วันที่ 1 มิถุนายน 2559 ศาลพิจารณาคดีของอาทอม โดยเริ่มจากถามว่าอาทอมยืนยันที่จะร้องเพลงปรองดองและปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติตามคำแถลงประกอบคำรับสารภาพหรือไม่ อาทอมรับปาก ศาลขอให้ทุกคนในห้องเป็นพยาน จากนั้นจึงเริ่มอธิบายคำพิพากษา ศาลไม่ได้ “อ่าน” คำพิพากษาที่เขียนมาแล้ว แต่ใช้วิธีอธิบายว่า ความจริงแล้วศาลต้องการแบ่งความผิดเป็นห้ากรรม ประกอบด้วยการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์สามกรรม หมิ่นประมาทพระราชินีหนึ่งกรรม และโพสต์คลิปการปราศรัยบนยูทูบอีกหนึ่งกรรม โดยผู้พิพากษาสันนิษฐานว่าการปราศรัยน่าจะขาดความต่อเนื่อง จึงแยกการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ออกเป็นสามกรรม แต่อธิบดีและรองอธิบดีศาลอาญาเห็นว่าควรนับเป็นกรรมเดียว เพราะเกิดขึ้นในการปราศรัยครั้งเดียวกัน
“ไม่กลัวแล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัวมากไปกว่าใจตัวเองแล้ว เมื่อเราเสียสละที่จะสู้ให้กับประชาชน เสียสละให้กับประเทศชาติ ก็ไม่ควรเรียกร้องสิ่งใด ทำตัวเป็นไม้บรรทัดมาพอสมควร ตอนนี้ต้องเป็นสายวัดแล้ว ต้องรู้จักย่นย่อ สังคมนี้เป็นเช่นนี้ ต้องทำตัวเช่นนี้ สู้เท่าที่สู้ได้ ยอมเท่าที่ยอมได้ เป็นเท่าที่เป็นได้ แล้วก็ไปเท่าที่ไปได้”
อาทอมกล่าวด้วยความนิ่งสงบต่อชะตากรรมที่รออยู่ข้างหน้า หลังโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษาออกมาหนักกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ก่อนจะถูกส่งตัวกลับไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และรอลุ้นผลคำพิพากษาคดีต่อไป ที่ไม่อาจคาดเดาความหนักเบาได้อีกต่อไป