สำรวจจักรวาล สสร. พรรคไหนเคยเสนอที่มาไว้อย่างไรบ้าง

ปัจจุบันภาคประชาชนในนามของ “กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ” กำลังรวบรวม 50,000 รายชื่อเพื่อเสนอคำถามประชามติสำหรับประชาชนใน #conforall หรือ #เขียนใหม่ทั้งฉบับเลือกตั้ง100เปอร์เซ็นต์ อยู่ ทว่านับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน พรรคการเมืองต่างๆ ก็เคยเสนอรูปแบบการได้มาซึ่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. เอาไว้แล้วมากมายเช่นกัน

รูปแบบของสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ที่เคยมีการพยายามนำเสนอเข้าสู่รัฐสภามาหลังการเลือกตั้งในปี 2562 มีทั้งสิ้นสี่รูปแบบ คือ สสร.ฉบับพรรคเพื่อไทย, สสร.ฉบับที่นำโดยพรรคพลังประชารัฐ, สสร.ฉบับพรรคไทยสร้างไทยที่ใช้วิธีรวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอร่างรัฐธรรมนูญ และ สสร.ฉบับสงวนคำแปรญัตติของ ส.ส.จำนวนหนึ่ง ในช่วงพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญของ คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หรือ กมธ.แก้รัฐธรรมนูญฯ

ข้อเสนอการตั้ง สสร. มักอยู่ที่วิธีการได้มา โดยแบ่งออกคร่าวๆ ได้สี่รูปแบบ คือ เลือกตั้งแบบมีจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เลือกตั้งแบบมีประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง เลือกตั้งผสมกับการแต่งตั้ง และแต่งตั้งทั้งหมด ซึ่งรูปแบบทั้งหมดนี้จะมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อสังคมไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2567 ที่กำลังมาถึง

สสร.ฉบับพรรคเพื่อไทย

ในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เปิดเผยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคเพื่อไทย ที่ถูกเสนอโดย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และคณะ ซึ่งระบุให้ สสร. ชุดใหม่ต้องมีที่มาจากการเลือกตั้งในลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. 2543 

รูปแบบดังกล่าวหมายความว่า สสร. จะถูกประชาชนเลือกตั้งมาด้วยการใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เพื่อหาบุคคลซึ่งลงสมัครชิงตำแหน่ง สสร. แล้วชนะการเลือกตั้งภายในเขตนั้นๆ โดยประชาชนมีสิทธิกาผู้สมัครได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อนำคะแนนทั้งหมดมาเข้าสมการคำนวณหาจำนวน สสร. ที่พึงมี และหาจำนวน สสร. ที่ชนะในเขตเลือกตั้งนั้นๆ  

จำนวนของ สสร. ในรูปแบบนี้ถูกกำหนดไว้ให้มีสมาชิกอยู่ที่ 200 คน ซึ่งได้ระบุรายละเอียดเอาไว้ดังนี้:

(1) เอาจำนวนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง สสร. มาเฉลี่ยด้วยจำนวน สสร. ทั้งหมด (200 คน)

(2) นำค่าเฉลี่ยตามข้อ (1) มาหารจำนวนราษฎรในแต่ละจังหวัด เพื่อหาจำนวน สสร. ที่แต่ละจังหวัดพึงมี

(3) ถ้าจังหวัดใดมีจำนวนราษฎรน้อยกว่าหรือเท่ากับค่าเฉลี่ยตามข้อ (1) ให้จังหวัดนั้นมี สสร. หนึ่งคน

(4) ถ้าจังหวัดใดมีจำนวนราษฎรมากกว่าค่าเฉลี่ยตามข้อ (1) ให้เพิ่ม สสร. หนึ่งคน ในทุกๆ จำนวนราษฎรที่ครบตามค่าเฉลี่ย

(5) ในกรณีที่ยังได้ สสร. ไม่ครบ 200 คน ให้จังหวัดที่มีเศษเหลือจากการคำนวณมากที่สุด มีสสร. เพิ่มหนึ่งคน จนกว่าจะครบจำนวน

ความก้าวหน้าของ สสร. ในรูปแบบนี้ คือ กำหนดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครเอาไว้เพียง 18 ปี รวมถึงต้องไม่เป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ส.ว. และต้องไม่เป็นรัฐมนตรี

ในจำนวน สสร. ทั้ง 200 คนนี้ จะต้องมีการแต่งตั้งอนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอีก 45 คน แบ่งเป็น การแต่งตั้งจากสมาชิก สสร. จำนวน 30 คน และให้มีตัวแทนจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชนจำนวนห้าคน ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสตรศาสตร์ห้าคน และ ผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการร่างรัฐธรรมนูญจำนวนห้าคน

อย่างไรก็ตาม ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวห้าม สสร. แก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ และให้อำนาจรัฐสภาในการตรวจสอบร่างรัฐธรรมนูญของ สสร. ว่าฝ่าฝืนข้อห้ามนี้หรือไม่ หากรัฐสภามีมติว่าเป็นการฝ่าฝืน ร่างรัฐธรรมนูญจะถูกตีตกไป

สสร.ฉบับพรรคร่วมนำโดยพรรคพลังประชารัฐ

วันที่ 1 กันยายน 2563 ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในช่วงนั้น นำโดย วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ, ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์, ชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย และ นิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา นำ 206 รายชื่อ ส.ส.รัฐบาล ยื่นขอเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ต่อ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ณ ขณะนั้น โดยมีที่มาของ สสร. กำหนดไว้ดังนี้ 

สสร. จะมีจำนวนสมาชิก 200 คน ซึ่งจำนวนสมาชิก 150 คนต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน อีก 20 คนมาจากการแต่งตั้งโดยรัฐสภา อีก 20 คนมาจากการเลือกโดยที่ประชุมอธิการบดี แบ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชนหรือรัฐศาสตร์ 10 คน และผู้มีประสบการณ์การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการร่างรัฐธรรมนูญ 10 คน ขณะที่อีก 10 คนมีที่มาจากกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา 

การเลือกตั้ง สสร. จำนวน 150 คนแรกจะมาจากการแบ่งจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สสร. ได้เพียงหนึ่งคะแนน บางจังหวัดอาจมี สสร. มากกว่าหนึ่งคน แต่ประชาชนลงคะแนนเลือกได้คนเดียว และผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดตามลำดับจำนวน สสร. ในแต่ละเขต จะได้รับเลือกเป็น สสร.

คุณสมบัติของ สสร.ฉบับที่นำโดยพรรคพลังประชารัฐ ยังเปิดโอกาสให้ผู้อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์สามารถสมัครลงเลือกตั้ง สสร. ได้เช่นกัน แต่ต้องไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ไม่เป็น ส.ส. ส.ว. หรือ รัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดจาก สสร. ในรูปแบบนี้ ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเช่นกันว่า ไม่มีการแก้ไขในรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 รวมถึงให้อำนาจคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง แสดงความคิดเห็นหรือมีข้อเสนอแนะอื่นใดในการจัดทำรัฐธรรมนูญได้

สสร. ฉบับพรรคไทยสร้างไทย

วันที่ 14 มกราคม 2566 สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และสมาชิกพรรค ได้เปิดโต๊ะแถลงข่าวเข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญภาคประชาชน ณ ประตูท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกำหนดให้ สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคไทยสร้างไทย ระบุให้มีการตั้ง สสร. จาการเลือกตั้งทั้งสิ้น 200 คน ผ่านระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต โดยต้องไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของหมวด 1 และหมวด 2 รวมทั้งให้อำนาจรัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัย คล้ายคลึงกับข้อเสนอ สสร. รูปแบบของพรรคเพื่อไทย

อย่างไรก็ตาม ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้การพิจารณาเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) 500 คน และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คน ในวาระที่หนึ่ง (ขั้นรับหลักการ) และในวาระที่สาม (ขั้นสุดท้าย) ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อย “สามในห้า” หรือ ประมาณ 450 เสียง จากสมาชิกทั้งหมด 750 เสียง

วิธีนี้จึงเป็นการตัดเงื่อนไขที่ต้องอาศัยเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม และเสียงจากพรรคที่ไม่มีรัฐมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรร้อยละ 20 ออกไป

สสร. ฉบับขอสงวนคำแปรญัตติ

สสร. ในรูปแบบนี้มีที่มาจากการขอสงวนคำแปรญัตติในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ กมธ.แก้รัฐธรรมนูญฯ ซึ่งมี ส.ส. ผู้ขอสงวนคำแปรญัตติที่มาของ สสร. ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 

1) ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ปรากฎครั้งแรกในร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 100,732 คน ได้ร่วมกันเสนอ โดยระบบเลือกตั้งดังกล่าวมีผู้ขอสงวนคำแปรญัตติให้ใช้ระบบเลือกตั้งแบบนี้อยู่หลายคน ได้แก่ ส.ส. พรรคก้าวไกล อาทิ ธีรัจชัย พันธุมาศ และ รังสิมันต์ โรม 

ผู้สงวนคำแปรญัตติ ขอแก้ไขไว้ว่า “ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้ ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยให้ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง” ซึ่งจะทำให้การได้มาซึ่ง สสร. มีความคล้ายคลึงกับระบบเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ โดยให้เหตุผลว่า ระบบเลือกตั้งนี้จะทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถเลือกผู้สมัครที่ตนชอบหรือมีนโยบายที่ตนเองชอบได้มากที่สุด โดยไม่ต้องติดข้อจำกัดเรื่องเขตเลือกตั้ง

2) ใช้ทั้งประเทศและจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ถือว่าเป็นระบบเลือกตั้งแบบผสมผสาน โดยต้องการให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้งจำนวน 100 คน และมาจากการเลือกตั้งโดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งจำนวน 100 คน

ส.ส. ผู้สงวนคำแปรญัตติในลักษณะนี้ประกอบไปด้วย ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้แก่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, ปดิพัทธ์ สันติภาดา, วรรณวิภา ไม้สน และคณะ รวม 16 คน

3) ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งร่วมกับการสรรหา โดยมีลักษณะคล้าย สสร. ในรูปแบบที่พรรคร่วมนำโดยพลังประชารัฐนำเสนอ เพียงแค่แตกต่างในเรื่องสัดส่วนของจำนวนสมาชิกที่มาจากการสรรหาและแต่งตั้งเท่านั้น

ผู้ที่สงวนคำแปรญัตติในประเด็นที่มีความใกล้เคียงกัน ก็อย่างเช่น วีรกร คำประกอบ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ที่เสนอให้มี สสร. 200 คน มาจากการเลือกตั้ง 190 คน และให้ 10 คน มาจากการคัดเลือกของที่ประชุมอธิการบดีจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน รัฐศาสตร์ การเมือง การบริหารราชแผ่นดิน และการร่างรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

4) ใช้การสรรหาและแต่งตั้งทั้งหมด โดยกำหนดให้มี สสร. จำนวน 170 คน มาจากการสรรหาของสภาผู้แทนราษฎร 100 คน แบ่งเป็น ส.ส. จำนวน 50 คน และบุคคลภายนอกที่ ส.ส. เสนอชื่ออีก 50 คน ขณะเดียวกันก็ให้อำนาจ วุฒิสภาให้ความเห็นชอบอีกจำนวน 70 คน ประกอบด้วยบุคคลซึ่งเป็น ส.ว. จำนวน 35 คน และบุคคลภายนอกที่มาจากการเสนอชื่อของ ส.ว. อีกจำนวน 35 คน

ผู้ที่สงวนคำแปรญัตตินี้ คือ เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส. พรรครวมพลังประชาชาติไทย

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage