30 พฤษภาคม 2568 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติด้วย “ไม่เห็นชอบ” ญัตติที่เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จากกลุ่ม 18 สื่อมวลชน เสนอให้ “ชะลอ” การให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และตั้งคณะกรรมาธิการสอบประวัติฯ ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในระหว่างที่คดี “โกงเลือก สว.” ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ ด้วยคะแนนเสียง ไม่เห็นชอบ 125 เสียง เห็นชอบ 37 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง

โดยระหว่างการพิจารณา มี สว. ที่ผลัดเปลี่ยนกันอภิปรายออกเป็นสองฝ่าย ทั้งฝั่งที่เห็นด้วยและฝั่งที่ไม่เห็นด้วยให้ “ชะลอ” ไปก่อน เทวฤทธิ์ มณีฉาย ผู้เสนอญัตติ ชี้แจงเหตุผลว่า “เพื่อเป็นหลักประกันในกระบวนการดำเนินคดีของศาลรัฐธรรมนูญ กกต. และ ป.ป.ช. ที่สมาชิกวุฒิสภาตกเป็นผู้ถูกร้องและผู้ร้องจำนวนมากในขณะนี้จะดำเนินการไปโดยอิสระ เป็นกลาง ปราศจากการแทรกแซง ผู้ทำหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยคดีจึงไม่ควรมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคู่ความในคดี โดยเฉพาะการให้ความเห็นชอบผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเพิ่มเติมในขณะนี้ อันจะทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในความยุติธรรม ความเป็นกลางและการขัดกันแห่งผลประโยชน์กระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งต่อวุฒิสภา”
เทวฤทธิ์ ยังยกตัวอย่างว่า สว. 13 คน เคยอ้างประเด็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ ลาออกจากคณะกรรมาธิการสอบประวัติฯ ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. มาแล้ว โดย สว. 13 คนนั้นอ้างว่าตนเป็นผู้ร้อง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบว่า ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรววงยุติธรรม และยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเดินหน้าคดีโกงเลือก สว. หรือไม่ ทั้ง 13 คนเคยเชิดชูหลัก “ขัดกันแห่งผลประโยชน์” สว.เทวฤทธิ์จึงนำเสนอให้ที่ประชุมวุฒิสภาใช้หลักการเดียวกัน
ฝั่ง สว. ที่อภิปรายเห็นด้วยกับการให้สว. “ชะลอ” เห็นชอบองค์กรตรวจสอบ ได้แก่ นันทนา นันทวโรภาส เปรมศักดิ์ เพียยุระ ปริญญา วงษ์เชิดวัญ รัชนีกร ทองทิพย์ นรเศรษฐ์ ปรัชญากร วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ วันไชย เอกพรพิชญ์ ยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา สหพันธ์ รุ่งโรจนพณิชย์อังคณา นีละไพจิตร ประทุม วงศ์สวัสดิ์ มานะ มหาสุวีระชัย มณีรัฐ เขมะวงศ์ พรชัย วิทยเลิศพันธุ์ และชูชีพ เอื้อการณ์ โดยส่วนใหญ่อภิปรายไปในเสียงเดียวกันว่าต้องการให้ สว. “ชะลอ” ด้วยเหตุผลว่าสังคมกำลังขาดความศรัทธา สว.
ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยให้ชะลอ เช่น ฉัตรวรรษ แสงเพชร หนึ่งใน สว. ผู้ถูกออกหมายเรียกโดย กกต. ในคดีโกงเลือก สว. อภิปรายว่า สว. ถูกกระทำมาโดยตลอด จากผู้ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ตนเองมาจากการเลือก สว. โดยสุจริตและเที่ยงธรรม สว. ต้องดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ จึงไม่เห็นด้วยให้ชะลอตามญัตติของ สว. เทวฤทธิ์

“เราอย่ามาพะวงว่า (สว.) มีจริยธรรมหรือไม่ ตราบใดที่ผมยังไม่เชื่อมั่นองค์กรที่สอบสวนหรือไต่สวนผม ผมถือว่าผมยังเป็นผู้มีจริยธรรม” ฉัตรวรรษกล่าว
ด้านภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน อภิปรายเห็นพ้องกับสว.ฉัตรวรรษว่าไม่เห็นด้วยกับการชะลอ ด้วยการตั้งคำถามว่า สว. มีหน้าที่อะไร และเราเข้ามาเป็น สว. เพื่ออะไร ภิญญาพันธ์ระบุว่าการชะลออาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ต่อมาในเวลา 13.06 น. ที่ประชุมวุฒิสภามีมติ “ไม่เห็นชอบ” ญัตติดังกล่าว โดยจะเดินหน้าตั้งคณะกรรมาธิการสอบประวัติฯ ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กกต. หนึ่งตำแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสองตำแหน่ง และอัยการสูงสุด ก่อนให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. สามตำแหน่ง