กฎหมายไทยบัญญัติการลงโทษทางอาญาไว้ในมาตรา 18 ของประมวลกฎหมายอาญา ประกอบด้วยโทษห้าประการ ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน อันเป็นวิธีการบังคับใช้กฎหมายที่ได้รับแนวคิดและอิทธิพลมาจากทฤษฎีการลงโทษ ซึ่งมุ่งลงโทษผู้กระทำความผิด เพื่อแก้แค้นทดแทน ข่มขู่ปราบปราม ให้เกิดความหลาบจำ และป้องกันสังคมจากผู้ก่ออันตราย โดยเฉพาะการำเอาตัวผู้กระทำความผิดไปขังไว้ในเรือนจำ เพื่อให้พวกเขาถูกกันออกไปจากสังคม
แต่เมื่อสังคมพัฒนาไป มีงานวิจัยและการศึกษาจำนวนมาก บ่งชี้ว่า ในกรณีของการกระทำความผิดประเภทลหุโทษ หรือความผิดเล็กน้อยที่ต้องรับโทษจำคุกในระยะสั้น การบังคับใช้โทษด้วยการจำคุกนั้น ไม่มีประสิทธิภาพที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำอีก ขณะเดียวกันเองกลายเป็นภาระของรัฐที่ต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากเพื่อที่จะควบคุมผู้ต้องหาเหล่านั้นไว้ในเรือนจำ เกิดเป็นปัญหา “นักโทษล้นคุก” เกิดเป็นทฤษฎีแนวใหม่ที่เรียกว่า “ทฤษฎีแก้ไขฟื้นฟู” (Reformation and Rehabilitation) ที่เชื่อว่าผู้กระทำความผิดไม่ใช่คนชั่วช้า หากแต่เป็นคนโชคร้ายที่ต้องป่วยเป็นโรคทางสังคม รัฐจึงจำเป็นต้องจัดหามาตรการเพื่อแก้ไขบำบัดและฟื้นฟูผู้กระทำความผิดให้สามารถกลับตัวเป็นคนดี คืนตัวเองเข้าสู่สังคม และไม่กระทำความผิดซ้ำอีก
จึงนำไปสู่การคิดค้นมาตรการทางเลือกเพื่อใช้ทดแทนการลงโทษทางอาญา ซึ่งเป็นวิธีที่เบากว่า เหมาะสมกับฐานความผิดมากกว่า และไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ โดยเชื่อว่าจะเปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดตระหนักถึงความเลวร้ายของการกระทำของตน ผ่านการรับใช้และสร้างคุณค่าของตนต่อสังคม พร้อมกับบำบัดแก้ไขและปรับปรุงนิสัยของตนเอง เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายหรือภัยคุกคามแก่คนอื่นอีก
“การบริการสังคม” เป็นหนึ่งในวิธีเหล่านั้น
การทำงาน “บริการสังคม” หรือ “สาธารณประโยชน์” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “บำเพ็ญประโยชน์” เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยจากการเป็น “มาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดในชุมชนภายใต้เงื่อนไขคุมประพฤติ” โดยที่ศาลหรือพนักงานคุมประพฤติจะกำหนดให้ผู้ถูกคุมความประพฤติทำงานหรือทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน หรือองค์กรสาธารณกุศล โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือค่าจ้าง โดยบัญญัติเป็นกฎหมายครั้งแรกไว้ใน พ.ร.บ.ดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2522 และพัฒนาเรื่อยมาเพื่อใช้เป็นมาตรการทางเลือกแทนการลงโทษ ทั้งในกรณีของผู้ต้องโทษปรับที่ยังไม่มีเงินชำระค่าปรับ ผู้ติดยาเสพติดและเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพ และผู้ต้องโทษสถานเบาที่ศาลเห็นว่าการลงโทษอาจจะไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร

ในปัจจุบัน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริการสังคมจะมีอยู่ทั้งหมด 5 ฉบับ ได้แก่
มาตรา 56 ให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งทำงานบริการสังคม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 เป็นหัวใจสำคัญของ “มาตรการทางเลือกเพื่อทดแทนการลงโทษ” ในระบบกฎหมายไทย ซึ่งแก้ไขล่าสุดในปี 2559 โดยเปิดช่องให้ศาลในแต่ละคดีสามารถใช้ดุลยพินิจกำหนดบทลงโทษให้เหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดและพฤติการณ์ของจำเลย หากศาลเห็นว่าผู้ใดกระทำความผิดที่มีโทษจำคุก แต่เห็นสมควรให้ “รอการลงโทษ” เอาไว้ก่อน ก็จะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติให้ด้วยก็ได้ ซึ่งมีทางเลือกทั้งการฝึกหัดทำอาชีพ เข้ารับฝึกอบรม ห้ามออกนอกสถานที่อยู่อาศัย การชดใช้ค่าเสียหาย รวมทั้งการ “การบริการสังคม” ซึ่งปรากฎอยู่ใน (1) ของมาตรา 56 วรรคสอง ดังนี้
“เงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจกําหนดข้อเดียวหรือหลายข้อตามควรแก่กรณีได้ ดังต่อไปนี้
(1) ให้ไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานที่ศาลระบุไว้เป็นครั้งคราว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้สอบถาม แนะนํา ช่วยเหลือ หรือตักเตือนตามที่เห็นสมควรในเรื่องความประพฤติและการประกอบอาชีพ หรือจัดให้กระทํากิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์”
ผู้กระทำความผิดคนใดจะได้รับโอกาสให้ใช้มาตรการทางเลือกเพื่อทดแทนการลงโทษได้หรือไม่นั้น ผู้กระทำความผิดจะต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้เสียก่อน คือ ผู้กระทำความผิดนั้นต้องไม่เคยได้รับโทษ “จำคุก” มาก่อน หรือหากเคยได้รับโทษ “จำคุก” มาก่อนแล้ว ก็ต้องเป็นโทษที่เกิดจากความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือเป็นความผิดลหุโทษ หรือมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
หรือในกรณีที่เคยได้รับโทษจำคุกมาแล้ว แต่พ้นโทษมาเกินกว่า 5 ปี และครั้งนี้มากระทำความผิดอีก ความผิดครั้งหลังที่ทำนี้จะต้องเป็นความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือเป็นความผิดลหุโทษ ศาลจึงจะสามารถใช้ดุลยพินิจใช้มาตรการทดแทนการลงโทษได้ ถ้าความผิดครั้งล่าสุดที่ทำไม่เข้าข่ายเงื่อนไขดังกล่าว ศาลก็จำเป็นต้องกำหนดโทษทางอาญาให้แก่ผู้กระทำความผิด
นอกจากนี้ยังเป็นดุลยพินิจของศาลในการพิจารณาว่า บุคคลนั้นสมควรจะได้รับมาตรการทดแทนการลงโทษหรือไม่ หรือควรจะถูกลงโทษไปเลย หรือถ้าสมควรได้รับมาตรการทดแทนลงโษ จะกำหนดให้ใช้มาตราการแบบใดบ้าง มีเงื่อนไขอย่างไร ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ศาลต้องพิจารณาโดยคำนึงถึง
“อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติ ปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้กระทำความผิด หรือสภาพความผิด หรือการรู้จักความผิด และพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปรานี”
พ.ร.บ.คุมประพฤติฯ ให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจเลือกงานให้เหมาะสม
พระราชบัญญัติคุมประพฤติพ.ศ. 2559มาตรา 29 (พ.ร.บ.คุมประพฤติฯ) เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางและการบังคับใช้มาตรการคุมประพฤติตามที่ศาลจะสั่งตามาตรา 56 โดยมีรายละเอียดตั้งแต่นิยามขอบเขตของการคุมประพฤติ การตั้งคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนอำนาจหน้าที่และขอบเขตของการคุมประพฤติ ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริการสังคม จะปรากฎอยู่ในมาตรา 29 ของ พ.ร.บ.ฯ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
(1) ในการคุมประพฤตินั้น พนักงานคุมประพฤติสามารถใช้ดุลยพินิจในการเลือกได้ว่า จะให้ผู้ถูกคุมประพฤตินั้นๆ ทำงานบริการสังคมเป็น “รายบุคคล” หรือ “รายกลุ่ม” ซึ่งตามข้อมูลประชาสัมพันธ์ของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ระบุถึงความแตกต่างของงานบริการสองประเภทนี้ว่าตรงตามถ้อยคำตัวอักษร ประเภท “รายบุคคล” คือทำคนเดียว ส่วน “รายกลุ่ม” ก็ทำหลายคน ร่วมกับผู้คุมประพฤติอื่น
(2) การจัดงานให้ผู้ถูกคุมประพฤติทำเพื่อบริการสังคมนั้น พนักงานคุมประพฤติจะต้องใช้ดุลยพินิจ พิจารณาจากฐานความผิด พฤติกรรม ความร้ายแรงของการกระทำความผิด รวมทั้งต้องคำนึงถึงเพศ อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา สภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ ความรู้ ความสามารถของผู้ถูกคุมประพฤติ ความสะดวก และระยะเวลาเดินทางระหว่างที่พักของผู้ถูกคุมความประพฤติกับสถานที่ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ด้วย
(3) งานบริการสังคมที่จัดให้ผู้ถูกคุมประพฤติทำ จะต้องไม่ขัดกับขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
จะเห็นได้ว่า สำหรับผู้ถูกสั่งให้ทำงานบริการสังคมนั้น จะต้องผ่านด่านการใช้ดุลพินิจของศาลมาก่อน และยังต้องผ่านด่านดุลพินิจของเจ้าพนักงานคุมประพฤติอีกครั้งหนึ่งว่า จะได้รับมอบหมายให้ต้องทำงานบริการสังคมแบบไหนบ้างนั้น
ในทางปฏิบัติ ศาลก็มักจะกำหนดคำสั่งออกมาเป็นคำกว้างๆ อย่าง “ให้ทำงานบริการสังคม เป็นระยะเวลา … ชั่วโมง” ส่วนรายละเอียดต่อมาแต่ละคนจะต้องทำอะไรบ้าง ที่ไหน อย่างไร งานประเภทไหน เป็นงานที่หนักเบาหรือยากง่ายเพียงใด เป็นรายละเอียดที่ต้องไปเข้าระบบการคุมประพฤติและรอฟังคำสั่งของเจ้าพนักงานต่อไปอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะมีรายละเอียดตามที่ระเบียบกรมคุมประพฤติกำกับไว้ด้วย
ระเบียบกรมคุมประพฤติ ให้ทำวันละ 6 ชั่วโมง
ระเบียบกรมคุมประพฤติว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์พ.ศ. 2560 หรือ ระเบียบบริการสังคมฯ สรุปสาระสำคัญได้ 10 ข้อ ดังนี้
(1) การกำหนดคำนิยามของ “การทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์” โดยขยายความหมายเพิ่มเติมไปจากบทบัญญัติในกฎหมายแม่ว่า “งานหรือกิจกรรมที่กำหนดให้ผู้ถูกคุมความปรคะพฤติทำให้แก่สังคม ชุมชน หรือองค์กรสาธารณกุศล โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือค่าจ้าง และงานหรือกิจกรรมดังกล่าวต้องไม่แสวงหาผลกำไรให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง”
(2) กำหนดนิยามของ “หน่วยงานภาคี” หมายความว่า หน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชุมชน เอกชน หรือองค์กรอื่น ที่มีข้อตกลงร่วมกันกับสำนักงานคุมประพฤติให้เป็นหน่วยงานที่จัดให้ผู้ถูกควบคุมความประพฤติทำงานสังคมหรือสาธารณประโยชน์
ข้อกำหนดนี้ทำให้ผู้ถูกคุมความประพฤติไม่สามารถที่จะไปบริการสังคม “ที่ไหนก็ได้” ตามที่เลือกมาเอง หากจะต้องเป็นสถานที่หรือหน่วยงานที่ได้มีการทำข้อตกลงกับกรมคุมประพฤติก่อน และงานที่แต่ละหน่วยงานให้ไปทำจะต้องไม่แสวงหาผลกำไรด้วย
(3) กำหนดคำนิยาม “ผู้ควบคุมดูแลการทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์” หมายความว่า พนักงานคุมประพฤติ ผู้แทนของหน่วยงานภาคี หรือบุคคลที่สำนักงานคุมประพฤติมอบหมายให้ทำหน้าที่กำกับดูแลการทำงานบริการสังคม หรือสาธารณประโยชน์ของผู้ถูกคุมประพฤติ
คำนิยามนี้ มีประเด็นต้องปัญหาคือ การกำหนดให้ผู้ควบคุมดูแลการทำงานบริการสังคมนั้นเป็น “ใครก็ได้” ที่ได้รับมอบหมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ และไม่จำเป็นที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต้องอยู่ร่วมกันด้วยทั้งหมด ในบางงานผู้ควบคุมก็อาจเป็นพนักงานคุมประพฤติ หรือบางงาน ผู้ควบคุมก็อาจเป็นผู้แทนหน่วยงานภาคี ซึ่งในสองรายหลัง หรือในบางงานอาจมอบหมายให้คนภายนอกมาช่วยดูแลการทำงานบริการสังคมให้ก็ได้
(4) กำหนดเงื่อนไขรายละเอียดให้งานบริการสังคมจะต้องเป็น งานที่ไม่เสี่ยงภัย ไม่ทำให้ผู้ถูกคุมประพฤติที่มีรายได้จากงานประจำสูญเสียรายได้ (ถ้าเป็นคนทำงานประจำ ก็ต้องกำหนดให้ทำงานบริการสังคมเฉพาะวันหยุดเท่านั้น) และในกรณีที่เป็นงานทักษะเฉพาะทาง ผู้ถูกคุมประพฤติต้องได้รับการอบรมความรู้หรือฝึกปฏิบัติงานก่อน
(5) งานบริการสังคมทั่วไป ควรให้ทำงานวันละไม่เกิน 6 ชั่วโมง (แต่ก็อาจเกินได้เพราะกฎหมายใช้คำว่า “ควร” ไม่ได้เป็นเงื่อนไขเคร่งครัด) และการนับเวลาชั่วโมงการทำงานให้เป็นไปตามระยะเวลาที่ทำงานจริง
(6) เมื่อทำงานแต่ละครั้งเสร็จ ผู้ถูกคุมประพฤติต้องให้ “ผู้ควบคุมดูแล” ตามข้อ (3) เป็นผู้บันทึกผลงานและลงลายมือชื่อยืนยันการเก็บชั่วโมงบริการสังคม
(7) กฎหมายกำหนดเงื่อนไขในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ว่า ผู้กระทำความผิดคนใดจะบริการสังคมได้ ผู้กระทำความผิดนั้นต้องถูกคุมความประพฤติด้วย และเมื่อถูกคุมความประพฤติ คนเหล่านั้นก็จะถูกสืบเสาะพินิจ คือ การสืบแสวงหาข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคนนั้นเพื่อใช้ในการประเมิน จัดทำรายงานและความเห็นเสนอประกอบการพิจารณาในเรื่องต่างๆ
ดังนั้น เมื่อพนักงานคุมประพฤติได้สืบเสาะและจัดทำข้อมูลแผนการบริการสังคมตามปัจจัยที่กฎหมายกำหนดให้ต้องพิจารณาแล้ว ระเบียบฯ นี้ก็กำหนดให้พนักงานคุมประพฤติจะต้องแจ้งเงื่อนไข ขั้นตอน และรายละเอียดต่างๆ ในการบริการสังคมให้แก่ผู้ถูกคุมประพฤติทราบด้วย ก่อนจะดำเนินการให้เขาไปทำงานบริการสังคมจริง
(8) ถ้าผู้ถูกคุมประพฤติเป็นเด็กหรือเยาวชน ให้บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลหรือองค์การที่เด็กหรือเยาวชนพักอาศัยอยู่ด้วย หรือบุคคลที่เด็กหรือเยาวชนร้องขอ เข้าร่วมรับทราบเงื่อนไขการบริการสังคมด้วย
(9) ในกรณีที่ผู้ถูกความประพฤติไม่มาทำงานบริการสังคมตามแผนที่กำหนด ให้พนักงานคุมประพฤติตรวจสอบเหตุการณ์เท่าที่จะทำได้ก่อน ถ้าสามารถติดตามได้ ให้ติดตามผู้ถูกความประพฤติมาทำงานตามแผนเดิมหรือแผนที่กำหนดขึ้นใหม่ได้
แต่หากตามไม่ได้ หรือผู้ถูกคุมประพฤติจงใจไม่ไปทำงานบริการสังคม ให้พนักงานคุมประพฤติรายงานพฤติการณ์นั้นต่อศาลหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจโดยเร็ว
(10) กำหนดให้สำนักงานคุมประพฤติในแต่ละแห่ง ต้องสรรหาคัดเลือกหน่วยงานภาคี ให้ครอบคลุมพื้นที่ความรับผิดชอบ ทั้งต้องหลากหลายเพื่อรองรับความแตกต่างของผู้ถูกคุมประพฤติ รวมทั้งให้สำนักงานคุมประพฤติชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ แนวทาง และขั้นตอนการทำบริการงานสังคมแก่หน่วยงานภาคีตามแนวทางที่กรมคุมประพฤติกำหนด
มาตรา 30/1 ขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับได้ 2 ชั่วโมง 500 บาท
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 30/1 ซึ่งเพิ่งแก้ไขในปี 2559 เปิดช่องให้จำเลยที่ศาลพิพากษาให้มีความผิดและต้องถูกลงโทษ “ปรับ” เป็นเงิน แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ จากเดิมที่ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับในอัตรา 500 บาทต่อวัน ให้สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอไปบริการงานสังคมแทนได้ หรือศาลอาจจะสั่งเองโดยใช้ดุลยพินิจก็ได้ โดยการกำหนดชั่วโมงการทำงานตามมาตรานี้จะแตกต่างไปจากมาตรา 56 โดยวรรคท้ายของมาตรา 30/1 ให้ประธานศาลฎีกาเป็นผู้มีอำนาจกำหนดอัตราการเปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงการทำงานบริการสังคมกับค่าปรับที่ต้องจ่าย
จึงมีการตราระเบียบราชการฝ่ายศาลยุติธรรมว่าด้วยการกำหนดชั่วโมงที่ถือว่าเป็นการทำงานหนึ่งวันและแนวปฏิบัติในการให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับและการเปลี่ยนสถานที่กักขัง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2565 โดยอำนาจของประธานศาลฎีกาตามมาตรา 30/1 วรรคหก และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 5
โดยกำหนดให้ทำงานเพียง 2 ชั่วโมง ก็ถือว่านับเป็น 1 วัน และมีมูลค่าเท่ากับค่าปรับ 500 บาท รวมถึงเปิดกว้างให้การทำงานบริการสังคมรวมถึง “การอบรมวิชาชีพ” ด้วย เช่น ไปอบรมทำเทียนหอม อบรมช่างตัดผม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาเจ้าของคดีสามารถกำหนดให้ชั่วโมงการทำงานน้อยกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อทดแทนกับค่าปรับ 500 บาทก็ได้ หากเป็นกรณีดังต่อไปนี้
(1) งานเสี่ยงภัยหรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้ต้องโทษปรับ
(2) การทำงานหรือจำนวนชั่วโมงที่จะต้องทำงานจะก่อให้เกิดภาระเกินสมควรแก่การดำรงชีพของผู้ต้องโทษปรับ
การบริการสังคมแทนค่าปรับนี้ ผู้ต้องโทษจะต้องกระทำให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี นับแต่วันเริ่มทำงานตามที่ศาลกำหนด และเมื่อศาลมีคำสั่งให้ทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับแล้ว หากจำเลยไม่มาทำงานบริการสังคม หรือหนีหายไป ศาลสามารถแก้ไขคำสั่งให้นำตัวมารับโทษปรับ หรือกักขังแทนค่าปรับก็ได้
พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 145
มาตรานี้กำหนดห้ามไม่ให้ศาลจำคุกผู้กระทำความผิดที่เป็นเยาวชนแทนค่าปรับ ในกรณีที่เยาวชนนั้นต้องโทษค่าปรับแต่ไม่มีเงินจ่าย กฎหมายกำหนดให้ศาลส่งตัวเยาวชนไปควบคุมเพื่อฝึกอบรม หรือจะให้ไปบริการสังคมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30/1 ก็ได้ โดยให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยอนุโลม
พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 มาตรา 23 (4)
มาตรานี้กำหนดให้อำนาจอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายดังกล่าว สามารถเลือกใช้ “การบริการสังคม” เป็นวิธีการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดร่วมกับวิธีการแก้ไขฟื้นฟูอื่นๆ ได้ แต่ทั้งนี้ไม่มีการระบุรายละเอียดของการนับจำนวนชั่วโมงหรือเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งในทางปฏิบัติ อาจเป็นการตกลงและกำหนดกันระหว่างทั้งสองหน่วยงาน เนื่องจากอนุกรรมการฟื้นฟูฯ นั้นมีอำนาจเต็มในการกำหนดแผนการฟื้นฟูสมรรภาพของผู้ติดยาเสพติดแต่ละคนอยู่แล้ว

ปากคำผู้เข้ากระบวนการ งานหลักคือทำความสะอาดวัด
อาเล็ก: ผู้คุมประพฤติทัศนคติเดียวกับผู้คุมเรือนจำ
โชคดี ร่มพฤกษ์ หรืออาเล็ก ผู้ต้องหาตามคดีมาตรา 112 ซึ่งศาลพิพากษาให้มีความผิด ลงโทษจำคุก 4 ปีและให้รอลงอาญา เล่าถึงวันแรกของการทำงานบริการสังคมตามคำสั่งศาล ซึ่งอาเล็กทำงานบริการสังคมหรือบำเพ็ญประโยชน์ครบชั่วโมงไปทั้งหมดแล้ว
“ก็ตอนแรกไปพบกรมคุมประพฤติ เราก็รับหนังสือมาสองเล่ม สองคดี หนังสือระบุวันกำหนดรอลงอาญา และต้องรายงานตัวคุมประพฤติกี่ครั้ง เราก็ไปตามนัด รวมสองเล่มต้องให้ทำสาธารณประโยชน์ 48 ชั่วโมง เล่มละ 24 ชั่วโมง”
“เล่มจะเป็นหนังสือขนาดเท่าประมาณฝ่ามือ ในหนังสือก็จะมีรายละเอียดสถานที่นัด วัน ค่อนข้างละเอียด เขาก็กำหนดว่า ให้ทำประโยชน์วันละ 6 ชั่วโมง แต่เขาจะนับแปดโมงถึงเที่ยง และบ่ายโมงถึงสาม ห้ามนับช่วงเที่ยง หรือห้าโมงเย็นหกโมงเย็น อันนี้ไม่ได้ ห้ามใช้เวลาอื่น และวันหนึ่งก็ห้ามเกินหกชั่วโมงนี้ ผมก็เลยได้มาแปดวัน”
เมื่อถามถึงข้อกำหนดว่าเลือกงานได้ไหม มีงานอะไรที่ต้องทำบ้าง อาเล็กบอกว่าเป็นอิสระของแต่ละคนที่จะเลือกทำงานตามที่ตัวเองต้องการ
“เขาก็บอกว่าให้เราเลือกทำได้เลย เรามีสิทธิ์เลือกได้ว่าอยากทำงานประเภทไหน อย่างผม สายตาไม่ค่อยดี ผมขอทำสาธารณประโยชน์ที่วัดก็ได้ กวาดลานวัด ถูพระ หรืออย่างอื่นที่ให้เลือกก็บริจาคเลือด ถ้าที่เขากำหนดก็มีแค่ถ้าไปวัดนี้ต้องให้เจ้าอาวาสเป็นคนลงลายเซ็นพร้อมประทับตราวัดรับรองเท่านั้นนะ ห้ามให้คนอื่นรับรอง เจ้าอาวาสเท่านั้น”
“กรณีของผม เจ้าอาวาสก็คงเจอเคสที่ฮั๊วกันแล้ว เคยโดนต่อว่า เจ้าอาวาสก็ไม่กล้าให้ผมอู้ในเวลาทำงาน จะทำมากทำน้อยก็ให้ทำเต็มเวลา เจ้าอาวาสก็เล่าว่า เขาเคยโดนตำหนิมาแล้วว่า มาแล้วนั่งเฉยๆ แล้วเช็กชื่อกลับบ้าน เขาก็เสียชื่อ เขาก็บอกให้รักษาวินัย แต่ละวัดที่มีการทำประโยชน์ เขาก็จะมีการประสานงานกับกรมคุมประพฤติ”
“เขาก็จะมีตารางมาว่ามีวันไหนบ้าง แต่ละวัน มีอะไรให้ทำที่ไหนบ้าง เราก็สามารถเลือกได้ ตกลงร่วมกันกับเขา แล้วเขาก็จะสรุปเป็นหนังสือตารางให้กับเรา เราต้องเลือกทำทีละชุด ทีละคดี ห้ามคร่อม ห้ามปนไปปนมา ต้องทำคดีใดคดีหนึ่งให้เสร็จก่อน”
เมื่อถามว่ามีเจ้าหน้าที่คุมประพฤติมาคอยตรวจสอบไหมว่าอาเล็กทำจริง อาเล็กอธิบายว่าไม่มี มีเพียงแต่เขาที่ไปทำงานกับเจ้าอาวาส ตอนไปทำงานเองก็มีโอกาสได้เจอผู้ต้องหาคนอื่น ต่างคนต่างมา ไม่มีใครคุม บางคนก็ถูกข้อหา “เมาแล้วขับ” หรือข้อหาอื่น
“คนคุมประพฤติทำหน้าที่คล้ายผู้คุมเรือนจำ เขาคิดว่าผู้ต้องหาที่ไปทุกคนมีปมด้อย มีจุดบกพร่อง มีตำหนิของชีวิต เมื่อคุมประพฤติ เขาก็มีนโยบายว่าไม่ต้องสุภาพกับคนพวกนี้ เพราะคนพวกนี้มาเพื่อจะให้เราโขกสับ แต่เราไม่ถือสา เราไม่มีตัวตน เราไม่ถือสา ถ้าถือสา ก็ด่าแม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงกับเขา”
“ผมว่าเป็นประโยชน์ แต่น้อยมาก ความจริงแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก มันไม่ได้เกิดมรรคผลอะไร มันแค่ดัดนิสัยต้องการให้เข็ดหลาบ แต่ผลประโยน์ที่เกิดขึ้นกับสาธารณะนั้นน้อยมาก บางอย่างก็เอาผ้าชุบน้ำมาหนึ่งผืน มาถูพระ หนึ่งชั่วโมงไม่ไปไหน คุยกันชงเช้ง หนึ่งชั่วโมงครบ ก็เซ็นชื่อกลับบ้าน ผู้ต้องหาบางคนก็ขี้เกียจ เมาค้างมาเลย กลิ่นเหล้าหึ่งเลย มีหลายรูปแบบ เหมือนทำงานให้ครบๆ แล้วก็จบไป มีอบรมครั้งหนึ่งจริงอยู่ แต่ก็เป็นแค่การขู่ห้ามปรามว่าอย่าทำอีก ถ้าทำอีกจับเข้าคุกได้โดยไม่ต้องผ่านศาลเลยนะ”
วรัณยา: ขอให้คะแนนเต็ม งานบริการสังคม-คุมประพฤติ
วรัณยาแซ่ง้ออีกหนึ่งผู้ต้องหาในคดีตามมาตรา 112 คดีเดียวกับอาเล็ก เธอเองก็ถูกกำหนดเงื่อนไขให้ต้องบริการสังคมไม่ต่างกับอาเล็ก แต่ถึงแม้จะถูกตัดสินใจคดีเดียวกัน โดยต้องบำเพ็ญประโยชน์ 24 ชั่วโมง แต่สถานที่คุมประพฤติของเธอกับอาเล็กนั้นต่างออกไป ทั้งนี้ตามระเบียบแล้วขึ้นอยู่กับภูมิลำเนาของแต่ละคน
“ศาลพิพากษาเสร็จ เราก็ไปที่หน่วยสืบเสาะ เขาก็จะสอบถามเรา อยู่ที่ไหน มีลูกพี่น้องกี่คน ทำอาชีพอะไร เกิดที่ไหน ทำไมเราถึงมาโดนคดี มีคดีอะไร สาเหตุอะไร ถามทุกอย่าง คดีของเราถูกตัดสินที่ศาลอาญา ก็ต้องไปคุมประพฤติที่ศูนย์ราชการ แล้วเขาก็โอนข้อมูลของเราให้มาขึ้นกับจุดที่ใกล้บ้านเราที่สุด ของเราเป็นที่ศูนย์ศิริราชฯ และก็ให้บำเพ็ญประโยชน์ให้ครบ 24 ชั่วโมงตามคำศาล”
“อย่างคราวหน้าที่ต้องไป ก็มีวัดหนึ่งเขาขอกำลังคนมา ไปก่อสร้าง คือจะมีตัวเลือกอะไรบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรา บางทีเขาก็จะบอกว่าที่ไหนงานหนักงานเบา เพราะเราเองก็ผู้สูงอายุด้วย”
“แต่ถ้าเราไม่อยากไปบำเพ็ญประโยชน์ เขาก็จะให้เราไปบริจาคเลือด บริจาคครั้งหนึ่งสี่ชั่วโมง สี่ครั้งก็ยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เราก็ไม่ได้เลือกไปบริจาคเลือดนะ หรือบางครั้งเขาก็เคยให้เราไปอบรม ให้ใส่เสื้อเหลืองไป อบรมฝึกอาชีพ ทำน้ำมันหม่อง ทำสบู่ น้ำยานวด ยาดม น้ำยาหอมสารระเหยต่างๆ ถ้าเราเลือกไปอบรม มันก็จะใช้เวลาทั้งวัน แต่ถ้าไปบำเพ็ญประโยชน์ที่ใช้แรงงานที่วัด ก็จะใช้เวลาเท่าที่ต้องใช้”
ถามว่าเหนื่อยไหม วรัณยาตอบกลับทันที “เอาจริงมันก็ไม่ค่อยเหนื่อยหรอก เพราะทำทีหนึ่งก็ 40-50 คน มันก็แบ่งงานก็ทำไป คนนู้นทำตรงนู้น คนนี้ทำตรงนี้”
“ที่ผ่านมาพี่ไปบำเพ็ญประโยชน์ที่วัดโหง เจ้าอาวาสก็เซ็นและประทับตราให้ แต่เขา (เจ้าหน้าที่คุมประพฤติ) ก็บอกว่าใช้ไม่ได้ วัดนี้ไม่ได้อยู่ในเครือของการคุมประพฤติ จะที่ไหนต้องให้มีหนังสือจากสำนักคุมประพฤติไป ถึงจะสามารถทำได้ ต้องไปในที่ที่เขากำหนดไว้ ทำตามที่เขาต้องการ เราไม่สามารถเลือกเองได้ว่าจะไปที่ไหน”
วรัณยาเล่าให้เราฟังว่า เธอทำงานเป็นจิตอาสาสาธารณะมาสิบกว่าปีแล้ว แม้กระทั่งตอนถูกดำเนินคดีก็ยังทำกิจกรรมจิตอาสาอยู่ ตอนไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่คุมประพฤติเอง เธอก็ยังถามเจ้าหน้าที่ว่ามีกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญประโยชน์บ้าง ถ้าหากมี ก็โทรแจ้งเธอหน่อยผ่านเบอร์ที่เธอให้ไว้
จากประสบการณ์ของวรัณยา ค่อนข้างมีความรู้สึกที่ดีกับการให้บริการและการปฏิบัติตัวของเจ้าหน้าที่ และวรันยายังมองการบังคับให้บำเพ็ญประโยชน์ในแง่ดีที่ทำให้คนมีโอกาสได้กลับตัวกลับใจ โดยเธอบอกว่า ไม่เคยเห็นใครที่ถูกปฏิบัติไม่ดี วันที่ไปทำงานเช้าหน่อยก็จะมีกาแฟ มีข้าวกลางวันให้ หรือถ้าต้องกลับเย็นก็จะมีพักเบรกด้วย
“ในแต่ละครั้งที่เราไปทำ ก็จะมีเจ้าหน้าที่คุมประพฤติที่ดูแลเรา มาควบคุมอยู่แล้ว เขาจะเป็นคนทำหน้าที่เซ็นรับรองให้เรา เจ้าหน้าที่เขาไม่หยาบนะ ผู้ต้องหาที่มีก็มีคดียาเสพติด เมาแล้วขับ ยักยอกทรัพย์ มีเราคนเดียวที่เป็นคดีการเมือง คดีอื่นๆ เขาก็ปกติ”
“ผู้ต้องหาในเขตอื่นไม่รู้นะ แต่ในเขตที่เราอยู่ ก็ไม่มีใครถูกปฏิบัติไม่ดี เจ้าหน้าที่พูดดี ต้อนรับขับสู้ดี เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเราเหมือนผู้ต้องหาหรือคนไม่ดี ก็เหมือนสโลแกนของเขา คืนคนดีสู่สังคม”
“เราคิดว่ากระบวนการนี้ก็ยังดีอยู่นะ เพราะเราได้เห็นคนที่กระทำความผิด ขี้เหล้าเมายา ถูกจับมาเพราะกินเหล้า บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้ารู้อย่างนี้ไม่กินหรอก บ้านก็อยู่ไกล ต้องมาคุมประพฤติ คราวหน้าไม่ทำแล้ว”
“เปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยทำอะไรให้สังคม ได้มาทำงานร่วมกับคนอื่น มาเข้ากับคนอื่นที่โดนคดี แม้จะข้อหาแตกต่างกันก็ตาม จากคนที่เคยขี้เกียจ ได้ไปร่วมทำ เขาเห็นมันสนุก เขาก็ทำ ความคิดของแต่ละคน คือ เขาสั่ง เราทำ เหมือนเราไปฝึกทหาร ไม่ได้เหมือนกับพวกอยู่ในเรือนจำ การได้ลงมือทำกับคนหมู่มาก มากหน้าหลายตา หลายพ่อพันแม่ที่เราไม่รู้จัก แต่สามารถนำคนที่ทำผิดมาเปลี่ยนแบบนี้ได้ ก็เปลี่ยนความคิดของเขาได้”
เมื่อถามว่ามีความรู้สึกประทับใจในการบำเพ็ญประโยชน์ใช่หรือไม่ วรัณยามีสีหน้ายิ้มแย้มและเธอบอกว่า เธอให้คะแนนเต็ม
ธนชัย: อยากช่วยชุมชนไม่ใช่แค่วัด
ธนชัย เอื้อฤาชา นักกิจกรรมทางการเมืองที่ถูกพิพากษาในคดี #ตามหานาย หน้า ม.พัน 4 โดยศาลลงโทษจำคุกและปรับ ให้รอลงอาญาและทำงานบริการสังคม
ธนชัยเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่การคุมประพฤตินี้ของเขาเหมือนจะไม่ง่ายสักเท่าใด โดยเฉพาะความไกลบ้านที่ทำให้เขาต้องเสียเวลาและค่าเดินทางเป็นจำนนมาก ไม่เหมือนกับวรัณยาและอาเล็ก
“หลังศาลสั่งให้คุมประพฤติและบริการสังคม เราก็ต้องไปรายงานตัวที่คุมประพฤติเย็นวันนั้นเลย ที่ศูนย์ราชการ พอไปถึง เจ้าหน้าที่ที่เขาดูแลก็พูดจาเหมือนจะข่มเรา เหมือนดุเลย พอถามไปถามมา ไม่ได้โดนเมาแล้วขับหรอ โดนคดีการเมืองหรอ เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียงเลย…”
“เขาก็จะให้สมุดเหลือง เขาก็จะบอกว่า ต้องทำอะไรบ้าง กี่ชั่วโมง แล้วต้องไปที่ไหน เลือกวันได้ แต่เลือกงานไม่ได้ ของผมก็ถูกส่งไปวัดแถววัชรพล ตอนแรกผมจะขอมาทำตรงวัดเทพลีลา ใกล้บ้าน แต่เขาบอกไม่ได้ มันคนละหน่วยงานกัน”
“วัดที่ไป ก็จะมีพระคนหนึ่งคอยรับผิดชอบดูแลคนที่มาบริการสังคม และเซ็นรับรอง แต่กรณีของเรา ไม่มีเจ้าหน้าที่คุมประพฤติมานะ งานอบรมเราก็ไม่เห็นนะ บางคนอาจจะได้ไป แต่เราไม่ได้ไป บริจาคเลือดก็เคยอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ต่อมาเรามีปรับยาภูมิแพ้ ก็บริจาคเลือดไม่ได้”
“ครั้งแรกที่ไปก็ไปช่วยพระจัดสวน ยกกระถางต้นไม้ จะทำอะไรก็แล้วแต่เขาจะใช้งาน บางครั้งก็ซักจีวร บ้างก็นับเงินในตู้บริจาค”
ธนชัยมองว่า ในงานบำเพ็ญประโยชน์อยากให้มีกิจกรรมที่ขยายขอบเขตไปทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมชุมชนด้วย เขากล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องทำในวัดอย่างเดียวได้ อยากให้ทำงานบริการสังคมที่มีประโยชน์และจำเป็นมากกว่านี้ อยากให้ช่วยเหลือชุมชนแออัด หรือไปช่วยเหลือสาธารณภัยต่างๆ ทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะประโยชน์ ช่วยเหลืออย่างอื่น หรือไม่ก็ไปเป็นอาสาจราจร พาเด็กนักเรียนข้ามถนน มีตัวเลือกได้มากกว่านี้
“กระบวนการคุมประพฤติมันน่าจะปรับปรุงให้ยืดหยุ่นกว่านี้หน่อย อาจจะมีตัวเลือกมากกว่านี้ไม่จำเป็นต้องไปไกลบ้าน แต่ไปที่ๆ ใกล้บ้านได้ ก็อาจจะดีนะ บางคนทำผิดมาก็อาจจะได้ขัดเกลาความคิดบ้าง แล้วก็บริการของเจ้าหน้าที่ ควรจะมีมาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่ใช้น้ำเสียงแตกต่างกันไปตามแต่ละข้อกล่าวหา”