เปิดแฟ้มคดี ‘สะเทือนขวัญ’ ย้ำเหตุที่ต้องมีกฎหมาย Anti Stalking

ก่อนหน้านี้มีภาพข่าวผู้ชายงัดห้องแฟนเก่าที่เมาหลับอยู่มาห่มผ้าให้ ลูบหัว กอดหอม ประมาณว่า “เลิกกัน แต่ยังไม่เลิกรัก” และบรรยายว่าภาพดังกล่าว “อบอุ่นน่ารัก ชาวเน็ตแห่เชียร์ให้กลับมาคบกัน” ซึ่งน่าตกใจมากว่า สื่อกระแสหลักกล้าใช้คำเชิงบวกต่อพฤติกรรมที่เป็นการคุกคามทางเพศอย่างชัดเจนต่อคนที่ไม่ได้ให้ความยินยิม อันเป็นการสร้างแนวความคิดที่ไม่ถูกต้อง

แต่น่าตกใจกว่าคือในคอมเมนต์ก็มีคนสนับสนุนการกระทำของฝ่ายชายจริง ๆ ถึงกรณีนี้ฝ่ายหญิงจะโอเคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าหากเรื่องเดียวกันเกิดกับคนที่จบกันไม่ดี ไม่มีใจให้แล้ว หรือถ้าเราเองนอน ๆ อยู่มีคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้มาทำแบบนี้ มันจะกลายเป็นหนังคนละม้วนเลยทันที

พอๆ กับการที่บางคนตามสืบทุกเรื่องของคนที่แอบชอบ ตามส่องทุกการกระทำบนทุกช่องทางโซเชียล
ส่งข้อความหาบ่อยๆ แอบทำอะไรให้ ไปรอดักเจอ ฯลฯ ยุ่มย่ามกับชีวิตประจำวันของเขาโดยคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันคือความหวังดี รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่โรแมนติก ไม่ใช่อาการคลั่งรัก แต่เข้าข่ายการเป็น “สตอล์กเกอร์” (stalker) ซึ่งอาจแปลว่า การสะกดรอย การติดตาม การคุกคาม การล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว

คำนิยาม Stalking & Cyberstalking

อ้างอิงคำนิยามของ Office on Women’s Health กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์สหรัฐอเมริกา Stalking (การสะกดรอยตาม) คือการติดต่อซ้ำๆ อันไม่พึงประสงค์ที่ทำให้เป้าหมายรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือถูกคุกคาม เช่น การพยายามติดตามไปทุกที่ โทรหาอย่างต่อเนื่อง ส่งของขวัญให้ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ โดยพฤติกรรมเหล่านี้อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมอื่น ๆ อย่างการทำลายทรัพย์สิน บุกรุกที่พักอาศัย ข่มขู่จะทำร้าย หรือไปจนถึงการฆาตกรรม ผู้กระทำส่วนใหญ่มักเป็นบุคคลที่รู้จักหรือมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับผู้ถูกติดตาม หรือเรียกตนเองว่าแฟนคลับหากเหยื่อเป็นคนมีชื่อเสียง

สองตัวอย่างคดี stalking ที่โด่งดังที่สุดคือ เคสของรีเบคกา เชฟเฟอร์ (Rebecca Schaeffer) ดาราสาววัยเพียง 21 ปีผู้ถูกแฟนคลับสะกดรอยตามนานถึงสามปี และในที่สุดเธอก็ถูกยิงเสียชีวิตที่ประตูทางเข้าบ้าน
ตัวเอง หรือเคสของชิโอริ อิโนะ (Shiori Ino) นักศึกษามหาวิทยาลัยช่วงอายุเดียวกับรีเบคกาผู้ถูกแฟนเก่าตามคุกคามนานเกือบปี เธอและครอบครัวพยายามร้องเรียนกับตำรวจหลายครั้งทว่ากลับถูกเมิน หนำซ้ำชิโอริยังถูกมองว่าเป็นหญิงขายบริการหิวเงินอีก สุดท้ายวันหนึ่งเธอก็ถูกแทงเสียชีวิต การตายก่อนวัยอันควร

คดีสะเทือนขวัญเหล่านี้นำไปสู่การผ่านกฎหมายต่อต้านการสะกดรอยตามหรือ anti-stalking ฉบับแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา (ปี 1990) และญี่ปุ่น (ปี 2000) ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม เมื่อยุคสมัยพัฒนาเข้าสู่เทคโนโลยี การสะกดรอยก็ถือกำเนิดในรูปแบบใหม่ทางไซเบอร์ หรือ cyberstalking ซึ่งความอันตรายไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย แถมออกจะน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม เพราะพอเป็นโลกออนไลน์เหยื่อมีโอกาสถูกคุกคามจากคนที่อยู่กันคนละเมืองหรือคนละทวีปเลยก็ได้ เช่น การส่งข้อความรังควาน การแฮ็ก/ขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือรูปภาพของเหยื่อไปใช้สร้างตัวตนปลอม หรือสวมรอยเป็นเหยื่อทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมเพื่อทำลายชื่อเสียง เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น cyberstalking ไม่ได้หมายความว่าจะจำกัดแค่ในอินเทอร์เน็ต แต่คนหลังคีย์บอร์ดอาจออกมาทำร้ายเหยื่อจริงๆ อย่างกรณีปี 2019 ของไอดอลสาวญี่ปุ่นเอนะ มัตสึโอกะ (Ena Matsuoka) ซึ่งถูกแฟนคลับรายหนึ่งซูมภาพสะท้อนในดวงตาจากรูปถ่ายเซลฟี่ของเธอที่โพสต์ลงโซเชียล เอาไปเทียบกับสถานที่ใน Google Street View จนรู้ว่าเธอพักที่ไหน แล้วตามไปทำร้ายและลวนลามเธอถึงที่ ต่อมาแฟนคลับรายนั้นถูกจับกุมและโดนโทษจำคุกนาน 30 เดือน แม้เอนะจะไม่ถึงขั้นถูกฆาตกรรม แต่ก็ต้องรักษาบาดแผลใบหน้านานนับสัปดาห์พร้อมบาดแผลทางใจ

นั่นคือตัวอย่างหนึ่งจากประเทศแถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาเหยื่อถูกสะกดรอยเฝ้าติดตามใน
อัตราที่สูงมาก แต่ละปีมีประชาชนมาปรึกษาเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวกว่า 20,000 เคส มีสตอล์กเกอร์ถูกตำรวจจับเป็นพันคน หลายคดีที่มาถึงหูคนอย่างเราๆ มักมีผู้ถูกกระทำเป็นดาราหรือไอดอล แต่ในความเป็นจริงเหยื่อที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปก็มีเยอะมากแค่เราอาจไม่รู้ ผลการศึกษาจากหลายสถาบันเปิดเผยว่า บุคคลทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็กตลอดจนผู้สูงอายุ ไม่ว่ารวยหรือจน ก็มีความเสี่ยงตกเป็นเหยื่อ stalking ได้ ทั้งนี้ ตามสถิติแล้วกลุ่มอายุ 18-24 ปีมีความเสี่ยงสูงที่สุด และผู้หญิงมีสัดส่วนเคยถูกสะกดรอยมากกว่าผู้ชายราวสองเท่า

ไม่ว่าเหยื่อจะถูกกระทำทางออฟไลน์หรือออนไลน์หรือทั้งสองอย่างก็มีรายงานชี้ว่า พวกเขาได้รับผลกระทบทางจิตใจและการใช้ชีวิตอย่างมาก เหยื่อถูกสะกดรอยจะมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โรค PTSD วิตกกังวล นอนไม่หลับ และกลัวการเข้าสังคมสูงกว่าประชากรทั่วไป หลายคนต้องย้ายบ้านหนี ต้องออกจากงานเพราะไม่กล้าออกไปไหน และมีอีกจำนวนมากคิดกระทำอัตวินิบาตกรรม ดังนั้น stalking และ cyberstalking ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่ยังมีสื่อกระแสหลักเผยแพร่มุมมองเกี่ยวกับอาชญากรรมดังกล่าวในลักษณะโรแมนติไซส์ ทำให้ดูเป็นเรื่องราวความรักอบอุ่นหัวใจไปเสียอย่างนั้น

คดีของแมทธิว ฮาร์ดี มีเหยื่อมากถึง 62 คน

สถิติของทางการแสดงตัวเลขที่น่าตกใจว่า ในปี 2020 ตำรวจอังกฤษและเวลส์ได้รับแจ้งเหตุการสะกดรอยตามมากกว่า 80,000 เคส! ซึ่งพุ่งทะยานจากช่วงปีก่อนโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดที่ประมาณ 27,000 เคส หนึ่งในคดีมหากาพย์ที่สุดของบริเตน คดี cyberstalking ที่มีผู้ก่อเหตุเพียงหนึ่ง แต่มีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อมากถึง 62 คน ติดต่อตำรวจในพื้นที่เทศมนฑลเชชเชอร์แค่แห่งเดียวรวม ๆ แล้วเป็นร้อยครั้ง ภายในระยะเวลาแห่งฝันร้ายยาวนานถึง 11 ปี

“ฉันบอกความลับกับคุณได้รึเปล่า?” คือประโยคจุดเริ่มต้นแห่งหายนะ สิ่งที่กำลังจะตามมาเป็นพรวน
คือสารพัดข้อความซึ่งสร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบของเหยื่อ

“ฉันรู้นะว่าคุณแอบไปนอนกับแฟนของคนอื่น”

“ตอนนี้คุณไปมีอะไรกับสามีของเพื่อนสนิทแล้วงั้นสิ?”

“เพื่อนรักนินทาคุณลับหลังล่ะ”

ในช่วงแรกเหยื่อจะได้รับข้อความลักษณะดังกล่าวจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียปริศนาที่จะอ้างต่อว่ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอ แม้สารที่ถูกส่งมาจะไม่เป็นความจริงแต่ก็บั่นทอนความรู้สึกและความเชื่อใจของผู้รับไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันถูกส่งมาบ่อยๆ ซึ่งผู้รับไม่ได้มีเพียงแค่เหยื่อเท่านั้น แต่รวมถึงคนรัก เพื่อนที่ทำงาน และครอบครัว

อาจมีคนกำลังคิดว่า “ก็บล็อกไปซะสิ?” แต่พอบล็อกไปหนึ่งบัญชี ก็จะมีอีกบัญชีโผล่มาแทนที่ “งั้นก็ไม่ต้องตอบกลับสิ” หากไม่ตอบก็จะมีเบอร์ปริศนาโทรเข้าไม่หยุดหย่อน เสียงปลายสายหลังกดรับคือเสียงพ่นลมหายใจใส่ชวนขนลุก

นอกจากนี้ เหยื่อยังถูกแฮ็กบัญชีโซเชียลมีเดีย หรือถูกเอาชื่อไปใช้สร้างบัญชีปลอม สนทนาเรื่องลามกสัปดนและบางครั้งก็ส่งรูปถ่ายส่วนตัวของเหยื่อไปในแชทด้วย ทำให้ท้ายที่สุดหลายคนต้องจบความสัมพันธ์กับคนสนิท เลิกกับแฟน ทะเลาะกับที่บ้าน สูญเสียโอกาสทางการงาน บางคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หวั่นวิตกถึงขั้นต้องวางอาวุธไว้ข้างเตียง โดยผลลัพธ์ทั้งหมดนี้เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แต่มันเป็นเพราะชายวัย 30 คนหนึ่งที่เอาแต่หมกมุ่นทำลายชีวิตคนอื่นอยู่หลังหน้าจอชื่อว่า แมทธิว ฮาร์ดี (Matthew Hardy)

ไม่มีแหล่งข้อมูลใดระบุแน่ชัดว่าพื้นเพครอบครัวของฮาร์ดีเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ วัยเรียนของเขาไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก เขามักจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวและถูกบูลลี่เพราะเป็นคน “แปลก ๆ” นี่อาจไม่ใช่ข้อกล่าวหาลอยๆ เนื่องจากในปี 2006 เฟซบุ๊กเพิ่งเปิดให้บริการใหม่ ๆ วัยรุ่นอังกฤษแห่สมัครกันถล่มทลาย ช่วงเวลานั้นเองที่ฮาร์ดีเริ่มสตอล์กเพื่อนนักเรียนหญิงและเด็กสาวจากโรงเรียนใกล้เคียง

เมลานี (นามสมมติ) คือเหยื่อรายแรกๆ ของฮาร์ดี เธอเล่าว่า “มีใครก็ไม่รู้มาแอดเฟซฉันและเริ่มส่งข้อความหาทำนองว่า แฟนของเธอมีคนอื่นนะ อยากให้รู้เอาไว้” เพื่อนของเธอหลายคนก็ได้รับข้อความคล้ายๆ กัน ต่อมาเมื่อพวกเธอรู้ตัวการจึงพากันตอบกลับไปว่า “แกคือแมทธิว ฮาร์ดี ไปให้พ้น” ตามที่เมลานีให้ข้อมูล ตอนนั้นฮาร์ดีก็ก่อกวนสาว ๆ ที่เรียนที่เดียวกับเธอไปแล้วราว 25 คน

ปี 2010 ฮาร์ดีส่งข้อความหาเมลานีอีก แต่คราวนี้คนที่ถูกพาดพิงไม่ใช่เธอ แต่เป็นแม่ของเธอที่เพิ่งเสียชีวิต “รู้ไหมว่าแม่เธอนอกใจพ่อ? ฉันว่าจะไปบอกเขาล่ะ” เมลานีรู้สึกรับไม่ได้อย่างรุนแรงและไปแจ้งความกับตำรวจ แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับเป็นการบอกปัดเพียงว่า “เราทำอะไรไม่ได้หรอก มันออนไลน์ เราไม่รู้คนทำเป็นใคร” (ทั้งที่ตำรวจสามารถตามแกะรอยได้ถ้าจะทำ)

ทางด้านเหยื่ออีกรายชื่อ เอมี เบลีย์ (Amy Bailey) ถูกฮาร์ดีสะกดรอยตามตั้งแต่เธออายุ 16 ในปี 2011 วันๆ หนึ่งเธอจะได้รับสายโทรเข้ากว่า 50 ครั้ง และฮาร์ดีจะแชทหาเธอตลอดว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ วันนี้เธอใส่เสื้อสีอะไร จนเอมีทนความหวาดระแวงที่ต้องเผชิญไม่ไหว เดินทางไปแจ้งความที่กรมตำรวจเชชเชอร์ซึ่งเสนอทางออกสุดบรรเจิดให้เธอรวมถึงเหยื่อที่โดนเหมือนกันรายอื่นๆ ว่า “ลบบัญชีเฟซบุ๊กไปแล้วก็บล็อกเบอร์เขาสิ”

แหม ถ้าทำแค่นั้นแล้วจบจริงเขาจะมาหาคุณตำรวจเหรอ? แถมคนที่ต้องใช้โซเชียลอย่างเฟซบุ๊กในการ
เรียนหรือทำงานล่ะ การลบแอคเดิมสร้างแอคใหม่รับประกันได้จริงหรือว่าฮาร์ดีจะล้มเลิก?

แต่อย่างน้อยในปีเดียวกันนั้นตำรวจก็ทำคดีของเหยื่อรายหนึ่งอย่างจริงจัง (ก่อนจะกลับไปไม่จริงจังนานเกือบ 10 ปี) ซาแมนธา โบนิเฟซ (Samantha Boniface) อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียน ถูกฮาร์ดีแฮ็กเฟซบุ๊กและสวมรอยเป็นเธอไปพูดคุยเชิงชู้สาวกับผู้ชายไปทั่วแม้กระทั่งเพื่อนของพ่อเธอ จนครั้งหนึ่งมีลูกค้าเข้าหาซาแมนธาขณะทำงานแคชเชียร์ที่ห้างและขยิบตาถามว่า “เธอใช่สาวที่พูดลามกกับฉันเมื่อชั่วโมงก่อนรึเปล่า”

คดีนี้ฮาร์ดียอมรับผิดฐานแฮ็กบัญชีโซเชียลมีเดียและคุกคามเหยื่อให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำ คาญ เขาถูกตัดสินให้จำคุก 4 เดือน แต่รอลงอาญา 12 เดือน และต้องบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ 250 ชั่วโมง นอกจากนี้เขายังได้รับคำสั่งห้ามติดต่อ (restraining order) และต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนหนึ่งให้กับซาแมนธา

อย่างไรก็ตาม บทลงโทษดังกล่าวมิอาจหยุดฮาร์ดีได้ ปี 2013 เขากลับมาก่อเหตุอีกครั้งกับอดีตเพื่อนร่วมชั้นอีกคนชื่อว่า จีนา มาร์ติน (Gina Martin) ซึ่งทุกเช้าที่เธอตื่นขึ้นมาจะมีคนแชทมาหาเธอว่า “คนที่เพิ่งแอดฉันมานี่ใช่เธอรึเปล่า?” แหงอยู่แล้วว่าไม่ใช่ มีใครบางคนสร้างแอคปลอมแสร้งเป็นเธอ หลังจากหารือกับเพื่อนที่เคยโดนรังควานลักษณะนี้มาแล้วและเปรียบเทียบข้อความกัน จีนาก็รู้ว่านี่คือฝีมือของฮาร์ดี และรู้อีกด้วยว่าเขาอาศัยห่างจากบ้านเธอไปแค่ห้านาทีเท่านั้น “เวลาฉันไปไหนคนเดียว ฉันจะใส่หมวกแล้วดึงฮู้ดขึ้นมาค่ะ ฉันกลัวเขาอยู่ตลอดเลย”

ฮาร์ดีไม่ได้คุกคามเหยื่อเพียงทีละคน ระหว่างที่จีนาจมกับความหวาดระแวง เอมีก็เข้าใกล้คำว่าเสียสติเข้าไปเรื่อยๆ เธอติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งและส่งหลักฐานภาพสกรีนช็อตของแอคเคาท์ที่คอยตามคุกคามเธอ หนึ่งในนั้นปรากฏชื่อจริงของฮาร์ดีด้วย เช่นเดียวกับคดีของซาแมนธา คดีนี้เขาก็ยอมรับผิดในข้อหาเดิมและถูกตัดสินโทษจำคุกแบบรอลงอาญาพร้อมคำสั่งห้ามติดต่อ แต่ปีถัดมาเขาก็ฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว กลับไป
สตอล์กเอมีเหมือนเก่า เอมีแจ้งเรื่องนี้กับตำรวจในปี 2014, 2015 และ 2017 แต่ทุกครั้งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหยื่อสาวเคราะห์ร้ายกลายเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า จมกับความกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลา เธอไม่กล้าออกจากบ้านเพราะรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่เสมอ

จีนาเองก็ประสบชะตากรรมคล้ายๆ กัน เธอรายงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับฮาร์ดีในปี 2016 เขาถูกจับกุมก็จริง แต่สำนักงานอัยการ (The Crown Prosecution Service: CPS) ปฏิเสธที่จะดำเนินการต่อ

“เหมือนฉันถูกบอกเป็นนัยว่า จนกว่าจะมีใครได้รับบาดเจ็บหรือเขาสะกดรอยตามใครสักคนในชีวิตจริง พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้”

เมลานีเป็นคนแรกที่หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ในปี 2016 หลังจากแต่งงานและเปลี่ยนชื่อ ทำให้ฮาร์ดีหาเธอไม่เจอ ทว่าน่าเศร้าที่เอมีกับจีนาต้องอยู่กับวังวนแห่งฝันร้ายต่อไปจนกระทั่งปี 2021

ทุกคนอาจจะมีคำถามในใจว่า นายฮาร์ดีไม่มีการมีงานทำเหรอ ถึงดูว่างไประรานชาวบ้านขนาดนี้คำตอบคือ ใช่ เขาไม่มีงานทำ งานอย่างเดียวที่ทำก็การสตอล์กผู้หญิงนี่แหละ ไม่ทราบเหมือนกันว่าวัน ๆ เขาใช้ชีวิตอย่างไร หรือไปเอาเงินมาจากไหน

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาพฤติกรรมสะกดรอยบนอินเทอร์เน็ตของฮาร์ดีแล้วจะสามารถแบ่งได้เป็นสามเฟส เฟสแรกคือเลือกตามผู้หญิงที่เคยไปโรงเรียนเดียวกัน เฟสต่อมาเริ่มหันหาคนที่อาศัยในละแวกใกล้เคียงและเฟสสุดท้ายหาเหยื่อที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเลยโดยสิ้นเชิง ผู้เสียหายทุกคนเป็นเพศหญิง (ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการ) ส่วนใหญ่นิสัยร่าเริง หน้าที่การงานดี และมักมีผู้ติดตามในโซเชียลค่อนข้างเยอะ เช่น โซอีเจด แฮลลัม (Zoe Jade Hallam) ซึ่งไม่รู้จักมักจี่กับฮาร์ดีมาก่อน แต่ก็ถูกลากเข้ามาพัวพันจนได้ เริ่มต้นจากการที่เธอได้รับข้อความ ตามมาด้วยโทรศัพท์ที่ปลายสายไม่มีใครพูด ถ้าเธอร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวและเครียด เขาก็จะแชทมาล้อเลียนว่า “ร้องไห้ยังกะเด็ก” แถมฮาร์ดียังสวมรอยเป็นพ่อของแฟนเธอที่ทำอาชีพหมอไปสนทนาเรื่องไม่เหมาะสมกับเด็กสาวๆ ทำลายชื่อเสียงของเขาอย่างมาก โซอีคิดว่าตนเป็นตัวต้นเหตุที่พ่อแฟนถูกดึงมาเอี่ยว เหยื่ออีกหลายคนก็รู้สึกผิดแบบเธอ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องเลย

เมษายนปี 2019 โซอีเข้าแจ้งเหตุถูกคุกคามกับตำรวจลิงคอล์นเชอร์ เนื่องจากเธออาศัยอยู่เพียงลำพัง เกิดหวาดกลัวว่าวันดีคืนดีคนที่ตามรังควานเธอในโลกออนไลน์จะออกมาทำร้ายเธอในชีวิตจริง เธอถึงขั้นวางดาบซามูไรไว้ข้างเตียงตอนนอน ที่โซอีไปหาตำรวจก็ไม่ได้ไปมือเปล่า เธอให้เบอร์โทรศัพท์ของฮาร์ดีกับพวกเขาด้วย แต่ดันถูกปฏิเสธกลับมา “พวกเขาบอกว่าการแกะรอยจะทำแค่ในเคสใหญ่ๆ อย่างข่มขืนหรือฆาตกรรมเท่านั้น ฉันเลยถามว่า งั้นคือเราต้องรอให้เกิดเรื่องก่อนใช่ไหมถึงจะทำอะไรสักอย่างน่ะ?”

…หากมองในมุมเจ้าหน้าที่ก็อาจจะจริงก็ได้ เพราะพวกเขาไม่ค่อยใส่ใจเคสการรังควานทางออนไลน์สักเท่าไร อย่างมากก็ให้เหยื่อบล็อกพวกสตอล์กเกอร์หรือเลิกเล่นโซเชียลซะ ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ต้องยกนิ้วให้เลย (นิ้วไหนไม่รู้แล้วแต่ศรัทธา) แต่ไหนๆ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็ดูอยากให้เราเริ่มพิทักษ์ตัวเองก่อน ครอบครัวแฮลลัมจึงจ้างนักสืบเอกชนซะเลยจนรู้ว่าตัวตนหลังคีย์บอร์ดคือใคร พอได้ชื่อตัวการโซอีก็รีบไปแจ้งที่สถานีเดิมและได้รับการตอบกลับประมาณว่า “โอเค เดี๋ยวเราจะส่งเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมนายฮาร์ดีและเตือนให้เขาหยุด”

หลังจากนั้นฮาร์ดีหยุดสตอล์กโซอีจริงๆ แต่ก็แค่สองเดือน ราวกับเว้นช่วงไปพักร้อนเฉยๆ เนื่องจากฮาร์ดีก่อเหตุกับผู้หญิงจำนวนมาก จึงยิ่งสะท้อนการทำงานของตำรวจว่าเหลาะแหละขนาดไหน มีเหยื่อเข้าไปแจ้งความตั้งหลายราย หลักฐานชี้ไปที่ตัวผู้กระทำความผิดคนเดียวกันด้วยซ้ำ แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็ยังคงความไม่ยินดียินร้ายได้อย่างสม่ำเสมอ ปล่อยให้เหยื่อเผชิญคราวเคราะห์อย่างโดดเดี่ยว

อาบิเกล เฟอร์เนส (Abigail Furness) คือเหยื่อสาวอีกคนที่ถูกฮาร์ดีทำลายความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มกับเพื่อน คนในครอบครัวของเธอถูกก่อกวนอย่างหนักจนทุกวันนี้บางคนยังบล็อกเธออยู่เลย อาบิเกลกล้ำกลืนฝืนทนและปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็จบ แต่ความจริงกลับแย่ลงเรื่อยๆ เธอได้รับข้อความจากฮาร์ดีครั้งแรกในปี 2019 หนึ่งปีถัดมาระหว่างที่เธอกำลังจัดกระเป๋าเตรียมไปเที่ยว เสียงแจ้งเตือนมือถือก็ดังขึ้น

“ระวังตัวไว้ให้ดี” แสงหน้าจอสว่างวาบพร้อมประโยคที่ทำให้อาบิเกลหวาดผวา เธอรีบกดเบอร์โทรหาตำรวจ ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำความสิ้นหวังเข้าไปอีก “คุณคิดจริง ๆ เหรอว่าคุณตกอยู่ในอันตราย? เพราะเราอยู่ ห่างจากคุณแค่ 20 นาที ระหว่างนี้อาจจะเกิดเหตุบางอย่างที่นี่ก็ได้” หญิงสาวพูดไรไม่ออก รู้สึกราวกับตนเป็นคนงี่เง่าที่กลัวเกินเหตุ แม้ภายหลังฮาร์ดีจะสารภาพกับอาบิเกลบนเฟซบุ๊กเองว่าเขาคือคนที่สะกดรอยเธอ เธอก็ไม่คิดหวังพึ่งตำรวจอีกแล้ว “ทุกครั้งที่โทรไป ฉันรู้สึกเหมือนฉันกำลังทำให้พวกเขาเสียเวลา พวกเขาคิดว่าฉันเป็นสาวผมทองวัยใสที่ชอบโพสต์โลเคชันตัวเองเช้าสายบ่ายเย็นเพื่อเรียกร้องความสนใจ” แต่ถึงจะเปิดเผยตัวตนไปแล้ว ฮาร์ดีก็ยังตามรังควานอาบิเกลต่อเนื่องกระทั่งกันยายนปี 2021

ตำรวจปกติไม่ทำ แม้จะมีกฎหมายอยู่แล้วก็ตาม

เหยื่อสาวทั้งหลายผู้ไร้ที่พึ่งพาต้องทนทุกข์เพียงลำพัง เฝ้าดูชีวิตของตนและคนรอบตัวค่อยๆ พังทลาย โดยที่พยายามยื้อไว้เท่าที่สามารถทำเองได้อย่างถึงที่สุดแล้ว โลกของพวกเธอคงมืดแปดด้านต่อไปหากไร้ซึ่งแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในรูปของตำรวจน้ำดีคนหนึ่ง – พลตำรวจเควิน แอนเดอร์สัน (Police Constable/PC Kevin Anderson) เจ้าหน้าที่แอนเดอร์สันสังกัดหน่วยตำรวจท้องที่นอร์ธวิช ภายใต้การกำกับดูแลของกรมตำรวจเทศมนฑลเชชเชอร์ แม้เขาจะไม่ได้มียศใหญ่โตแต่ก็มากด้วยประสบการณ์ แอนเดอร์สันได้รับมอบหมายให้ทำคดีการสะกดรอยตามของฮาร์ดีในเดือนธันวาคม 2019 เมื่อตรวจสอบย้อนหลังข้อมูลในระบบเขาก็ต้องตกใจเพราะพบการบันทึกแจ้งเหตุเกี่ยวกับชายสตอล์กเกอร์วิปริตคนนี้นับร้อยจากเหยื่อทั้งสิ้น 62 คน และไม่ใช่ว่าฮาร์ดีไม่เคยโดนโทษอะไรเลย ก่อนหน้านี้เขาถูกจับกุมแล้วทั้งสิ้นถึง 10 ครั้ง! 2 ใน 10 นั้นคือเคสของซาแมนธา และเอมีที่กล่าวถึงไปแล้วตอนต้น แต่เขาก็ไม่ได้สำนึกหรือเข็ดหลาบ อาจเป็นเพราะเขามั่นใจด้วยว่ากฎหมายไม่สามารถทำอะไรเขาได้มากมายนัก จับแป๊บๆ แล้วก็ปล่อย ซึ่งแอนเดอร์สันกำลังจะพิสูจน์ว่าฮาร์ดีคิดผิด

เดือนกุมภาพันธ์ 2020 แอนเดอร์สันโทรศัพท์หาลีอา มารี แฮมบลี (Lia Marie Hambly) หญิงสาวคนนี้
เป็นหนึ่งในเหยื่อสะกดรอยตามของฮาร์ดีที่โดนรังควานเหมือนเหยื่อคนอื่น ๆ อย่างการได้รับข้อความดูถูก เสี้ยมให้แตกคอกับคนสนิท และมีสายปริศนาโทรเข้าแบบ non-stop แม้กระทั่งกลางคืนดึกดื่น แต่ลีอาแตกต่างจากเหยื่อที่ผ่านๆ มาตรงที่เธอเคยทำงานเป็นผู้ช่วยทนายความ และเธอใช้ความเชี่ยวชาญด้านงานเอกสารเก็บรวบรวมทุกข้อมูลการติดต่อระหว่างฮาร์ดีกับเธอซึ่งมีความยาวถึง 700 หน้ากระดาษ!

“ฮาร์ดีบอกฉันว่า แคปแชทเขาไปก็เท่านั้น แจ้งตำรวจไปก็เท่านั้น และบอกอีกว่าฉันไม่มีวันรู้ว่าเขาเป็น ใครหรือเขารู้เรื่องอะไรบ้าง” ลีอาพูด

ถ้าเอาตามประสบการณ์ส่วนตัว ตำรวจก็เคยทำให้เธอผิดหวังจริงๆ พวกเขาแค่ส่งอีเมลหาเธอว่า “ไม่ต้องห่วง เรากำลังตรวจสอบอยู่” แล้วก็หายต๋อม แต่เมื่อลีอาได้รับสายจากเจ้าหน้าที่แอนเดอร์สัน เธอก็กลับมามีหวังอีกครั้ง เช่นเดียวกับเหยื่อที่เหลืออีก 61 คนที่เขาติดต่อได้เพื่อเก็บหลักฐานและใส่ข้อมูลลงไปในคำฟ้อง แอนเดอร์สันทำงานอย่างหนักให้แน่ใจว่าผู้เสียหายทุกคนจะได้รับความเป็นธรรม

ไม่ถึงเดือนหลังแอนเดอร์สันพูดคุยกับลีอา ฮาร์ดีก็ถูกจับกุมเป็นครั้งที่ 11 เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและ
ได้รับการประกันตัวออกไป กลับมาทำพฤติกรรม stalking เหมือนเดิมทั้งกับเหยื่อเดิมหรือเหยื่อใหม่ เช่น จิล (Jill) หญิงวัย 42 ผู้ถูกตามรังควานจนเกิดอาการหวาดระแวงถึงขั้นต้องหลับขณะที่มือข้างหนึ่งกำมือถือ อีกมือจับไม้เบสบอล สุดท้ายญาติของเธอเอาเบอร์ที่ฮาร์ดีใช้โทรคุกคามไปลงเว็บป้องกันมิจฉาชีพ ซึ่งต่อมามีคนกดค้นหาเบอร์ดังกล่าวมากกว่า 300 ครั้งและทิ้งคอมเมนต์เตือนภัยไว้รวมถึงระบุชื่อเจ้าของเบอร์ด้วยว่าคือนายแมทธิว ฮาร์ดี

แม้ช่วงแรกชายสตอล์กเกอร์จะปฏิเสธข้อหาทั้งหมด แต่เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาลในเดือนตุลาคม 2021 เขากลับยอมรับผิดฐานสะกดรอยตามซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อความรุนแรงและการคุกคาม รวมถึงละเมิดคำสั่งห้ามติดต่อสมัยปี 2013 ของเอมี เบลีย์ ในเดือนมกราคม 2022 ฮาร์ดีถูกตัดสินโทษจำคุกเก้าปี ถือเป็นโทษที่ระยะเวลานานที่สุดสำหรับความผิดฐานสะกดรอยตามในสหราชอาณาจักรอันมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 17 เดือนหรือราวๆ ปีครึ่งเท่านั้น เหยื่อบางคนของฮาร์ดียังประหลาดใจเลยเพราะคิดว่าเขาจะถูกขังแค่ไม่กี่เดือน ศาลก็คงคิดเหมือนกันถึงลดโทษให้หนึ่งปี ในเวลาต่อมาหลังพิจารณาเหตุผลทางฝั่งทนายความจำเลยที่กล่าวว่า นายฮาร์ดี เป็นออทิสติก มีปัญหาในการเรียนรู้และปัญหาสุขภาพจิต “จำเลยต้องการมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข เขาพยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนในโลกออนไลน์ แต่เมื่อรู้สึกว่าถูกปฏิเสธจึงลงมือก่อเหตุไปเช่นนั้น”

ฟังแล้วอาจรู้สึกอิหยังวะ แต่ก็พอมีมูลอยู่บ้าง ฮาร์ดีน่าจะจัดเป็นสตอล์กเกอร์ประเภทขาดทักษะการเข้าสังคม (incompetent stalker) หรือประเภทต้องการความใกล้ชิด (intimacy-seeking stalker) ซึ่งมักมีอาการทางจิตเวชร่วมด้วย แต่แปลกกว่าเคสส่วนใหญ่ตรงที่เขาลงมือกับเหยื่อหลายคนพร้อม ๆ กันไม่ใช่ตามทีละคน ด้านเมลานีเหยื่อรายแรกๆ ของฮาร์ดี เชื่อว่าการกระทำความผิดของเขาเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเจ้าตัวสมัยเรียน “เขาถูกผู้หญิงเมินตลอด ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยเที่ยวเล่นกับสาวๆ ฉันไม่ใช่จิตแพทย์ แต่สำหรับฉันแล้วมันเหมือนเป็นการพยายามเอาคืนพวกผู้หญิงที่เคยปฏิเสธเขา” เมลานีกล่าว

ถึงการลดโทษเหลือแปดปีจะทำให้ผู้เสียหายไม่พอใจ แต่พวกเธอก็รู้สึกขอบคุณพลตำรวจแอนเดอร์สันจากใจจริงที่อุทิศเวลาตลอด 18 เดือนทำคดีอย่างสุดความสามารถและเอาผิดนายฮาร์ดีจนได้ อย่างน้อยตอนนี้พวกเธอก็โล่งใจได้มากขึ้น หาไม่แล้วคงถูกคุกคามต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น คดีนี้อาจไม่มีใครถูกทำอันตรายจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่สิ่งที่ยังคงตามหลอกหลอนเหยื่อคือความหวาดระแวง อยู่อย่างวิตกกังวลว่าตนถูกจับจ้องทุกฝีก้าว กลัวการรับสายหมายเลขที่ไม่รู้จัก บางคนต้องเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันสูญเสียความไว้วางใจในตัวเพื่อนและครอบครัวหรือกระทั่งคนรัก ซึ่งไม่รู้ต้องเยียวยาอีกนานเท่าไรกว่าทั้งหมดจะกลับมาปกติดังเดิม

แต่นอกจากความโล่งใจ ก็แฝงความโกรธเคืองด้วย เพราะกว่าฮาร์ดีจะถูกนำตัวมาลงโทษจริงจังก็นานมากเป็นทศวรรษ อุปสรรคใหญ่หลวงอยู่ที่ทัศนคติของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ซึ่งไม่เข้าใจและไม่พยายามทำความ
เข้าใจสิ่งที่เหยื่อต้องเผชิญ สหราชอาณาจักรมีพระราชบัญญัติ Communications Act 2003 เพื่อควบคุมการใช้สื่อต่างๆ อันรวมถึงช่องทางออนไลน์อย่างไม่เหมาะสม และ Protection from Harassment Act 1997 ที่มุ่งเน้นคุ้มครองผู้เสียหายจากการกระทำที่เป็นการคุกคาม โดยผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 ปอนด์ หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม การมีกฎหมายทว่าไม่นำมาบังคับใช้ก็ไม่สามารถรักษาสวัสดิภาพของประชาชนได้ ดังสะท้อนในสถิติของประเทศเครือจักรภพอย่างอังกฤษและเวลส์ที่พบว่า มีเพียง 11% ของการแจ้งเหตุสะกดรอยตามที่ตำรวจนำมาดำเนินคดีต่อ และแม้ผู้กระทำผิดจะถูกตั้งข้อหาก็ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะถูกตัดสินโทษ เนื่องจากอัตราการลงโทษสำหรับคดีนี้ต่ำมาก อยู่ที่ 0.1% เท่านั้นเอง ทั้งที่ผลการศึกษาในปี 2017 เกี่ยวกับการฆาตกรรมผู้หญิง (femicide) จำนวน 358 คดีเปิดเผยว่า 94% ของเหยื่อเคยโดนสะกดรอยตามก่อนจะถูกฆ่า

น่าเศร้าที่หลายคนหันไปพึ่งตำรวจแล้วตำรวจไม่เชื่อบ้าง ไม่ดำเนินการคุ้มครองอย่างเหมาะสมบ้าง นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ก็เกิดให้เห็นอยู่เรื่อยๆ เช่น คดีของเกรซี สปิงส์ (Gracie Spinks) หญิงสาววัยเพียง 23 ที่ถูก
อดีตเพื่อนร่วมงานชายแทงเสียชีวิตในปี 2021 โดยไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นเธอเคยไปแจ้งตำรวจแล้วว่าถูกเขาสะกดรอยตาม

การตายของเกรซีทำให้เกิดการเรียกร้องแก้ไขกฎหมายสะกดรอยตามให้ผู้กระทำผิดโดนโทษหนักขึ้นและมีมาตรการปกป้องคุ้มครองเหยื่อที่ดีกว่านี้ มีผู้ร่วมลงนามในคำร้องมากกว่า 100,000 รายชื่อ แจ็คกี บาร์เน็ตต์-วีทครอฟต์ (Jackie Barnett-Wheatcroft) ผู้เป็นคนริเริ่มคำร้องดังกล่าวต้องการให้ทางตำรวจจัดสรร
งบประมาณแยกออกมาต่างหากเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ stalking โดยเฉพาะ นอกจากนี้ เธออยากให้
ตำรวจเรียกทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่าสะกดรอยตามเข้ามาสอบสวนและเตือนให้พวกเขาห้ามเข้าใกล้เหยื่ออีก
ไม่เช่นนั้นต้องโดนติดกำไล EM ทางด้านรัฐบาลออกมายืนยันว่าได้เพิ่มงบประมาณสำหรับสนับสนุนเหยื่อการสะกดรอยแล้ว อีกทั้งมุ่งมั่นที่จะผสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเหมาะสมต่อไป

คดีของมินตัน เน็ตไอดอลสาวไทย ประเทศที่ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง

กลับกันกับสหราชอาณาจักรคือ ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการสะกดรอยตามโดยตรง ซึ่งกรณีที่เป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้สะท้อนช่องโหว่กฎหมายและชะตากรรมอันน่าเศร้าของเหยื่อได้เป็นอย่างดี เรื่องราวของ “มินตัน” หรือแพร-มินตรา เชื้อวังคา เน็ตไอดอลสาวผู้ติดตามหลักล้านซึ่งถูกสตอล์กเกอร์คุกคามมานานกว่า 2 ปี

สตอล์กเกอร์รายนี้ทำอาชีพรปภ. เริ่มคุกคามมินตันผ่านช่องทางออนไลน์โดยการส่งข้อความคุกคามทางเพศ ภาพโป๊ เปลือย ข้อความข่มขู่ต่างๆ ลุกลามไปถึงการสร้างเฟซบุ๊กปลอมเป็นหน้าของเธอ ทึกทักเอาเองว่าเขากับมินตันเคยมีอะไรด้วยกัน ทำทะเบียนสมรสปลอม ขู่ให้เธอยอมเป็นแฟนไม่งั้นจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวตามทะเบียนราษฎร์และบัตรเครดิต (ซึ่งเขาอ้างว่าได้มาจากตำรวจที่รู้จัก แต่ไม่ทราบว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร) อีกทั้งจะตามไปดักรอน้องสาวของเธอที่โรงเรียน

มินตันกับทีมงานพยายามบล็อกชายจิตวิปลาสคนนี้แล้วทว่ามันก็สมัครบัญชีมารังควานใหม่ นอกจากนี้ เจ้าตัวยังติดตามมินตันไปงานอีเวนต์หลายๆ แห่งแล้วถ่ายรูปทำท่ามินิฮาร์ทติดมาด้วยเพื่อแสดงว่าเข้าถึงตัวเธอได้อย่างง่ายดาย แต่ที่หนักกว่านั้นคือเขารู้ว่าเธอนั่งรถอะไรมางานแม้จะไม่มีการเปิดทะเบียนให้คนทั่วไปทราบ แถมยังจอดปะปนกับลูกค้าของห้างอีกต่างหาก เขาแอบไปที่รถคันดังกล่าว เขียนข้อความคุกคามทางเพศลงบนกระดาษหนีบไว้กับที่ปัดน้ำฝน รวมถึงโพสต์ภาพเครื่องติดตามสัญญาณ GPS อ้างว่าเอาไปติดที่รถแล้วและเขาได้จูบรถของมินตันด้วย ที่น่ากลัวคือชายรายนี้มักโพสต์ภาพถืออาวุธปืน ชอบอ้างตัวเองเป็นเด็กตำรวจ ถ้าเกิดถูกแจ้งอะไรเขายัดเงินให้ก็รอดแล้ว

หลังจากอดทนมานาน ในที่สุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 มินตันจึงจ้างทนายความ และรวบรวมหลักฐานเนื่องจากต้องการดำาเนินคดี แต่ขณะนั้นเธอกลับถูกสังคมตั้งคำาถามว่าทำาไมถึงเพิ่งออกมาตอนนี้ นี่เป็นอีกครั้งที่เหยื่อเป็นฝ่ายถูกกล่าวโทษแทนผู้ลงมือกระทำผิด เหยื่อเป็นฝ่ายถูกมองข้ามความรู้สึก ถูกกดดันให้ต้องรีบพูดทันทีที่เกิดเรื่อง ทั้งๆ ที่แต่ละคนต้องการเวลาเตรียมใจไม่เท่ากัน หรือมีเหตุผลอื่นที่ทำให้ไม่อยากออกมาพูด

ด้านมินตันสุดท้ายต้องเปิดเผยกับสังคมว่า เธอเคยถูกสะกดรอยตามมาก่อนหน้านี้แล้วโดยชายอีกคนหนึ่งซึ่งทำพฤติกรรมคุกคามทำนองเดียวกับนายรปภ. แต่เมื่อเธอโทรหาตำรวจกลับถูกบอกว่า “เขายังไม่ก่อเหตุ” จึงยังไม่สามารถจับได้ ลงได้แค่บันทึกประจำวัน เป็นเหตุให้เมื่อเธอเจอประสบการณ์คล้ายๆ เดิมเลยไม่อยากแจ้งความแล้ว

อย่างไรก็ตาม เพราะอยากลองหวังกับกระบวนการยุติธรรมไทยอีกสักครั้งมินตันถึงบากหน้าไปหาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในประเทศไทยอีกหน แต่กรณีคุกคามที่เธอถูกกระทำถือเป็นเพียงความผิดลหุโทษหรือโทษสถานเบา ชายรปภ.จึงถูกปรับเป็นเงินแค่ 500 บาทด้วยความที่ “ยังไม่ได้ทำอะไร” ส่วนที่เขาเคยถูกจับไปหนหนึ่งนั่นคือคดีครอบครองสื่อลามกเด็ก ไม่เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศเธอ แถมแค่รอลงอาญา ไม่โดนนอนตะรางด้วย

เขาหายไปได้แค่ไม่นานก็กลับมาก่อเหตุอีก โดยจะไม่แสดงพฤติกรรมที่รุนแรงอย่างโจ่งแจ้งแต่จะคอยตามคุกคามรังควานเหมือนสื่อว่าหากเขาจะเข้าถึงตัวมินตันก็ทำได้ทุกเมื่อ และจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิกราเนื่องจากเจ้าตัวยังไม่ทำความผิดทางอาญาฐานใดเป็นการเฉพาะสร้างความทุกข์และอัดอั้นแก่ผู้ถูกกระทำอย่างมาก

“คือต้องให้เขาข่มขืนเราก่อน แล้วถึงจะให้ความผิดกับอาชญากรได้เหรอ การที่เขาจ้องจะปล้ำ จะข่มขืนเรามาเป็นปี ๆ มีหลักฐานขนาดนี้ มาดักรอขนาดนี้ยังเอาผิดเขาไม่ได้อีกเหรอคะ”

“กฏหมายบ้านเรามันเป็นแบบนี้ กฏหมายมีไว้รอให้เหยื่อถูกกระทำรุนแรงก่อน กฏหมายไม่ใช่มีไว้
ป้องกันเหยื่อไม่ให้เกิดเหตุ เรามีหลักฐานเยอะขนาดนี้ มันยังไม่พอเลยค่ะ” มินตันโพสต์ตัดพ้อลงในเพจ ก่อนทิ้งท้ายให้ทุกคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันดูแลตัวเองดี ๆ เพราะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

มินตันไม่ใช่ “เหยื่อ” การคุกคามคนแรกและคนสุดท้าย ใครที่ติดตามข่าวสารอยู่เสมอมักจะเห็นข่าว
ผู้หญิงถูกแฟนเก่าตามไปทำร้ายร่างกายหรือตามไปฆ่าแทบทุกวัน โดยที่พวกเธอเหล่านั้นอาจเคยไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจแล้วแต่ไม่สามารถทำอะไรได้จนมันสายเกินไป ประเด็นนี้จะโทษแต่เจ้าหน้าที่เฉยๆ ก็ไม่ได้เพราะกฎหมายไม่มีรองรับการกระทำผิดลักษณะนี้เป็นการเฉพาะด้วย คำถามคือ ทำไมเราต้องรอให้เหยื่อถูกทำร้ายก่อนผู้ก่อเหตุถึงค่อยได้รับโทษ? คนถูกคุกคามไม่มีใครอยากโดนทำอะไรอยู่แล้ว ยิ่งหวาดกลัวด้วยซ้ำว่าจะสักวันมันจะลุกลามไปถึงขั้นถูกข่มขืน หรือแม้แต่ฆาตกรรม พวกเขาจึงพยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำไหว แต่มันปกติเหรอที่เหยื่อต้องมาระแวดระวังกันเอง? ในขณะที่ผู้กระทำยังลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ โดยที่อย่างมากก็โดนค่าปรับไม่กี่บาทแล้วก็กลับมาทำแบบเดิมอีก

รัฐมีหน้าที่คุ้มครองและมอบความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ถ้าประชาชนพึ่งพารัฐไม่ได้ ตั้งศาลเตี้ยขึ้นมา
ไปจัดการกับผู้กระทำผิดเอง ผลคือประชาชนก็ผิดอยู่ดี โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ดังนั้น สมควรแก่เวลาแล้วหรือยังที่
ประเทศไทยจะมีบทบัญญัติกฎหมายสำหรับคุ้มครองเหยื่อถูกสะกดรอยตามเสียที? เพื่อสวัสดิภาพและความ
ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทยทุกคน

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

วิดีโอแนะนำ