวุฒิสภาเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบพล.ต.ท. ธิติ ด้วยคะแนนเสียง ให้ความเห็นชอบ 80 เสียง ไม่ให้ความเห็นชอบ 88 เสียง ไม่ออกเสียง 30 เสียง พล.ต.ท. ธิติ จึงไม่ได้นั่งเก้าอี้ กรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดว่า การให้ความเห็นชอบผู้ให้ดำรงแหน่งในองค์กรอิสระ จะต้องมีคะแนนเสียงให้ความเห็นชอบ ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สว. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือหากมี สว. ปฏิบัติหน้าที่ครบ 200 คน ก็จะต้องใช้เสียงให้ความเห็นชอบอย่างน้อย 100 คน จึงทำให้ต้องมีการสรรหากันใหม่
ย้อนดูผลงานห้าปี สว. ชุดพิเศษ ในการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ – หน่วยงานรัฐ https://www.ilaw.or.th/articles/37271
ประวัติโดยคร่าวของประภาศ
ประภาศ คงเอียด อายุ 62 ปี หกเดือน (นับถึงวันที่สมัคร 1 กรกฎาคม 2567) จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับสอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง เนติบัณฑิต สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ปี 2530 และศึกษาระดับปริญญาโท International Tax Program Certificate and Master of Laws (ITP/LL.M.) Harvard Law School, Harvard University, Massachusetts, สหรัฐอเมริกา ปี 2539 ในอดีตเคยปฏิบัติหน้าที่เป็นนายตรวจสรรพสามิต ผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางและผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา รองปลัดกระทรวงการคลัง อธิบดีกรมบัญชีกลาง และอธิบดีกรมธนารักษ์
ก่อน สว. จะเห็นชอบให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่ ประภาศเป็นข้าราชการบำนาญสังกัดกรมธนารักษ์ กรรมการสำนักงานบริหารพัฒนาองค์ความรู้ กรรมการอำนวยการและกำกับนโยบาย สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กรรมการบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ประธานกรรมการบริษัท อุตสหากรรมพื้นยางโอลิมปิก จำกัด กรรมการบริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กรรมการบริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กรรมการบริษัท ซี เอ แซด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และที่ปรึกษากฎหมาย บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ เก้าอี้กรรมการ ป.ป.ช. ยังว่างอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งคณะกรรมการสรรหาได้รับสมัครและประกาศรายชื่อไปแล้วเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 ขั้นตอนต่อไปก็คล้ายกับประภาศ คือคณะกรรมการสรรหาจะต้องลงมติและเสนอชื่อต่อไปยังวุฒิสภา