ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ศาลโลก” อาจเป็นอีกหนึ่งหนทางให้ประเทศหนึ่งใช้ยุติข้อพิพาทระหว่างประเทศได้ แต่ศาลโลกอาจไม่มีอำนาจในการตัดสินคดี หากประเทศคู่กรณีไม่เคยประกาศยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกหรือไม่มีส่วนร่วมใดๆ กับกระบวนการนั้นเลย

ศาลโลกถือกำเนิดขึ้นในปี 2488 ช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองพร้อมกันกับสหประชาชาติ (United Nations : UN) ก่อนหน้านั้นหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมหาอำนาจที่ชนะสงครามก่อตั้งสันนิบาตชาติ (League of Nations) รวมถึงศาลสถิตยุติธรรมระหว่างประเทศ (Permanent Court of International Justice) ซึ่งคือศาลระหว่างประเทศยุคแรกๆ แต่ก็ต้องสิ้นสุดลงไปหลังจากที่มีการก่อตั้งสหประชาชาติ
ศาลโลกเป็นหนึ่งในห้าองค์กรหลักแห่งสหประชาชาติ โดยสี่องค์กร ได้แก่ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly : UNGA) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (Economic and Social Council : ECOSOC) และสำนักงานเลขาธิการ ล้วนตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนศาลโลกตั้งอยู่ในพระราชวังสันติภาพ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ประเทศมหาอำนาจห้าประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน ริเริ่มก่อตั้งสหประชาชาติ โดยในวันที่ 26 มิถุนายน 2488 มหาอำนาจหลักทั้งห้ารวมถึงชาติพันธมิตรได้ลงนามและให้สัตยาบันในภายหลังแก่ “กฎบัตรสหประชาชาติ” ซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญของสหประชาชาติที่ก่อตั้งองค์กรหลักทั้งห้ารวมถึงศาลโลกด้วย ประเทศใดที่ให้สัตยาบันแก่กฎบัตรนี้ก็จะยอมรับพันธกรณีที่ประเทศนั้นมีผลผูกพันกับศาลโลก ดังที่มาตรา 93 (1) ระบุไว้ว่า “ประเทศสมาชิกแห่งสหประชาชาติมีพันธกรณีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยปริยาย” อย่างไรก็ดี การให้สัตยาบันต่อกฎบัตร ไม่ถือว่ายอมรับในเขตอำนาจศาลเสมอไป ศาลอาจยังไม่มีอำนาจตัดสินข้อพิพาทนั้น
ศาลโลกตัดสินข้อพิพาทไม่ได้หากประเทศสมาชิกไม่ยอมรับเขตอำนาจ
อำนาจในการตัดสินคดีใดๆ ของศาลโลกขึ้นอยู่กับว่าประเทศคู่กรณียอมรับเขตอำนาจของศาลโลกหรือไม่ แม้จะเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติแล้ว ประเทศต่างๆ ก็จะต้องประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลเสียก่อนถึงจะมีส่วนร่วมในกระบวนการได้ ซึ่งการประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลมีสองรูปแบบคือ การยอมรับอย่างถาวร หรือการยอมรับอย่างชั่วคราวก็ได้ อย่างไรก็ดี การกระทำใดๆ ที่อาจตีความได้ว่าเป็นการมีส่วนร่วมกับกระบวนการศาล เช่น การส่งคำให้การ หรือการส่งทีมทนายเข้าร่วมกระบวนการอาจถูกตีความให้เป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลไปโดยปริยายได้
ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกแบบถาวร แต่ยกเลิกภายหลังได้
สาเหตุที่แม้ประเทศสมาชิกแห่งสหประชาชาติจะมีพันธกรณีต่อศาลโลกไปโดยปริยาย แต่ก็ยังไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลโลกเป็นเพราะในธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ มาตรา 36 (2) วางหลักว่าประเทศสมาชิก “อาจ” ประกาศยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกในทุกกรณีพิพาททางกฎหมาย โดยไม่ต้องมีข้อตกลงพิเศษ เช่น การตีความสนธิสัญญา ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ การมีอยู่ของข้อเท็จจริงใดๆ ที่ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ รวมถึงสภาพและขอบเขตของความเสียหายที่ต้องชดใช้ในกรณีที่ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ ประเทศสมาชิกอาจประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเป็นการถาวร ตามระยะเวลาที่ประเทศนั้นต้องการได้ (มาตรา 36 (3)) แต่ก็สามารถยกเลิกได้ภายหลังเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาได้ประกาศถอนตัวจากการยอมรับเขตอำนาจศาลก่อนที่ศาลจะตัดสินเข้าข้างนิการากัว
ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกแบบชั่วคราวเฉพาะกรณีได้
นอกจากการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกแบบถาวรแล้ว ยังมีวิธียอมรับเขตอำนาจเป็นการชั่วคราวเพื่อให้ศาลวินิจฉัยในกรณีใดๆ เป็นการเฉพาะอีกด้วย ในมาตรา 36 (1) ระบุให้ประเทศสมาชิกสามารถตกลงกันเป็นการพิเศษเพื่อยอมรับให้ศาลมีอำนาจเป็นการเฉพาะได้ เช่น กรณีที่ไทยและกัมพูชาได้สู้คดีกันในศาลโลกสองครั้งเมื่อปี 2505 และปี 2554 ก็เป็นส่วนหนึ่งของการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกแบบชั่วคราวของฝ่ายไทย
แม้ว่าไทยจะไม่เคยประกาศยอมรับแบบชั่วคราวอย่างเป็นทางการ และเคยค้านว่าไม่เคยประกาศยอมรับเขตอำนาจศาล แต่ศาลเห็นว่าการส่งทีมทนาย การยื่นเอกสารคำให้การ เป็นพฤติกรรมโดยนับที่ยอมรับเขตอำนาจศาล ส่วนกัมพูชาได้ประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลตั้งแต่ 19 กันยายน 2500
ศาลโลกจะพิจารณาข้อพิพาทได้ต่อเมื่อประเทศคู่กรณีทั้งสองประกาศยอมรับเขตอำนาจไม่ว่าจะโดยเป็นการชั่วคราวหรือเป็นการถาวร ทั้งนี้ หากประเทศใดที่เป็นคู่กรณีมีส่วนร่วมกับกระบวนการพิจารณาคดีไปแล้ว เช่น การส่งคำให้การ การส่งทีมทนายเข้าร่วมการพิจารณาคดี ศาลอาจยึดหลัก “Forum Prorogatum” ที่ยอมรับว่าการมีส่วนร่วมกับกระบวนการถือเป็นการยอมรับอำนาจศาลไปโดยปริยาย
กัมพูชาเตรียมฟ้องไทยกรณีสี่พื้นที่ แต่ติดปัญหาเขตอำนาจศาล
กรณีที่มีการปะทะกันระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชาในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2568 ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุทัยธานี กัมพูชามีความพยายามจะยื่นคำร้องต่อศาลโลกเพื่อร้องขอให้ศาลโลกวินิจฉัยพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารที่เคยเป็นประเด็นในคดีศาลโลกเมื่อปี 2505 หรือปี 2554 หากพิจารณาตามธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ข้อพิพาทนี้จะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกได้ ต่อเมื่อไทยประกาศอย่างเป็นทางการว่ายอมรับเขตอำนาจของศาลโลก หรือมีพฤติกรรมที่มีส่วนร่วมกับการดำเนินคดีอันเป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลโดยปริยาย
หากย้อนดูข้อพิพาทที่เคยเกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชาในอดีต อย่างกรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศมหาอำนาจที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมทยอยปล่อยประเทศใต้อาณานิคมเป็นเอกราช กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับเอกราชในปี 2496 ซึ่งกัมพูชาได้ประกาศอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร แม้ว่าก่อนหน้านั้นใน “สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.112” จะตกลงให้ยึดพื้นที่สันปันน้ำในการแบ่งเขตแดน แต่ภายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงหลังจากนั้นไทยและฝรั่งเศสก็สู้รบกันเพื่อครองสิทธิเหนือปราสาทเขาพระวิหารอยู่หลายครั้ง ทำให้ชะตากรรมของเขาพระวิหารที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรัก อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีศะเกษไม่เป็นที่แน่ชัด โดยในช่วงที่กัมพูชาได้รับเอกราชเขาพระวิหารอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทยในขณะนั้น กัมพูชาจึงได้ยื่นฟ้องไทยต่อศาลโลกในกรณีนี้ในขณะที่ไทยก็แต่งทนายเข้าสู้คดีเช่นกัน
หลักฐานสำคัญที่กัมพูชาใช้ในคดีนี้คือแผนที่ Annex I หรือแผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำให้รัฐบาลไทยในสมัยรัชกาลที่ห้า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไทยยอมรับและไม่ได้ท้วงติงแผนที่ฉบับนี้แต่อย่างใด แผนที่ฉบับนี้ไม่ได้ยึดสันปันน้ำเป็นหลักในการแบ่งเขตแดน ส่งผลให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารแม้จะอยู่หลังสันปันน้ำแต่ก็อยู่ภายใต้เขตแดนของกัมพูชา ศาลโลกตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ด้วยคะแนนเสียงเก้าต่อสามให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และสั่งให้ไทยถอนทหารออกจากปราสาทเขาพระวิหารด้วย
ต่อมาในช่วงปี 2550 กัมพูชาได้มีความพยายามยื่น UNESCO ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ประเด็นพิพาทจึงตามมาเมื่อแผนที่ที่กัมพูชายื่นประกอบการขึ้นทะเบียนได้รุกล้ำกับอาณาเขตของฝั่งไทยในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกัมพูชาได้ยื่นแผนที่ฉบับเดิมเข้าเป็นหลักฐานแต่คำตัดสินของศาลโลกในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในพื้นที่กรณีนี้เอาไว้ จึงทำให้ฝ่ายไทยคัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่หลังการเจรจาแบบทวิภาวีระหว่างไทย-กัมพูชา ได้ข้อตกลงว่ากัมพูชาจะขึ้นทะเบียนแต่เพียงตัวปราสาทเท่านั้น แต่ความขัดแย้งก็ยังไม่ยุติเมื่อกลุ่มชาตินิยมในไทยจำนวนมากคัดค้านการเจรจานั้น เนื่องจากไม่ต้องการให้กัมพูชาได้สิทธิครอบครองปราสาทเขาพระวิหาร ในท้ายที่สุด UNESCO ก็ประกาศขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
ในช่วงปี 2551-2554 กองกำลังของฝ่ายไทยและกัมพูชามีการปะทะกันในพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร จนในที่สุดฝ่ายกัมพูชาก็ยื่นฟ้องต่อศาลโลกอีกครั้งเพื่อขอให้ศาลตีความคำพิพากษาเดิม โดยขอให้วินิจฉัยว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของฝ่ายกัมพูชาด้วยหรือไม่ และขอให้ศาลมีคำสั่งให้ไทยถอนกองกำลังทหารออกไปจากพื้นที่ ซึ่งเป็นคดีความเดิมที่พิพากษาไปแล้ว
ก่อนที่จะมีคำพิพากษา ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้พื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ปลอดทหาร ห้ามทั้งสองชาติกระทำการทางทหารใดๆ และขอให้ทั้งสองหารือร่วมกันเพื่อระงับข้อพิพาท ต่อมาในปี 2556 ศาลมีคำพิพากษาให้พื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาและไทยต้องถอนกองกำลังทหารออกจากพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้ตัดสินว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ในเขตแดนของฝ่ายใด
ประเด็นข้อพิพาททางดินแดนในปี 2568 กับปี 2554 จึงเป็นคนละกรณีกัน โดยความขัดแย้งในปี 2568 คือข้อพิพาทในดินแดนของสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควายที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ไม่เคยอยู่ในข้อพิพาทที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในศาลโลกมาก่อน หากกัมพูชาจะฟ้องศาลโลก จำเป็นต้องให้ไทยประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลในกรณีนี้ด้วย