สรุปข้อเท็จจริงกรณีทหารพิษณุโลกอ่อนไหวคำ “ปลดอาวุธคสช.” กดดันงานสัมมนานักศึกษา จนต้องยกเลิก

 

24 พฤศจิกายน 2561 นักศึกษาสาขารัฐศาสตร์ เอกการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม มีกำหนดจัดงานสัมมนา หัวข้อ “การเมืองไทย คนรุ่นใหม่ควรนิ่งไว้ หรือไปต่อ” ที่ห้องประชุมใหญ่ อาคารหอสมุดอิเล็กทรอนิกส์ โดยกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาสัมมนาการเมืองการปกครองไทย ที่นักศึกษาทุกคนต้องฝึกการจัดกิจกรรมสัมมนาเอง

ก่อนหน้าการจัดกิจกรรม นักศึกษาประสานงานกับวิทยากร คือ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จากโครงอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ล่วงหน้าประมาณหนึ่งเดือนให้มาร่วมพูดคุยในงานนี้ แต่เนื่องจากเป็นกิจกรรมในรายวิชาที่ไม่มีงบประมาณค่าวิทยากรรวมทั้งค่าเดินทาง วิทยากรและนักศึกษาจึงตกลงกันที่จะให้ iLaw ทำกิจกรรมเข้าชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.เพื่อยกเลิกประกาศและคำสั่งของ คสช. 35 ฉบับ หรือกิจกรรม “ปลดอาวุธ คสช.” ในงานนี้ด้วย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ iLaw ทำมาตั้งแต่ต้นปีต่อเนื่องกันทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้วิทยากรจะสามารถเบิกค่าเดินทางจากต้นสังกัดได้ 

ก่อนวันจัดกิจกรรมสองวัน ทาง iLaw จึงประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่จะจัดขึ้นทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และไลน์ เพื่อให้คนภายนอกทราบข่าวและเดินทางมาร่วมกิจกรรมได้ รวมทั้งเตรียมบัตรประชาชนมาใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ 

 
 
 
 
 
เมื่อวิทยากรและทีมงานเดินทางมาถึงจังหวัดพิษณุโลกในช่วงเย็นของวันที่ 23 พฤจิกายน 2561 ก็ได้นับพบปะกับกลุ่มนักศึกษาที่จัดกิจกรรมเพื่อเตรียมนัดแนะประเด็นการพูดคุย แต่ในเวลาประมาณ 18.30 น. อาจารย์ผู้ดูแลรายวิชาก็ได้รับการติดต่อประสานงานจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยถึงความกังวลในกิจกรรมที่จะจัดขึ้น และได้ชวนวิทยากรพร้อมนักศึกษากลุ่มที่จัดงานเข้าพูดคุยด้วยกัน

เวลาประมาณ 19.20 ทางอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม คณบดีวิทยาลัยการจัดการและพัฒนาท้องถิ่น และผู้บริหาร กับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยอีกราว 10 ท่าน ได้เปิดห้องประชุมเพื่อพูดคุยกับนักศึกษาและวิทยากร โดยทางวิทยากรและทีมงานจาก iLaw แจ้งว่า หากมหาวิทยาลัยยังไม่สะดวกให้ทำกิจกรรมเข้าชื่อเสนอกฎหมายก็จะยังไม่ทำในครั้งนี้ และขอให้นักศึกษาจัดกิจกรรมสัมมนาไปได้ตามแผนเดิมก่อน โดยทีมวิทยากรจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเองเช่นเดิม 

ด้านอาจารย์เจ้าของวิชา แจ้งให้ทราบว่า ผู้อำนวยการสำนักหอสมุดผู้รับผิดชอบห้องประชุม แจ้งมาแล้วว่า ให้ยกเลิกการใช้สถานที่จัดกิจกรรมตามที่วางแผนไว้เดิม ทำให้ต้องยกเลิกการจัดกิจกรรมไปก่อนและให้นักศึกษาเข้าคลาสเรียนตามปกติ ด้านอธิการบดีก็ขอให้ทาง iLaw ช่วยลบประชาสัมพันธ์ออกจากสื่อของ iLaw แต่วิทยากรแจ้งว่า ไม่สามารถลบได้ เนื่องจากเป็นการส่งทางไลน์ และอาจจะมีคนอื่นส่งข้อมูลต่อกันไปแล้ว ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยจึงตกลงกันให้ทาง iLaw ส่งข่าวทางไลน์ ให้กับผู้ติดตามรับทราบว่า กิจกรรมยกเลิกแล้วในเวลาประมาณ 19.45

หลังจากนั้น เวลาประมาณ 20.10 ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 39 ได้เดินทางมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อพูดคุยกับทุกฝ่าย ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้แจ้งกับทหารว่า ได้ยกเลิกกิจกรรมในวันรุ่งขึ้นแล้ว ทางทหารก็ไม่ได้สั่งการอะไรเพิ่มเติม เพียงบอกว่า เท่าที่ดูกำหนดการและสคริปของกิจกรรมแล้วไม่มีปัญหาอะไร หากจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็ขอให้ขออนุญาตมาทาง คสช. ก่อน และกล่าวเพียงว่า ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งแล้วไม่อยากให้มีอะไรที่เป็นแรงกระเพื่อม จากนั้นก็เดินทางกลับไปในเวลาประมาณ 20.40 น.

แต่ในคืนวันเดียวกัน อาจารย์เจ้าของวิชายังได้รับโทรศัพท์จากทหารเรียกให้มาพูดคุยกันที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เวลา 7.30 น. 

ซึ่งในวันรุ่งขึ้น อาจารย์เจ้าของวิชาและผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี ได้นัดพบกับผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39 อีกครั้งที่มหาวิทยาลัย หลังจากได้ชี้แจงรายละเอียดกิจกรรมทั้งหมดแล้วทางทหารก็บอกว่า ไม่ได้จะห้ามการจัดกิจกรรม และไม่มีเจตนาขัดขวางประชาธิปไตย แต่อยากให้ทางมหาวิทยาลัยช่วยตรวจสอบประวัติของวิทยากรทุกครั้ง อย่าให้มีอคติมากเกินไป เพราะว่า นักศึกษายังเป็นผ้าขาว ถ้าหากได้ฟังคนที่มีอคติมากเกินไปก็อาจถูกชักจูงได้ง่าย การพูดคุยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงทหารก็เดินทางกลับ

หลังทหารเดินทางกลับไปแล้วยังมีชายสองคนไม่แต่งเครื่องแบบเดินทางไปที่ห้องประชุมที่เคยวางแผนว่า จะใช้จัดกิจกรรม โดยแจ้งกับอาจารย์เจ้าของวิชาว่า เป็นสันติบาล ได้รับมอบหมายให้มาตรวจสอบว่า ไม่มีการจัดกิจกรรมจริงๆ และมาถ่ายรูปอาจารย์ไปด้วย ส่วนอาจารย์และนักศึกษาก็เข้าเรียนกันที่ห้องเรียนตามปกติ โดยมีการพูดคุยถึงบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่อที่ห้องเรียน

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ประมาณ 8. 20 ก็มีโทรศัพท์จากคนที่แจ้งว่า เป็นสันติบาลติดต่อไปยังยิ่งชีพ และถามว่า ขณะนี้อยู่ที่ไหน กำลังจะไปที่ไหน และอยู่กับใคร โดยถามว่า อยู่กับอ.อรุณี (อาจารย์ภาควิชาเดียวกัน ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย) หรือไม่ และบอกว่า “เค้า” มารอพบที่โรงแรมที่พักอยู่เมื่อคืนนี้ ทั้งที่ยิ่งชีพไม่เคยแจ้งกับหน่วยงานความมั่นคงมาก่อนว่า พักอยู่ที่โรงแรมใด เมื่อกลับไปที่โรงแรม และพบว่า ไม่มีใครอยู่ จึงติดต่อประสานกลับไปยังผู้ที่แจ้งว่าเป็นสันติบาล

หลังจากนั้นไม่นาน มีชายสองคนอายุราวสี่สิบกว่าไม่แต่งเครื่องแบบขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่โรงแรม คนแรกแจ้งว่า มาจาก “ป้องกันจังหวัด” มาตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัด อีกคนหนึ่งแจ้งว่าชื่อ “นนท์” เป็นทหารจากมณฑลทหารบกที่ 39 เมื่อยิ่งชีพแจ้งว่า วันนี้ไม่ได้ไปจัดกิจกรรมแล้วเพราะมหาวิทยาลัยยกเลิกการจัดกิจกรรม ทั้งสองคนก็ไม่ได้แจ้งอะไรต่อ แต่มีการพูดคุยกันว่า ตัวงานสัมมนาไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ทหารเห็นคำว่า “ปลดอาวุธ คสช.” แล้วไม่เข้าใจว่า หมายความว่าอย่างไร เมื่อเห็นคำว่า “คสช.” ก็รู้สึกว่า เป็นคำที่ล่อแหลม 

ทหารทั้งสองยังเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ความวุ่นวายในการประสานงานครั้งนี้เริ่มจากมีเจ้าหน้าที่ส่วนกลางแจ้งกับผู้ว่าราชการจังหวัดว่า มีการจัดกิจกรรมนี้ และผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ทราบว่า เป็นกิจกรรมใด จึงประสานต่อไปทั้งทางตำรวจ ทหาร และมหาวิทยาลัย เพื่อสอบถามข้อมูล เมื่อมีการประสานงานหลายทางจึงเกิดความสับสน และที่จังหวัดพิษณุโลกไม่เคยมีกิจกรรมทำนองนี้มาก่อน จึงมีความกังวล 

ทางยิ่งชีพ จาก iLaw ก็แจ้งให้ทราบว่า ตลอดเวลาที่ทำกิจกรรมนี้ก็พูดคุยกับทหารตำรวจมาตลอด หากมีความกังวลใดก็ขอให้ติดต่อมาโดยตรง ไม่จำเป็นต้องติดต่อไปหาผู้บริหารมหาวิทยาลัยให้เป็นเรื่องใหญ่ ทางทหารก็ยอมรับว่า หากได้มีโอกาสพูดคุยกับวิทยากรก่อนก็จะไม่มีปัญหา และได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ หากมีกิจกรรมที่พิษณุโลกอีกก็จะขอติดต่อกันโดยตรงจะได้ไม่ต้องผ่านผู้บริหาร 

จากนั้นทหารก็ยังสอบถามเรื่องทั่วๆ ไป เช่น จะเดินทางกลับเมื่อใด จะกลับกรุงเทพฯ ใช่หรือไม่ หรือจะพักที่ไหน จะทานข้าวที่ไหน โดยทหารยังขออนุญาตแนะนำว่า ในการทำกิจกรรมหากตั้งชื่อให้ดูเบา ไม่ใช้ชื่อที่มีคำว่า คสช. ก็จะไม่มีปัญหา หลังเสร็จการพูดคุยทหารก็ขอถ่ายรูปวิทยากรบอกว่า เพื่อเอาไปรายงานต่อว่า ได้มาพูดคุยแล้ว แต่เมื่อวิทยากรขอถ่ายรูปกับทหารที่มาพูดคุยด้วย ทหารบอกว่า ไม่สะดวกที่จะถ่ายด้วย เกรงว่า จะถูกนำรูปไปโพสต์แล้วคนจะเข้าใจผิดว่า มาทำกิจกรรมด้วยกัน