คุยกับผู้ต้องหาคดี “ยุยงปลุกปั่น” #เชียงใหม่จะไม่ทนtoo

16 กุมภาพันธ์ 2564 สภ.เมืองเชียงใหม่ เรียกผู้ต้องหา 37 ไปรายงานตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาจากการเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุม #เชียงใหม่จะไม่ทนtoo ที่ประตูท่าแพ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 เป็นคดีที่มีความหลากหลาย ผู้ต้องหามีทั้งคนเสื้อแดง นักศึกษา ศิลปิน นักเขียน รวมทั้งคนไร้บ้าน ทุกคนถูกตั้งข้อหาฐาน “ยุยงปลุกปั่น” มาตรา 116 ให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ฐานรวมตัวกันฝ่าฝืนข้อกำหนดของพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และพ.ร.บ.โรคติดต่อ คดีนี้ริเริ่มโดยการแจ้งความของ บัญชา บุญพยุง ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่มีรายชื่อของผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวน 40 คนนำไปมอบให้ตำรวจ พร้อมกับระบุว่าต้องการดำเนินคดีตามมาตรา 116 ด้วย

ชายคนหนึ่งมาพร้อมกับสเก็ตบอร์ดและสุนัขสีดำข้างกาย เขาสักเต็มร่างกาย ใส่หมวก ใส่แว่นตาดำ ท่าทางโดดเด่นจากผู้ถูกดำเนินคดีเดียวกันคนอื่นๆ เราจึงพูดคุยเพื่อทำความรู้จักเขา

เขาชื่อ”หมุน” ชื่อจริงว่า พึ่งบุญ อายุ 35 ปี
– เล่าคดีวันนี้ให้ฟังหน่อยครับ
“ก็งงๆ มากกว่าครับ ส่วนตัวผมงงๆ ไม่ค่อยได้ใส่ใจ ไม่รู้ว่าเวลาโดนอะไรพวกนี้แล้วมัน …. ยังไง ก็ไม่กลัวด้วยนะครับ มันทำให้เราแอคทีฟขึ้นมากกว่า”
– ทำไมเป็นอย่างนั้น?
“มันเป็นการค้นพบใหม่ ตั้งแต่โดนคดีครั้งแรกแล้ว”
– ครั้งที่แล้วโดนเรื่องอะไร?
“ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว เห็นเขาเรียกว่า มาตรา 360 ทำลายทรัพย์สิน… เรียกอะไรนะ?”
– ทำลายทรัพย์สินราชการหรือเปล่า?
“ใช่ๆ ผมไม่ได้คิดว่าผมทำลายนะ ผมเรียกว่าไปบอมบ์ป้าย คือ ไปแท็ก คำว่า ประเทศทวย ใส่ป้ายจราจรในเมืองเชียงใหม่”
– การแท็ก คือ การทำอะไรครับ?
“เป็นสายกราฟฟิตี้ เหมือนว่าเราประกาศศักดา ใช้ปากกาแต่หมึกเหมือนสีสเปรย์ เป็นชนิดหนึ่งของปากกาครับ”
– คดีประเทศทวยไปถึงไหนแล้ว?
“ยังอยู่ชั้นอัยการครับ ยังไม่รู้ว่ามาไม้ไหนเลยครับ คือ คดีพวกนี้ผมปล่อยเบลอเลยครับ ก็สู้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้เรื่องกฎหมายอะไร ถามทนายอย่างเดียวครับ”
– รู้สึกยังไงที่ตอนนี้โดนคดี ม.116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ?
“ก็ … ไม่รู้อ่ะ ผมยังง่วงๆ อยู่หรือเปล่านะ ยังไม่รู้ถึงผลมันหรือเปล่า ก็เห็นคนอื่นเขาก็โดนๆ กัน ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็สู้กันอยู่ รู้สึกว่าได้พวกมากขึ้นอีก”
– วันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ที่มีการจัดชุมนุม ไปทำอะไร?
“ผมยังจำไม่ได้ว่ามันวันอะไร เขาบอกว่าแฟลชม็อบ แต่ก็เหมือนอยู่กันนานนะ แล้วก็มีเรื่อยๆ อาทิตย์ละครั้ง ผมน่าจะไปถือป้าย แล้วก็น่าจะไปด่าตำรวจด้วย ผมมีคดีหมิ่นตำรวจด้วย น่าจะโดนเป็นคนแรกเลย ผมเป็นแค่ผู้ร่วมชุมนุมคนนึงครับผม ก็แค่ทำป้ายทำอะไรของผม บางทีมันเป็นเรื่องสนุกไปแล้ว เราก็พยายามคิดอะไรที่สนุกไปทำเรื่อยๆ ไปไถสเก็ตป่วนตำรวจ อะไรประมาณนี้”
“ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งอ่ะครับ อยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่ผมก็คิดมากกว่านี้ไม่ออก บางทีเราเห็นตำรวจเขาบอกอะไรมาก็รู้สึกหมั่นมากเลยนะ นึกออกมั๊ย? ตอนที่ผมไถสเก็ตรอบรถเขาที่เขามาประกาศให้เลิกชุมนุม ผมว่ามัน มัน … มัน Shit มากอ่ะ มันเรื่องอะไรของมึง ด้วยอารมณ์ที่เราอยู่ตอนนั้นอยู่ๆ เขาก็มาห้าม คนก็เลยตะโกนโหวกเหวก พยายามตะโกนทับเสียงที่เขาประกาศให้เลิกชุมนุม”
– เขาประกาศว่าอะไร?
“ก็ … ให้ระวังเรื่องโรคติดต่ออะไรอย่างงี้ จำคำไม่ได้ แต่มาพูดเหมือนเป็นห่วง แล้วก็กึ่งขู่ๆ ด้วยเหมือนว่าจะโดนคดี… เค้าก็สุภาพนะ แต่เหตุผลมันไม่ได้ …. ที่ผมโดนก็เพราะไปด่าเขาว่าควย”
 
– เอานี่ไปด้วยตลอดไหม? (ถามถึงหมาคู่ใจ)
“ครับ ถ้าอยู่ในเชียงใหม่ก็ไปด้วยตลอด”
– ทำไมถึงพาไปชุมนุมด้วยตลอด?
“ไม่รู้ …. ปกติพาไปไหนได้ก็พาไปครับ เลี้ยงอย่างงี้มาตลอดนะครับ”
– ชื่ออะไรครับ?
“บัวขาว”
– เกี่ยวอะไรกับนักมวยไหม?
“เกี่ยวครับ ผมไม่ได้ชอบบัวขาวอะไรมากนะ แต่คนพูดถึงเยอะ ตอนซื้อมาใหม่ๆ ผมตั้งชื่อมันว่า แฟรงค์ เพราะคิดมานานแล้วว่าอยากมีหมาชื่อแฟรงค์ แต่พอเรียกแล้วยังไงมันก็ไม่เข้า แล้วตอนนั้นไปไหนคนก็พูดถึงแต่บัวขาว แล้วพอมันยืนนะ ท่าทางมันดูทะมัดทะแมง กล้ามมันเริ่มขึ้นนะ ชื่อนี้ก็เลยมาตอนมันเริ่มโต แต่ตอนนี้มันแก่แล้ว กล้ามย้วยหมด ไม่ได้ออกกำลังกาย”
– การถูกดำเนินคดีมันสร้างภาระให้กับเราไหม?
“สร้างครับสร้าง มัน มัน มันเสียเวลา…. เริ่มเบื่อแล้วนะ ตอนแรกก็เหมือนสนุกอยู่ เราเหมือนได้ยศ ได้อะไร เราไม่ได้รู้สึกผิดกับอะไรตรงนี้อยู่แล้วนะ แต่ก็เริ่มเหนื่อยแล้วอ่ะ … เวลาเราเหนื่อยที เฟลที ก็ต้องพยายามมาทำความเข้าใจตัวเองใหม่ …”
“บางทีก็เราทำอะไรบางอย่าง ถ้าไม่สำเร็จ ไม่เข้าเป้า ก็จะกลายเป็นเฟลนะ เราก็ต้องแก้ให้ได้ อย่างเช่น ตอนผมไปบอมบ์ป้าย ถ้ามันไม่สำเร็จต้องหลบ ต้องหนี เราก็ต้องเอาใหม่ อีกวันนึงต้องกลับมาให้ได้ พอทำได้แล้วมันกลับมา”
– บรรยากาศบ้านเมืองตอนนี้ เหมือนเรียกร้องแล้วไม่สำเร็จหรือเปล่า?
“ก็ไม่นะครับ ก็สู้ไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าผมอุทิศชีวิตแล้วนะครับ คือ …เรียกว่าไง …ผมพยายามใช้คำที่มันไม่สูงนะ …. คือ เราเป็นสายพลีชีพแล้วล่ะ แต่มันก็ต้องสมเหตุสมผลนะ ไม่ใช่ตายไปแล้วคนสมน้ำหน้า กลัวตายแล้วไม่หล่อน่ะ”
– แต่ไม่มีเหตุให้ตายนี่นา
“ใช่ๆ ก็ไม่มีเหตุ เราก็สู้ไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ได้อยู่ เราไม่อยากคิดถึงวันที่เราแพ้ราบคาบนะ วันนั้นผมคงไม่รู้จะอยู่ยังไงเลย เหมือนเราตายทั้งเป็น”
“ตอนที่ผมบอมบ์คำว่า ประเทศทวยทั่วเมือง คือ มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ ก่อนหน้านั้นมีม็อบ แล้วอยู่ๆ โควิดก็มา … มันไม่มีอะไรเคลื่อนไหวสักอย่าง เราก็จินตนาการว่าถ้าเราติดเชื้อขึ้นมา มันคงไม่รักษาเรา สุดท้ายเราก็ตายก่อนอยู่ดี เลยไม่สนใจอะไร ก็บอมบ์ไปเรื่อยๆ”

ชายร่างเล็ก หัวเกรียนคนหนึ่ง ท่าท่างยิ้มแย้มเป็นมิตรเดินทางมารายงานตัวคนเดียวในชุดสูทสีดำ เนคไทสีแดง และปริ้นท์ภาพวาดการ์ตูนล้อการเมืองใส่กระดาษเอสี่มาแปะไว้ที่หน้าอกเสื้อ เราจึงพูดคุยเพื่อทำความรู้จักเขา

เขาให้เรียกว่า “อ้ายหนานแก้ว” ซึ่งแปลว่า ทิตแก้ว คือ คนที่เคยเป็นพระมาก่อน ชื่อจริงว่า อนุวัน อายุ 27 ปี

– สวัสดีครับ ชื่ออะไรครับ?

“แก้ว หรือดีเจก่อแก้ว เรียกว่า “อ้ายหนานแก้ว ตะแล่วข่าว” คำเมืองเหนือ แปลว่า ตระเวณหาข่าว เคยจัดรายการสถานีวิทยุมาก่อน 106.0 105.5 เมกกะเฮิรทซ์ ช่วงปี 2550 เป็นวิทยุชุมชน สู้มาตั้งแต่อายุ 12 ถ้าพูดให้ใครฟังเขาก็บอกว่า “ไอ้นี่บ้าจริงๆ””

– คนเชียงใหม่ป่ะครับ?

“แม่นแล้ว”

– อยู่อำเภออะไร?

“อำเภอหางดง จังหวัดเจียงใหม่”

– โดนคดีเป็นครั้งแรกหรือเปล่า?

“ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สาม ตอนแรกปี51 หนีไม่ทันที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศน์ แต่ควบคุมได้ไม่นานเขาก็ปล่อย คดีครั้งที่สองไล่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ที่เชียงใหม่ เขาควบคุมตัวสัก 12 ชั่วโมง แล้วก็ครั้งนี้ครั้งที่สาม ถูกตั้งข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่น ยั่วยุให้กระทบความมั่นคงภายในประเทศ ….”

“คือ การไปร่วมชุมนุมที่ข่วงประตูท่าแพจังหวัดเชียงใหม่ แล้วก็ไปพูดด้วย…”

– เป็นคนจัดการชุมนุมด้วยเหรอ?

“ไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุม”

– แล้วทำไมถึงได้ขึ้นพูดด้วย?

“อยากจะพูด ขอเขาพูด ไปขอพิธีกรพูด แต่ยังไม่ทราบนามว่าชื่ออะไร”

– พูดเรื่องอะไรบ้าง?

“เรื่องเกี่ยวกับความไม่ยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำในสังคม แล้วก็การเมืองกับพระสงฆ์ไทย กรณีที่ไม่เป็นธรรมก็คือ มหาเถรสมาคมกำลังทำตนเป็นรัฐ สิ่งที่พึงปฏิบัติ คือ มีหน้าที่สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง มั่นคงถาวรสืบไป ไม่ใช่มีหน้าที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ คสช.”

– แล้วมหาเถรสมาคม สืบทอดอำนาจให้ คสช. ยังไง?

“ตอนนั้นผมบวชเป็นพระ แล้วถูกจับสึก เพราะการไปร่วมชุมนุม สองครั้งมาแล้ว บวชครั้งแรกปี 2549 ที่วัดในอำเภอหางดง ถูกจับสึกปี 2551 แล้วมาบวชอีกครั้งเมื่อปี 2558 ถูกจับสึกปี 2559 เขาให้เหตุผลว่า เป็นพระไปชุมนุมทางการเมืองได้อย่างไร ทั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมนาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติพระวินัยเช่นนี้ แต่มหาเถรสมาคมเสือกบัญญัติขึ้นมาเอง เปรียบเหมือนเป็นสงฆ์ที่เป็นขี้ข้ารัฐเผด็จการ”

“ขออ้างประวัติศาสตร์ซักสองประเด็นนะ พระอาจารย์ธรรมโชติ ปลุกขวัญกำลังใจให้ชาวบ้านบางระจันออกมาต่อสู้ พระมหาเถรคันฉ่อง ก็ฝึกวีรยุทธให้กับสามเณรนเรศวรต่อสู้ ต้องไปดูในภาพยนตร์ตำนวนซีรียส์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วก็บางระจัน เรียนด้วยความเคารพว่า พระสงฆ์สมัยโบราณเป็นพระสงฆ์ยุคสร้างชาติ แต่พระสงฆ์ยุคปัจจุบันเป็นกลุ่มทำลายประเทศชาติมากกว่า เรียนด้วยความเคารพ …”

– พอไม่ได้เป็นพระแล้วทำอะไรต่อ?

“ก็ .. อยู่เรื่อยเปื่อยทั่วไป …”

“บ่มีบ้านอยู่น่ะ เร่ร่อนไปด้วย ตอนเช้าก็อยู่ที่คิวรถไปลำพูน มือถือก็ไม่มี”

– แล้วตำรวจเอาหมายเรียกไปส่งให้ยังไง?

“ไม่มี ไม่มีใครเอามาส่งให้”

– แล้วมารายงานตัวคดีนี้ได้ยังไง?

“คนเสื้อแดงบอก มีคนเดินไปบอกว่าโดนคดีด้วยนะ ต้องมา”

“ที่แต่งตัวนี้ก็ไม่ได้มีนะ นี่เอาไปแช่ไฮเตอร์มา” (ยิ้มกว้าง ชี้ที่เสื้อสีขาวตัวด้านใน)

– มีครอบครัวไหม?

“มี อยู่หางดง แต่เขาไม่ชอบที่เป็นเสื้อแดง…”

– ทำไมถึงไปร่วมชุมนุมด้วย?

“ก็เห็นว่า บ้านเมืองมันไม่มีความเท่าเทียม ไม่เป็นธรรม นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมา แล้วก็เขียนให้ประยุทธ์ มานั่งเก้าอี้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมอยู่แล้ว แล้วก็ไปเอารัฐธรรมนูญฉบับเฮงซวยฉบับนี้ ผมกราบเรียนด้วยความเคารพนะ มี ส.ว. ซึ่งประชาชนไม่ได้เลือกมา หรือว่าไอ้สวะ 250 ที่นั่งอยู่ในสภา แล้วก็เสือกมาโหวตเลือกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควบตำแหน่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้อย่างไร จำไว้ให้ดีฮะ”

– รูปนี้คืออะไรครับ?

“เป็นอนุสาวรีย์นายสั่งมา นี่เป็นตำรวจทำร้ายแพทย์อาสาราษฎร มันเป็นสิ่งที่น่าเอามาติด เชิงสัญลักษณ์ เพราะเกียรติตำรวจของไทย ทำอะไรอยู่ ณ เวลานี้ ไม่ใช่ว่าตำรวจทุกคนไม่ดี ตำรวจก็ดี แต่เมื่อนายสั่งมาก็ต้องทำ”

– โดนคดีแล้วรู้สึกยังไงบ้าง

“ก็เฉยๆ ยิ้มได้อยู่ หัวเราะได้อยู่ ฮะๆๆ”