“เราต้องช่วยกันและห้ามมีนักโทษติดเชื้อเป็นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการบริหารจัดการต้องวุ่นวายแน่นอน”
สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม, 29 มีนาคม 2563
“The coronavirus pandemic turns every arrest into a potential death sentence.”
Ephrat Livni, qz.com / 25 Mar 2020
ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่กำลังพุ่งทะยาน รัฐบาลก็ดำเนินการทุกทางเพื่อสนับสนุนมาตรการ social distancing (ระยะห่างทางสังคม) ด้วยเห็นว่าเป็นหนทางเดียวในการป้องกันการแพร่ระบาดไม่ให้รวดเร็วจนระบบสาธารณสุขไม่อาจรองรับไหว
เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ในเรือนจำ สถานที่ซึ่งแออัดอย่างยิ่ง จนประเทศไทยที่มีประชากรน้อยนิดติดอันดับ 6 ของโลกด้านจำนวนและความหนาแน่นของนักโทษ
หลายส่วนจึงเริ่มจินตนาการภาพความหายนะ หากมีพาหะเล็ดลอดเข้าไปในเรือนจำ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าว
- รายแรก 20 มีนาคม เรือนจำคลองเปรม
- รายที่สอง 26 มีนาคม เรือนจำราชบุรี
- จลาจล 29 มีนาคม เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งสำนักข่าวบีบีซีไทยรายงานว่า “สาเหตุเกิดจากผู้ต้องขังมีภาวะเครียด และมีคนปล่อยข่าวว่ามีผู้ต้องขังป่วยโควิด-19 ประกอบกับกฎระเบียบเรือนจำที่เข้มงวดมากขึ้น ห้ามเยี่ยมในช่วงสถานการณ์โควิด”
ภาพถ่ายเรือนจำหญิงจังหวัดอุดรธานี 2558
ความแออัดติดอันดับโลก
ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- นักโทษเด็ดขาด หมายถึง คนที่คดีถึงที่สุดแล้ว
- ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี หมายถึง คนที่ยังอยู่ระหว่างต่อสู้คดี ไม่ว่าในชั้นสอบสวน (ตำรวจ) ชั้นอัยการ ชั้นศาลทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา
รายงานสถิติของผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศจากเว็บไซต์กรมราชทัณฑ์ (24 มีนาคม 2563)
- ผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ มีทั้งสิ้น 377,830 ราย (ชาย 329,835 หญิง 47,995)
- เรือนจำทั่วประเทศ 143 แห่ง
- ความสามารถในการรองรับผู้ต้องขัง 217,000 ราย (ข้อมูลจาก prisonstudies.org ปี 2015)
- ความแออัด 174%
สหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) ทำการศึกษาสภาพความเป็นอยู่ผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิงกลางในปี 2560 ระบุว่า สภาพชีวิตของผู้ต้องขังในไทยถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน คณะกรรมการกาชาดสากลกำหนดว่าผู้ต้องขังแต่ละคนต้องมีพื้นที่ขั้นต่ำ 3.4 ตร.ม./คน แต่ตามระเบียบของราชทัณฑ์กำหนดพื้นที่ขั้นต่ำให้ผู้ต้องขังชายที่ 1.2 ตร.ม./คน ผู้ต้องขังหญิง 1.1 ตร.ม./คน
กรณีเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ FIDH ระบุว่า เรือนนอนขนาดประมาณ 24 ตร.ม.จะมีผู้ต้องขังอาศัยอยู่รวมกัน 40 – 50 คน
มาตรการกรมราชทัณฑ์ที่อาจไม่มีทางทันการณ์?
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทางราชทัณฑ์และเรือนจำเริ่มดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคแล้ว โดยตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2563 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ออกหนังสือมาตรการเพิ่มเติมในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด 19 และหลังจากนั้นก็มีการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมตามรายงานของโพสต์ทูเดย์และไทยรัฐออนไลน์ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1. คนในห้ามออก (สำหรับผู้ต้องขัง)
- งดออกนอกเรือนจำ เพื่อไปฝึกอาชีพ/ฝึกงาน/ทำงาน (สำหรับผู้ต้องขังกองนอก)
- ออกนอกเรือนจำได้เฉพาะเท่าที่จำเป็น เช่น ไปโรงพยาบาลหรือศาล
- ไม่ต้องออกศาล โดยศาลได้ใช้วิธีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มากขึ้น
2. คนนอกห้ามเข้า
- งดให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังเป็นเวลา 14 วัน (18-31 มี.ค. 2563)
- กักโรคผู้ต้องขังใหม่ที่แดนแรกรับ 14 วันแล้วจึงส่งตัวเข้าแดนต่างๆ ต่อไป
คำถามคือ ***
1. การห้ามเยี่ยมญาติเกิดขึ้น “หลัง” การระบาดของโควิด 19?
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์รายงานเมื่อวันที่ 15 มีนาคม หรือ 3 วันก่อนมีคำสั่งห้ามเยี่ยมผู้ต้องขัง มีผู้ป่วยในไทยแล้ว 114 ราย มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสม 6,176 ราย ไม่มีใครรับประกันได้ว่าในจำนวนนั้นมีบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับญาติของผู้ต้องขังหรือบุคลากรของเรือนจำรวมอยู่ด้วยหรือไม่
2. หลังกำหนดห้ามเยี่ยม 31 มีนาคม จะทำอย่างไรต่อ
หลังจากวันที่ 31 มีนาคมซึ่งจะสิ้นสุดการห้ามเยี่ยมผู้ต้องขัง การระบาดก็ยังคงอยู่และดูเหมือนไม่มีแนวโน้มดีขึ้น ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า การแพร่ระบาดเป็นไปได้หลายแนวทาง และอาจขึ้นสูงสุดได้ในเดือนสิงหาคม เราจะสามารถห้ามการเยี่ยมญาติได้ยาวนานเพียงไหน
3. ใช้แดนแรกรับ ‘กักตัวขาเข้า’?
ภายในเรือนจำแบ่งการปกครองเป็นหลายแดน แดนแรกรับไว้ใช้สำหรับรองรับผู้ต้องขังใหม่ ผู้ต้องหาที่ถูกตำรวจจับกุมและไม่ได้ประกันตัวก็อยู่ในแดนนี้ทั้งหมด ด้วยความแออัดอย่างยิ่งในเรือนจำ คำถามคือ ใช้พื้นที่ตรงไหนในการกักกันตัวผู้ต้องขังรายใหม่ 14 วัน ขณะที่ผู้ต้องขังรายใหม่ก็มีเป็นจำนวนมากทุกวัน?
นอกจากนี้ข่าวสารทั่วโลกยังทำให้เห็นว่า ระยะเวลาก่อนแสดงอาการของโรคจากไวรัสอาจนานกว่า 14 วัน
4. ความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะติดเชื้อ?
เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็อาจมีโอกาสสัมผัสกับไวรัสและคนเหล่านี้ต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำระหว่างที่ยังไม่มีอาการใช่หรือไม่
เปรียบเทียบจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุด 3 จังหวัดกับผู้ต้องขังในเรือนจำ 3 จังหวัดนั้น
จังหวัด | ผู้ติดเชื้อโควิด 19 (คน) | จำนวนนักโทษ (คน) | เรือนจำ |
กรุงเทพฯ | 349 | 4,192 | เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ |
8,411 | สถานบำบัดพิเศษกลาง | ||
5,038 | ทัณฑสถานหญิง | ||
นนทบุรี | 47 | 3,953 | เรือนจำบางขวาง |
2,900 | เรือนจำจังหวัดนนทบุรี | ||
ชลบุรี | 30 | 7,164 | เรือนจำจังหวัดชลบุรี |
ข้อมูลผู้ต้องขังจำแยกตามเรือนจำ วันที่ 5 มีนาคม 2563 จาก กรมราชทัณฑ์
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะลดความแออัดของเรือนจำ โดยใช้มาตรการหลักอย่างการปล่อยชั่วคราวและการพักโทษ ซึ่งทั้งหมดต้องผ่านการคัดกรองที่เข้มข้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
ข้อเสนอ iLaw เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ
โมเดล 1 การปล่อยชั่วคราว
1. ผู้ต้องขังมีโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด 19 เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
2. ผู้ต้องหา/ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี ข้อ 2-3 รวม 62,619 คน หรือ 16.74% ของผู้ต้องขังทั้งหมด
ลำดับ | ประเภท | จำนวนทั้งหมด | เพศ | |
1. | นักโทษเด็ดขาดที่คดีถึงที่สุดแล้ว | 309,515 | ชาย | 269,291 |
หญิง | 40,224 | |||
2. | ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี ชั้นอุทธรณ์-ฎีกา | 29,321 | ชาย | 25,772 |
หญิง | 3,549 | |||
3. | ผู้ต้องขังระหว่างไต่สวนและสอบสวน | 33,298 | ชาย | 29,335 |
หญิง | 3,963 | |||
| รวม 2 และ 3 | 62,619 |
3. ผู้ต้องขังสูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไป รวม 5,801 คน หากผู้ต้องหากลุ่มนี้คนใดไม่เข้าเกณฑ์ได้รับการปล่อยตัวโดยการพักโทษ ทางเรือนจำอาจพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวแทน

ข้อเสนอเพิ่มเติม:
กรณีผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีที่คดียังไม่ถึงที่สุด ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขประกันตัวเพิ่มเติมกรณีของผู้ต้องขังในคดีที่อัตราโทษสูง หรือจำเลยที่ศาลชั้นต้นเคยมีคำพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญาแล้ว เช่น กำหนดให้มีการรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติ ห้ามออกนอกประเทศ สวมกำไลข้อเท้าติดตามตัว (EM) เป็นต้น
กรณีผู้ต้องขังเด็ดขาดที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ต้องขังมีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด 19 ทุกวัย และผู้ต้องขังตั้งครรภ์ที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ ทางเรือนจำอาจพิจารณาปล่อยตัวออกจากเรือนจำเป็นการชั่วคราว โดยมีมาตรการควบคุม เช่น ให้สวมกำไลข้อเท้าติดตามตัว (EM) จำกัดการเคลื่อนไหวให้อยู่เฉพาะบริเวณบ้านหรือภายในจังหวัดภูมิลำเนา และจัดให้มีพนักงานคุมประพฤติมาคอยติดตามเป็นระยะ หลังพ้นวิกฤติโรคระบาด ทางเรือนจำอาจพิจารณาปล่อยตัวนักโทษกลุ่มนี้เป็นการถาวรหรือเรียกกลับมารับโทษต่อ โดยพิจารณาจากเงื่อนไขด้านสุขภาพของผู้ต้องขัง ระยะเวลารับโทษคงเหลือ และพฤติการณ์ของผู้ต้องขังระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นเงื่อนไขสำคัญในการพิจารณา ในกรณีต้องรับโทษต่อให้นับเวลาระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นระยะเวลารับโทษด้วย
โมเดล 2 การพักโทษนักโทษเด็ดขาด (ปล่อยก่อนครบกำหนด)
การพักโทษตามเกณฑ์ปกติ
ระเบียบกรมราชทัณฑ์กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ดังนี้
1. คดีถึงที่สุดแล้ว
2. เป็นผู้ต้องโทษครั้งแรก
3. เหลือโทษจำคุกไม่มาก
- นักโทษชั้นเยี่ยม เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ใน 3
- นักโทษชั้นดีมาก เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ใน 4
- นักโทษชั้นดี เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ใน 5
ณ ขณะนี้ ผู้ต้องโทษครั้งแรก จำนวน 206,278 คน (67%)
- นักโทษชั้นเยี่ยม 73,519 คน (24%)
- นักโทษชั้นดีมาก 33,776 คน (11%)
- นักโทษชั้นดี 42,713 คน (14%)
เนื่องจากไม่ทราบข้อมูลว่านักโทษทั้ง 3 ชั้นเหลือโทษจำคุกตามที่กำหนดไว้เป็นจำนวนเท่าใดจึงไม่สามารถคำนวณตัวเลขประมาณการได้
ทั้งนี้หากจำแนกประเภทผู้ต้องขังจากฐานความผิดจะพบว่าผู้ต้องขังคดียาเสพติดมีจำนวนมากที่สุดคือ 248,181 คน หรือคิดเป็น 80% ของผู้ต้องขังเด็ดขาดทั้งหมด
โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ต้องโทษในฐานะผู้เสพ จำนวน 32,117 คน หรือ 12.94% ของผู้ต้องขังเด็ดขาดคดียาเสพติดทั้งหมดหรือ 10.37% จากจำนวนผู้ต้องขังเด็ดขาดทั้งหมด
ยาเสพติด | 248,181 | 80% |
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ | 24,041 | |
ความผิดต่อชีวิต | 16,029 | |
ความผิดเกี่ยวกับเพศ | 9,117 | |
อื่นๆ (ป่าไม้, การพนัน, อาวุธ, คนเข้าเมือง ฯลฯ) | 8,337 | |
ความผิดต่อร่างกาย | 1,769 | |
ภยันตรายต่อประชาชน | 39 | |
รวม | 309,515 | 100% |

ข้อเสนอเพิ่มเติม:
คณะกรรมการพิจารณาการพักโทษควรปรับเกณฑ์การพักโทษให้ยืดหยุ่นขึ้น อาจกำหนดให้เหลือโทษมากกว่าเกณฑ์ปกติได้ เนื่องจากระเบียบกระทรวงยุติธรรมเปิดทางให้ทำได้ในสถานการณ์พิเศษ
ผู้ต้องขังที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด มะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงโรคอื่นๆ ที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด 19 ผู้ต้องขังอายุเกิน 60 ปี และผู้ต้องขังหญิงที่ตั้งครรภ์ที่เข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ ควรได้รับการพิจารณาพักโทษเป็นการเร่งด่วน
ผู้ต้องขังที่ไม่มีโรคประจำตัว อาจพิจารณาพักโทษจำคุกผู้ต้องขังตามเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบกรมราชทัณฑ์ และพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังบางส่วนที่ระยะเวลารับโทษเหลือนานกว่าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ แต่เหลือระยะเวลารับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี (ระยะเวลา 3 ปี เป็นโทษจำคุกที่ศาลสามารถสั่งรอการลงโทษจำคุกจำเลยได้)
ในส่วนของผู้ต้องขังคดีอื่นๆ คณะกรรมการอาจพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังจากพฤติการณ์แห่งคดี อายุและสุขภาพของผู้ต้องขังเป็นสำคัญ
ในส่วนของคดียาเสพติดซึ่งเป็นคดีที่มีผู้ต้องขังมากที่สุด คณะกรรมการควรพิจารณาพักโทษผู้เสพและผู้ครอบครองเพื่อเสพก่อน ส่วนผู้จำหน่ายคณะกรรมการพักโทษอาจกำหนดจำนวนอย่างสูงของสารเสพติดแต่ละชนิดเพื่อประกอบการพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังรายย่อย โดยคำนึงถึงอายุและสุขภาพของผู้ต้องขังเป็นสำคัญ
ในกรณีที่มีความจำเป็น คณะกรรมการพักโทษอาจกำหนดมาตราการอื่นๆ เช่น จำกัดการเคลื่อนไหวของผู้ต้องขังให้อยู่เฉพาะภายในจังหวัดภูมิลำเนาหรือห้ามออกนอกประเทศ ให้อยู่ภายใต้ความดูแลของพนักงานคุมประพฤติหรือกำหนดให้ทำงานบำเพ็ญประโยชน์ ตลอดระยะเวลาพักโทษที่เหลือเป็นระยะเวลาเท่าที่คณะกรรมการเห็นสมควรแต่ต้องไม่เกินวันที่ผู้ต้องขังครบกำหนดรับโทษจำคุก
ทั้งนี้ประวัติการใช้ความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศ ควรเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คณะกรรมการพักโทษควรนำมาใช้ประกอบการพิจารณาด้วย

*หมายเหตุ หากนับเฉพาะผู้ต้องขังที่เหลือเวลารับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีจะมีจำนวนทั้งสิ้น 135,093 คน แต่ตารางนี้ไม่ได้จำแนกจำนวนผู้ต้องขังที่เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ไว้เป็นการเฉพาะ
มาตรการคัดกรองเพิ่มเติม เพิ่มความมั่นใจให้ประชาชน
- ก่อนการปล่อยตัวผู้ต้องขัง แต่ละเรือนจำจัดให้มีพื้นที่กักตัวเพื่อสังเกตอาการโรคเป็นเวลา 14 วัน หากผู้ต้องขังไม่มีอาการติดเชื้อให้ปล่อยตัวกลับภูมิลำเนา
- หากผู้ต้องขังต้องสงสัยว่ามีอาการติดเชื้อให้ส่งต่อสถานพยาบาลของรัฐในท้องที่เรือนจำเพื่อทำการรักษาก่อนปล่อยตัวกลับภูมิลำเนา
- ระหว่างกักตัวต้องมีการให้ข้อมูลความรู้ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น การป้องกันตนเองและผู้อื่น รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องการกับแพร่ระบาด
- ผู้ต้องขังต้องมีญาติรับรองหรือมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
- กำหนดการรายงานตัวเป็นระยะแล้วแต่กำหนดตามความเหมาะสม เพื่อคุมความประพฤติรวมถึงติดตามอาการหลังออกจากเรือนจำในช่วงแรก
หมายเหตุ
- โมเดลที่ 1 ใช้ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 24 มีนาคม 2563
- โมเดลที่ 2 ใช้ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2563
RELATED POSTS
No related posts