ฟาโรห์ เตชภณ ยูทูบเบอร์ชื่อดังเจ้าของช่อง The Common Thread นำเสนอไอเดียว่า ประเทศไทยความมีกฎหมายป้องกันการสะกดรอยตาม หรือ Anti Stalking Law ในรายการนโยบาย by ประชาชน สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อคุ้มครองทุกคนจากการติดตามคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต จากสถานการณ์ “ช่องโหว่” ที่ทุกวันนี้ยังเอาผิดผู้กระทำความผิดได้ยาก
ฟาโรห์ศึกษา และค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับตัวอย่างกฎหมาย และตัวอย่างคดีในประเทศอื่นๆ พร้อมกับอินโฟกราฟฟิก สำหรับการนำเสนอในรายการไว้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจปัญหาการล่วงละเมิดผู้อื่นรูปแบบใหม่ในสังคมที่กำลังมาพร้อมกับในยุคที่มีเครื่องมือเพิ่มขึ้นเป็นการสื่อสารผ่านทางโลกออนไลน์
และนี่คือเนื้อหาที่เขานำเสนอ

การสะกดรอยตาม (Stalking) เป็นรูปแบบของพฤติกรรมที่สามารถลุกลามไปสู่การล่วงละเมิดในรูปแบบอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นจากพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างการโทรศัพท์ การส่งจดหมาย หรือการส่งข้อความซ้ํา ๆ การเฝ้าติดตามหรือบังเอิญปรากฏตัวในทุกสถานที่ที่เหยื่อไป ฯลฯ ผลที่ตามมาในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคืออาจนำไปสู่การฆาตกรรมหรือการทำอัตวินิบาตกรรมโดยตัวเหยื่อเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานที่ ทุกความสัมพันธ์ หรือแม้แต่คนที่ไม่รู้จักกัน อีกทั้งยังมีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้นในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า
จากข้อมูลสถิติคดีการสะกดรอยตามในสหรัฐฯ ที่รวบรวมโดยหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมมาตรการป้องกันการก่ออาชญากรรมในรูปแบบของการสะกดรอยตามระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้ตกเป็นเหยื่อการสะกดรอยตามราว 13.5 ล้านคน หรือประมาณ 4% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งมีอยู่ราว 345 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีผู้หญิงประมาณ 1 ใน 3 และผู้ชายประมาณ 1 ใน 6 เคยมีประสบการณ์ถูกสะกดรอยตามในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ผู้กระทำส่วนใหญ่ 87% เป็นผู้ชาย ขณะที่เหยื่อส่วนใหญ่ 78% เป็นผู้หญิง ข้อมูลสถิติเหล่านี้ถือเป็นเครื่องมือที่จะช่วยสะท้อนภาพความเป็นจริงของปัญหาการสะกดรอยตามได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถนำมาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

โดยจะเห็นได้ว่าแม้แต่ในประเทศที่มีระบบการบังคับใช้กฎหมายเข้มแข็งอย่างสหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถยับยั้งปัญหานี้ได้อย่างเด็ดขาด และถ้ายิ่งในประเทศที่แทบจะไม่มีกรอบกฎหมายเฉพาะใด ๆ เข้ามารับมือกับปัญหานี้โดยตรง ยิ่งต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เพราะเมื่อไร้การกำหนดทิศทางที่ชัดเจน ปัญหานี้ก็จะถูกปล่อยปะละเลย ซึ่งไทยก็คือหนึ่งในประเทศที่ยังคงขาดความชัดเจนทั้งในแง่การนิยามพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิด รวมถึงกลไกในการคุ้มครองเหยื่อและการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดที่ยังไม่สามารถเรียกคืนความยุติธรรมให้แก่เหยื่อได้มากเพียงพอ
ตัวอย่างเคสคดีที่เราเห็นได้ชัดถึงความสูญเสียจากการละเลยพฤติกรรมการสะกดรอยตามจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมอันน่าสลดอย่างเคสของ แมรี่ กริฟฟิธส์ (Mary Griffiths) คุณแม่ลูกสามที่ถูก จอห์น แมคฟาร์เลน (John McFarlane) ชายวัย 40 ปี สะกดรอยตามและทำการฆาตกรรมตัวแมรี่ในบ้านของเธอเอง จากข้อมูลเหยื่อเคยมีการพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับที่มากพอ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงอันตรายของพฤติกรรมคุกคามซ้ำ ๆ แต่ยังเผยให้เห็นถึงความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่ในการปกป้องเหยื่อ หรือแม้แต่ในกระบวนการยุติธรรม การตัดสินโทษที่ดูจะให้น้ำหนักกับภาวะทางจิตของผู้กระทำ มากกว่าความสูญเสียของเหยื่อและผลกระทบที่ลูก ๆ ของเธอได้รับ

เช่นเดียวกับอีกหนึ่งตัวอย่างเคสคดีที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับผู้หญิงเท่านั้นอย่างเคสของ บ๊อบ คอฟต์รีย์ (Bob Coughtrey) ครูสอนขับรถวัย 53 ปี ที่ถูกนักเรียนของตัวเองสะกดรอยตามและพยายามข่มขู่ตัวของบ๊อบซ้ำ ๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้จนกระทั่งคนร้ายบุกรุกเข้ามาในเขตพื้นที่บ้านของเหยื่อ เหตุการณ์นี้สร้างบาดแผลทางจิตใจของบ๊อบจนเขาต้องเข้ารับการบำบัดทางด้านสุขภาพจิต ผลกระทบจากคดีลักษณะนี้จึงไม่ใช่แค่การสูญเสียทรัพย์สินของมีค่า สภาพร่างกาย หรือชีวิต แต่รวมถึงบาดแผลทางจิตใจของทั้งตัวเหยื่อและผู้ที่ใกล้ชิดเหยื่อด้วย

ด้วยเหตุนี้ การตั้งคำถามถึงการมีอยู่และความชัดเจนของกฎหมายจึงไม่ใช่แค่การอุดช่องโหว่ของกฎหมายเท่านั้น แต่เพื่อปกป้องและคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากความรุนแรงที่เริ่มต้นขึ้นจาก “การสะกดรอยตาม” ดังนั้น การนิยามพฤติกรรม การวางมาตรการคุ้มครองเหยื่อ รวมถึงการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนและเป็นธรรม จึงต้องอาศัยการศึกษากฎหมายจากต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้เป็นแนวทางหรือกรอบให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย โดยเนื้อหาเฉพาะในกฎหมายที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสะกดรอยตาม
ตัวอย่างจากประเทศสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น การให้คำนิยามว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่องซ้ำๆ จนทำให้บุคคลนั้นเกิดความรู้สึกกลัวหรือรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตจริงหรือทางออนไลน์ เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการลงโทษผู้กระทำผิด ส่วนมาตรการคุ้มครองเหยื่อและความรุนแรงของบทลงโทษก็จากแตกต่างกันออกไปตามบริบทของสังคมนั้น ๆ อย่างการออกคำสั่งคุ้มครองตัวหยื่อเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิดเข้าใกล้ตัวเหยื่อหรือก่อเหตุซ้ำได้ หรือการชดใช้ค่าเสียหายแก่เหยื่อในเชิงแพ่ง ไปจนถึงการกำหนดโทษเบา-หนักตามความรุนแรงของคดี
สรุปได้ว่า สิ่งที่เราต้องการจะนำเสนอเกี่ยวกับร่างกฎหมายนี้คือการเพิ่มความชัดเจนในคำนิยามเกี่ยวกับการสะกดรอยตามในประมวลกฎหมาย เพื่อให้ครอบคลุมทั้งพฤติกรรมการสะกดรอยตามที่มีเจตนาและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้เหยื่อรู้สึกไม่ปลอดภัยทั้งในโลกจริงและโลกออนไลน์ รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดการตีความกว้างเกินไปที่อาจสร้างภาระให้เจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย อีกทั้งยังต้องกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถจัดการกับผู้กระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังควรมีมาตรการคุ้มครองและเยียวยาผู้เสียหาย เช่น การออกคำสั่งห้ามเข้าหรือห้ามติดต่อผู้เสียหาย (Restraining Orders) และการติดตามผู้กระทำผิดด้วยระบบ GPS เพื่อลดการก่อเหตุซ้ำ พร้อมทั้งให้สิทธิในการเรียกค่าชดเชยและการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย การสร้างที่พักชั่วคราว และการสนับสนุนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการคุ้มครองและเยียวยาอย่างครบวงจร
