19 มิถุนายน 2568 เวลา 9:00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดจิรวัฒน์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กรณีแชร์โพสต์เฟซบุ๊กจำนวนสามโพสต์ ก่อนหน้านี้วันที่ 6 ธันวาคม 2566 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจิรวัฒน์หกปีโดยไม่รอลงอาญา เขาถูกคุมขังระหว่างการอุทธรณ์เป็นเวลาประมาณหนึ่งปีก่อนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 จิรวัฒน์ ขณะนั้นอายุ 30 ปี เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าได้แชร์โพสต์เฟซบุ๊กทั้งหมดสามโพสต์ โดยมีผู้กล่าวหาคือภัทรวรรณ ขำมา เลขานุการฝ่ายกฎหมายของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 หรือ ศบค. ซึ่งจิรวัฒน์เปิดเผยว่าภัทรวรรณเป็นญาติของฝ่ายหญิงที่ตนคบหาอยู่
จิรวัฒน์ได้เคยให้สัมภาษณ์กับไอลอว์ว่า “กฎหมายข้อนี้อะนะ ที่ใคร ๆ ก็ชอบพูดว่าเป็นกฎหมายกลั่นแกล้งกัน เชื่อไหม คดีผมเนี่ยกลั่นแกล้งที่สุดแล้ว เพราะคนแจ้งเป็นญาติเมียผม คดีคนอื่นผมไม่รู้นะว่าเป็นยังไง แต่ของผมมันชัดมาก แล้วมันก็ทำให้เราเห็นจุดบกพร่องของกฎหมายนี้ คือใครมันจะแจ้งความใส่กันก็ได้”
รายละเอียดตามข้อกล่าวหาระบุว่า ภัทรวรรณได้ พบเห็นบัญชีผู้ใช้เฟสบุ๊กที่มีชื่อภาษาอังกฤษตรงกับชื่อของจิรวัฒน์ได้แชร์โพสต์จากเพจ KTUK-คนไทยยูเค ประเด็นความเกี่ยวข้องของสถาบันกษัตริย์กับการผลิตวัคซีนในประเทศไทย และอีกโพสต์จากผู้ใช้เฟสบุ๊กคนอื่นที่โพสต์ในประเด็น “ตั๋วช้าง” รวมถึงโพสต์จากเพจ KTUK-คนไทยยูเค ที่ได้นำคำปราศรัยของภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 ในประเด็นที่ยืนยันว่าการกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ต้องสามารถพูดถึงได้ทั้งในเชิงสรรเสริญและวิพากษ์วิจารณ์เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ภัทรวรรณอ้างว่าข้อความที่จิรวัฒน์แชร์เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อรัชกาลที่สิบ และพระราชินีสุทิดาจึงร้องต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จิรวัฒน์
ต่อมาในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 สมพงษ์ ศรีธูป พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจิรวัฒน์โดยบรรยายคำฟ้องว่า
- กรณีแชร์โพสต์จากเพจ KTUK – คนไทยยูเค ในประเด็นการจัดหาวัคซีนทำให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่ารัชกาลที่สิบ ผูกขาดการจัดหาวัคซีนและหาผลประโยชน์จากการจำหน่ายวัคซีน
- กรณีแชร์โพสต์ที่เกี่ยวข้องกับ “ตั๋วช้าง” ทำให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่าพระราชินีสุทิดาทรงเข้ามาก้าวก่ายหาผลประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ
- กรณีแชร์โพสจากเพจ KTUK – คนไทยยูเค ในประเด็นคำปราศรัยของภัสราวลี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 ทำให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปเข้าใจว่ารัชกาลที่สิบ ทรงขยายพระราชอำนาจเกินขอบเขตไม่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่เป็นไปตามระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
แม้ว่าจิรวัฒน์จะเพียงแค่กดแชร์โพสต์โดยไม่มีข้อความบรรยายเพิ่มเติม แต่อัยการก็ระบุว่าภาพและข้อความจากทั้งสามโพสต์ที่จิรวัฒน์ได้แชร์มีเนื้อหาลักษณะเสียดสีประชดประชันสร้างความเสียหายต่อราชการที่สิบ และพระราชินีสุทิดา อันเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่นใส่ความ หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาตรร้ายต่อพระมหากษัตริย์และพระราชินีทำให้ประชาชนไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้
6 ธันวาคม 2566 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดจิรวัฒน์ฟังคำพิพากษาในคดีนี้และได้พิพากษาจำคุกจิรวัฒน์จากการแชร์โพสต์ทั้งสามโพสต์ โพสต์ละสามปี แต่เนื่องจากจิรวัฒน์ให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษให้หนึ่งในสามของโทษจำคุกต่อหนึ่งโพสต์ เหลือโทษจำคุกโพสต์ละสองปี รวมโทษทั้งหมดเป็นหกปี
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเปิดเผยว่า จิรวัฒน์เขียนคำอุทธรณ์ขณะที่ตนถูกคุมของอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร สรุปใจความได้ว่าในโพสต์เฟซบุ๊กที่ตนแชร์ออกไปนั้นตนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยตลอดกระบวนการตนมาตามนัดไม่เคยขาด ตนปฏิบัติตัวอยู่ภายใต้กฎหมายมาโดยตลอด ตนน้อมรับความผิดที่ได้กระทำลงไป
แต่ตนนั้นมีหน้าที่ที่ต้องดูแลครอบครัวโดยที่ภรรยาของตนป่วยเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่สาม และยังมีเนื้องอกในร่างกายอีกสองก้อน ทำให้ครอบครัวของตนอาจได้รับผลกระทบหากตนต้องเผชิญโทษจำคุก บิดาและมารดาของตนเข้าสู่วัยชราและมีโรคประจำตัว ส่วนบุตรสาวกำลังอยู่ในวัยเรียน ค่าใช้จ่ายหลักของครอบครัวทั้งค่าเล่าเรียนบุตร ค่าผ่อนบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตนจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
จิรวัฒน์ระบุว่าตนได้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป จึงขอความเมตตาจากศาลเพื่อบรรเทาลดโทษให้ตนกลับไปเป็นพลเมืองดีอีกครั้ง
ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นจำคุก ม.112 จิรวัฒน์ 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา

19 มิถุนายน 2568 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจิรวัฒน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นเวลาหกปี โดยไม่รอลงอาญา ส่งผลให้จิรวัฒน์จะต้องรับโทษจำคุกราวห้าปี เพราะเขาเคยถูกคุมขังในเรือนจำมาแล้วประมาณหนึ่งปี
เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ จิรวัฒน์พร้อมด้วยภรรยา พ่อ แม่ และญาติของจิรวัฒน์นั่งรออยู่ในห้องพิจารณาคดี จนถึงเวลาประมาณ 09.49 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดินเข้ามานั่งในห้องเนื่องจากในวันนี้มีนัดหมายคดีอื่นที่ต้องเบิกตัวผู้ต้องขังมาฟังคำพิพากษาในคดีอื่น ต่อมาในเวลา 09.52 น. ผู้พิพากษาขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาสรุปใจความได้ว่าจิรวัฒน์เขียนคำอุทธรณ์ขอให้ลดโทษ เมื่อศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของจิรวัฒน์เป็นการกระทำที่ร้ายแรง กระทบกระเทือนต่อสถาบันกษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติ คำอุทธรณ์ของจิรวัฒน์ฟังไม่ขึ้น พิพากษาให้ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หลังอ่านคำพิพากษาจบภรรยาคอยปลอบโดยลูบหลังและแขนของจิรวัฒน์และกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” จิรวัฒน์เตรียมใจสำหรับเหตุการณ์ในวันนี้โดยการนำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเมื่อรู้ว่าตนจะต้องเข้าเรือนจำ หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสิ้นแล้ว แม่ของจิรวัฒน์นั่งร้องไห้กอดแขนลูกชายโดยกล่าวสะอื้นจนไม่สามารถฟังออกได้ จิรวัฒน์ได้แต่ปลอบแม่ว่า “ไม่เป็นไรหรอกม๊า แป๊ปเดียวเอง” หลังจากนั้นศาลก็อ่านคำพิพากษาในคดีอื่นต่อ
ระหว่างนี้ที่นายประกันและทนายกำลังทำเรื่องสำหรับการประกัน ผู้พิพากษาก็ได้บอกจิรวัฒน์ว่าให้ประพฤติตนเป็นคนดีและไม่ละเมิดกฎหมาย ต่อจากนั้นญาติของจิรวัฒน์คนหนึ่งก็ได้ลุกขึ้นชูมือเหนือศีรษะพร้อมขออนุญาตผู้พิพากษาเพื่อถามว่า สำหรับข้าราชการหากทำความดียังอาจได้ลดโทษ แล้วสำหรับประชาชนธรรมดาที่เคยทำความดีมาก่อนอย่างจิรวัฒน์ไม่มีช่องทางสำหรับการลดโทษเลยหรือไม่ ผู้พิพากษาตอบว่าให้รวบรวมความดีแล้วเขียนขอพระราชทานอภัยโทษได้
ญาติของจิรวัฒน์กล่าวกับผู้พิพากาทิ้งท้ายหลังผู้พิพากษากล่าวทำนองว่าในสังคมสมัยนี้ คนที่เคยถูกคุมขังมาเป็นที่ยอมรับและสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้แล้ว เช่น กรณีคนที่เป็นดาราหรือคนที่มีชื่อเสียง ญาติจิรวัฒน์กล่าวว่า “ขออนุญาตครับ สังคมของผมกับสังคมของท่านมันต่างกัน ท่านอยู่บนหอคอย ผมอยู่บนพื้นดิน สมัยนี้ถ้าไปสมัครงานแล้วเคยมีประวัติว่าติดคุก เขาเขี่ยออกทันที” ก่อนจะขอบคุณผู้พิพากษาที่เปิดโอกาสให้ตนได้พูด
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ได้เข้ามาใส่กุญแจมือแล้วจะนำตัวจิรวัฒน์ไปใต้ถุนศาลเพื่อรอคำสั่งประกันตัว จิรวัฒน์ ภรรยา และญาติคนอื่นก็ได้สวมกอดกันก่อนจะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะนำตัวจิรวัฒน์ออกไป ภรรยาจิรวัฒน์ได้สอบถามทนายว่าจะทราบผลประกันเมื่อไร เพราะตนต้องไปทำงานต่อแล้วหากจิรวัฒน์ได้ประกันตัวจึงค่อยกลับมารับจิรวัฒน์กลับบ้าน