29 สิงหาคม 2567 เวลา 9.00 น. ศาลอาญานัดเก็ท-โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง ฟังคำพิพากษากรณีปราศรัยวันแรงงาน หมายเลขคดีดำที่ อ.732/2566 จากกรณีการปราศรัยในกิจกรรมวันแรงงานสากล ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ทำให้เก็ท-โสภณถูกฟ้องในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ มาตรา 112 และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมการโฆษณาฯ อันเนื่องมาจากการใช้เครื่องขยายเสียง โดยเขาถูกกล่าวหาว่าคำปราศรัยใช้ถ้อยคำเสียดสี พาดพิง ซึ่งก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันกษัตริย์ ทำให้ประชาชนรู้สึกเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมสี่ข้อความ โดยสามข้อความ มีเนื้อหากล่าวพาดพิงถึงเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ และสถาบันกษัตริย์
จากความเจ็บปวดในยุคโควิด-19 สู่คำพิพากษา ม.112 คดีที่สาม
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ได้เดินทางเข้าแจ้งข้อกล่าวหาในคดีตามมาตรา 112 ต่อ เก็ท-โสภณ ขณะที่ เก็ท-โสภณถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นวันที่ 19 หลังเขาถูกจับกุมตามหมายจับของศาลอาญา ในคดีมาตรา 112 ของ สน.สำราญราษฎร์ จากการปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2565 และไม่ได้รับการประกันตัว โดยคดีนี้มี ร.ต.อ.ทองธาดา การะเกด ฝ่ายสืบสวน สน.นางเลิ้ง เป็นผู้กล่าวหา
ในชั้นอัยการ ปัญญ ไพศาลรภัทร พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 บรรยายคำฟ้องโดยมีเนื้อหาสรุปว่า
1. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 จำเลยได้กล่าวปราศรัยมีใจความบางช่วงในประเด็นเหล่านี้
๐ ในช่วงที่ประเทศไทยยังขาดวัคซีนโควิดที่มีคุณภาพ มีวัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกหายไป โดยกล่าวถึงเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี และกลุ่มเพื่อนที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ก่อนหน้าประชาชน ซึ่งทำให้คนฟังเข้าใจว่า เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี และพระสหายว่าลักเอาวัคซีนไฟเซอร์ไปฉีดให้ตนเอง เพื่อที่จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศ โดยประการที่น่าจะทำให้เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ซึ่งเป็นรัชทายาทของรัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง โดยจำเลยมีเจตนาทำลายสถาบันกษัตริย์ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา
๐ วัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ซึ่งเครือข่ายราชวงศ์ได้รับวัคซีน จากการเข้าถือหุ้น แต่ประชาชนไม่ได้วัคซีน “ผมถึงย้ำเสมอว่าขอให้ตระหนักถึงคุณค่าของทุกคนว่า ทุกคนคือแรงงาน ทุกคนมีศักดิ์ศรีที่จะได้วัคซีนและอื่นๆ แต่ศักดินา ระบอบกษัตริย์ นายทุน รัฐบาล ได้ขโมยสวัสดิการ ขโมยอำนาจอธิปไตยไปจากเรา” ซึ่งทำให้คนฟังเข้าใจว่า รัชกาลที่ 10 ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทที่ผลิตวัคซีนดังกล่าว ทำให้ราชวงศ์และข้าราชบริพาร ได้รับวัคซีน แต่ประชาชนกลับไม่ได้รับ ตลอดจนทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่ากษัตริย์ ขโมยอำนาจอธิปไตยจากประชาชน โดยประการที่น่าจะทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง โดยจำเลยมีเจตนาทำลายสถาบันกษัตริย์ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา
๐ เครื่องมือทางการแพทย์ โรงพยาบาล ตลอดจนเงินซื้อวัคซีนและซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นเงินบริจาคจากประชาชน ไม่ใช่เงินของกษัตริย์ หรือมหาราชพระองค์ใด ทำให้คนฟังเข้าใจว่า สถาบันกษัตริย์ช่วยเหลือประชาชนเพียงในนาม ไม่ได้ช่วยเหลือจริง งบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ ทางการแพทย์ก็มาจากเงินภาษีประชาชน โดยประการที่น่าจะทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมพระเกียรติ
๐ ชีวิตที่เกิดมาได้ใช้คุ้มแล้ว หรืออยากตายอย่างทาสให้ศักดินา ให้สถาบันกษัตริย์กดหัวก็เลือกเอา แต่จงศรัทธาในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถ้าหากทุกคนถูกลิดรอนสิทธิ ขอให้เรียกร้องสิทธิออกมาทำให้คนฟังเข้าใจว่า สถาบันกษัตริย์กดขี่ประชาชน ประชาชนเป็นทาส ประชาชนควรเรียกร้องสิทธิของตน โดยประการที่น่าจะทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมพระเกียรติ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อสถาบันกษัตริย์
2. วันดังกล่าว จำเลยได้ปราศรัยแสดงความคิดเห็นต่อกลุ่มคนที่มาทำกิจกรรรม “แจกน้ำยาให้หมามันกิน” โดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต
กรณีปราศรัยในวันแรงงานสากลนี้เป็นคำพิพากษาคดีมาตรา 112 คดีที่สาม ของเก็ท-โสภณ โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีมาตรา 112 ไปแล้วสองคดี ได้แก่ กรณีปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว ซึ่งศาลลงโทษจำคุกรวมสามปีหกเดือนและกรณีปราศรัยในกิจกรรมใครฆ่าพระเจ้าตาก ซึ่งศาลลงโทษจำคุกสามปี รวมโทษทั้งสองคดีส่งผลให้เก็ท-โสภณ ต้องรับโทษจำคุกทั้งสิ้นหกปีหกเดือน
๐ อ่านข้อมูลคดี ของเก็ท-โสภณเพิ่มเติมได้ที่ https://database.tlhr2014.com/public/case/1971/lawsuit/743/