มันเริ่มจากเราเห็นชื่อเขาอยู่บนบอร์ดนัดคดีในศาลทหารเชียงใหม่ พร้อมข้อหาห้อยท้ายว่า “ความผิดต่อความมั่นคง”
แรกเริ่มนั้น เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครที่ไหน ถูกดำเนินคดีข้อหามาตราไหน และจากเรื่องอะไร ด้วยไม่มีข่าวคราวการจับกุมหรือดำเนินคดีปรากฏในหน้าสื่อ แต่ที่แน่ๆ ตอนนั้น คือทราบว่าเขากำลังต้องขึ้นศาลทหาร เพราะอัยการได้สั่งฟ้องคดีแล้ว
เราพบเขาในวันที่เริ่มสืบพยานเป็นนัดแรก ทำให้ทราบว่า ชัชวาลย์ หรือ “พี่ชัช” นั้น ทำงานเป็นนักข่าวอิสระในจังหวัดลำพูน และกำลังถูกดำเนินคดีในข้อหาเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่อาจทำให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งตามกฎหมายมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ส่วนสาเหตุที่ถูกจับกุมและดำเนินข้อหานี้จากเรื่องอะไร? ใครต่อใครเมื่อได้ทราบเหตุที่มาของคดี ต่างบอกกันว่าดูเป็นเรื่องที่ “งี่เง่า” มาก…
จากปากคำของชัชวาลย์ เรื่องเริ่มจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 เขาได้รับรูปภาพข่าวจากเพื่อนนักข่าวในท้องถิ่นคนหนึ่งทางไลน์ส่วนตัว เป็นภาพข่าวชุมนุมประท้วงรัฐประหาร โดยผู้ชุมนุมราว 10 คน อยู่บริเวณลานอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี จังหวัดลำพูน ทั้งหมดใส่หน้ากากสีขาว และชูป้ายกระดาษที่มีข้อความ เช่น No Coup, Stop the coup, คนลำพูนต้องการการเลือกตั้ง
เมื่อเห็นภาพ ชัชวาลย์จึงโทรศัพท์ไปสอบถามเพื่อนนักข่าวคนนั้น และได้รับการยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเย็นวันนั้น เขาจึงส่งภาพและเขียนรายงานข่าวสั้นๆ ประกอบส่งไปที่ศูนย์ข่าวภูมิภาคของผู้จัดการออนไลน์ โดยรายงานว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 กระทั่งข่าวดังกล่าวขึ้นเผยแพร่ทางเว็บไซต์ผู้จัดการในช่วงสายของวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ทางบรรณาธิการนำไปรวมกับข่าวชุมนุมต้านรัฐประหารในจังหวัดเชียงใหม่ และพาดหัวข่าวนี้ว่า “แดงลำพูนแปลงกาย ใส่หลากสี สวมหน้ากากชูป้ายต้านรัฐประหารกลางเมือง” โดยไม่ได้ลงชื่อผู้เขียนข่าวไว้ หลังเผยแพร่ไปไม่นานนักเจ้าหน้าที่ทหารติดต่อไปยังสำนักข่าวและได้ความว่านักข่าวที่ส่งข่าวไปคือชัชวาลย์ จึงส่งกำลังทหารไปที่บ้านของเขา แต่ในบ่ายวันนั้น เขาออกไปทำงานนอกบ้าน ทำให้ไม่มีใครอยู่ แต่เพื่อนบ้านได้โทรศัพท์มาแจ้งเขาว่ามีทหารมาตามหา เมื่อทราบว่าถูกตามตัว เย็นนั้นชัชวาลย์เดินทางเข้าไปพบทหารที่ศาลากลางจังหวัดลำพูน ซึ่งขณะนั้นถูกใช้เป็นที่ตั้งของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตจังหวัดลำพูน
หลังพูดคุยเบื้องต้นกับทหาร ชัชวาลย์ยอมรับว่าเป็นคนส่งภาพและข่าวนี้ไปเอง ทหารแจ้งว่าเข้าตรวจสอบในพื้นที่ลำพูนแล้ว แต่ไม่พบว่ามีชุมนุมดังกล่าวเกิดขึ้น การนำเสนอข่าวจึงบิดเบือน เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 116 เป็นความผิดต่อความมั่นคง
ชัชวาลย์ถูกทหารนำตัวไปที่สถานีตำรวจภูธรลำพูน เพื่อแจ้งความ และสอบปากคำ เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยยืนยันว่าไม่ได้เจตนาจะทำให้เกิดความแตกแยก ต่อมาจึงถูกนำตัวไปไว้ในห้องขังที่สถานี จนในช่วงเช้าวันที่ 2 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่นำตัวมาฝากขังยังศาลทหารเชียงใหม่ เนื่องจากจังหวัดลำพูนไม่มีศาลทหาร กระทั่งส่งตัวเข้าไปยังเรือนจำ ขณะเดียวกันฟากฝั่งบรรณาธิการ หลังทราบว่าข่าวที่รายงานไม่ตรงตามข้อเท็จจริง จึงลบออกจากระบบออนไลน์ในเวลาไม่นาน (ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2557)
ต่อมาจึงทราบว่าภาพข่าวดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นจริง เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 โดยไม่ได้บิดเบือนข่าวแต่อย่างใด “แต่เป็นความเข้าใจผิดเรื่องวันเวลาที่เกิดเหตุการณ์” และนำไปรายงานผิด โดยขณะเข้าพูดคุยกับทหาร ชัชวาลย์ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าจะถูกดำเนินคดี และไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดนี้
ภายหลังถูกควบคุมในเรือนจำ ภรรยาพยายามยื่นขอประกันตัว โดยครั้งแรกได้ยื่นประกันโดยใช้ตำแหน่งของผู้ใหญ่บ้าน ครั้งที่สองยื่นหลักทรัพย์ 1.2 แสนบาท ก็ยังไม่ได้รับการประกันตัว จนครั้งที่สาม ยื่นหลักทรัพย์จำนวน 4 แสนบาท โดยทำหนังสือรับรองความประพฤติจากเพื่อนสื่อมวลชนในจังหวัดยื่นประกอบไปด้วย จึงได้รับอนุญาตให้ประกันตัว รวมแล้วชัชวาลย์เลยได้ไปนอนอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 15 วัน…
ในวันที่ถูกดำเนินคดีนั้น ชัชวาลย์มีอายุ 47 ปี เขาเป็นคนจังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และไปอยู่ที่ลำพูนภายหลังแต่งงานกับภรรยาใหม่ในปี 2547
ชัชวาลย์เล่าว่าเขาไม่เคยมีพื้นฐานด้านสื่อสารมวลชนมาก่อน เคยเรียนระดับ ปวส.ทั้งด้านไฟฟ้าและบัญชีที่จังหวัดอุตรดิตถ์บ้านเกิด แต่ก็เรียนไม่จบ ด้วยเหตุที่เขาเล่าว่าค่อนข้างทำตัวเกเร เลยไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ
จนในช่วงปี 2532 เริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานด้านข่าว เมื่อมีเพื่อนชวนไปช่วยติดตามข่าวและเขียนให้กับนิตยสารท้องถิ่นในอุตรดิตถ์ การเรียนรู้ทำข่าวจึงเป็นไปด้วยตนเองเป็นหลักไม่ได้มาจากห้องเรียนใด แต่ก็ทำได้ไม่นานนัก ต้องหันไปทำอาชีพอื่นๆ เลี้ยงครอบครัว อย่างเช่น ขายซาลาเปา เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เป็นต้น จนราวปี 2539 เขาเริ่มหันมาทำข่าวท้องถิ่นในจังหวัดอุตรดิตถ์อีกครั้ง ก่อนจะย้ายมาเชียงใหม่
กระทั่งเมื่อย้ายมาลำพูน ชัชวาลย์เริ่มทำงานเป็นนักข่
ชัชวาลย์บอกว่าในช่วงทำงานข่าวเคยมีคนติดต่อให้ไปเป็นนักข่
ในช่วงหลัง ชัชวาลย์ทำงานเป็นนักข่าวอิสระ เป็นผู้ส่งรายงานข่าวในพื้นที่ให้กับหลายสำนักข่าวส่วนกลาง ทั้งผู้จัดการ, สำนักข่าวทีนิวส์ หรือบ้านเมือง ส่วนใหญ่เน้นติดตามข่าวด้านอาชญากรรม และข่าวทั่วไปในพื้นที่ ได้รับค่าตอบแทนจากค่าข่าวเป็นชิ้นๆ ไม่ได้มีเงินเดือนและสังกัดประจำแต่อย่างใด
แม้ไม่เคยพูดคุยถึงเรื่องจุดยื
ช่วงก่อนหน้าการสืบพยานในคดีนี้ ชัชวาลย์ว่าจ้างทนายความมาช่วยว่าความ แต่เมื่อพบว่ามีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก และครอบครัวไม่มีเงินจะจ้างต่อ จึงขอให้ศาลแต่งตั้งทนายความอาสามาให้ในคดีนี้ ทำให้ได้ทนายความอิสระในจังหวัดเชียงใหม่เข้ามาช่วยเหลือในคดี
การนัดสืบพยานในศาลทหารมีขึ้นทั้งหมด 4 นัด ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 จนถึงกุมภาพันธ์ 2558 โดยใช้รูปแบบการนัดเดือนละหนึ่งนัด นัดหนึ่งมีพยานมาเบิกความหนึ่งถึงสองคน รวมแล้วเป็นพยานโจทก์จำนวน 5 ปาก และพยานจำเลย 3 ปาก
สำหรับพยานโจทก์แบ่งออกเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสองนาย ในตำแหน่งฝ่ายข่าวและฝ่ายกำลังพลของกองพลทหารราบที่ 7 ซึ่งทำหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาไปแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรลำพูนที่ทำหน้าที่สืบสวนในคดีนี้สองนาย รวมทั้งบรรณาธิการบริหารสำนักข่าว ASTV ผู้จัดการ เข้าเบิกความเกี่ยวกับกระบวนการนำข่าวลงเผยแพร่ในเว็บไซต์
ขณะที่ทางฝ่ายจำเลย มีตัวชัชวาลย์เอง บรรณาธิการข่าวภาคเหนือของ ASTV ผู้จัดการ และเพื่อนนักข่าวของเขา ซึ่งเป็นผู้ส่งภาพให้ทางไลน์ส่วนตัว การสืบพยานในแต่ละปากใช้เวลาไม่นาน และไม่ได้ซักพยานยืดเยื้อนัก ข้อมูลที่น่าสนใจจากฝ่ายทหารคือ กรณีนี้ ผบ.ของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดลำพูน เป็นผู้สั่งการจัดชุดลาดตระเวนไปตรวจสอบในพื้นที่ลำพูนหลังเผยแพร่ข่าว เมื่อไม่พบการชุมนุมตามที่มีการนำเสนอ ทางผู้บังคับบัญชาเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความผิด จึงนำตัวไปดำเนินคดี แต่เจ้าหน้าที่ทหารก็เบิกความว่าหลังจากข่าวนี้แพร่ไป ก็ไม่ได้มีชุมนุมประท้วงของประชาชนเกิดขึ้นในลำพูนแต่อย่างใด
ทางบรรณาธิการจาก ASTV ผู้จัดการ ให้ข้อมูลว่า บก.ส่วนภูมิภาคของสำนักข่าวมีอำนาจในการนำข่าวลงเว็บไซต์ได้ โดยไม่ต้องผ่านส่วนกลาง ทำให้โดยปกติส่วนกลางจะไม่ได้ดูข่าวที่ไม่ได้สำคัญมาก ส่วนข่าวตามที่ถูกกล่าวหาในกรณีนี้ ทาง บก.ส่วนกลางก็ไม่ทราบว่าได้ข่าวมาจากที่ใด และเมื่อทราบว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจึงได้ลบออกในเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมงหลังข่าวเผยแพร่
ขณะที่เพื่อนนักข่าวต้
จากข้อเท็จจริงในคดีนี้ ดูเหมือนจะเป็นข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของกระบวนการทำข่าวที่เกิดขึ้น ที่ปกติทางกองบรรณาธิ
“นักข่าวเหมือนหมาล่าเนื้อ ทำดีก็เสมอตัว พลาดมาก็โดนยำ” เขาสรุปบทเรียนแบบนั้น
ภายหลังถูกดำเนินคดีนี้ ชัชวาลประสบปัญหาเรื่องทำมาหากินและการหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากปกติไม่ได้มีเงินเดือนประจำในการทำงาน รายงานข่าวชิ้นหนึ่งก็ได้เพียงชิ้นละ 400 บาท และไม่ได้มีงานทุกวัน แถมภายหลังถูกดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ยังให้เขาไปช่วยรายงานข่าวในลักษณะประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของทหารด้วย ในส่วนของครอบครัว ชัชวาลย์มีบุตรต้องดูแลถึง 6 คน ส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยเรียน โดยยังต้องส่งลูกที่อยู่ในวัย 5 ปี และ 7 ปี เรียนหนังสืออยู่ ขณะที่ลูกคนเล็กอายุเพียง 2 ขวบเศษ ทำให้ภาระเลี้ยงดูครอบครัวค่อนข้างหนักหนา
ในระยะหลังเขาทำงานข่าวลดลง ไม่ได้ส่งข่าวให้สื่อส่วนกลางที่เคยส่งมากนัก และต้องหันไปหารายได้จากหลายทาง ซึ่งมีทั้งงานช่วยค้นข้อมูล หรืองานรับออกแบบป้
ระหว่างการพิจารณาคดี เขายังถูกนายประกันขอถอนเงิ
ชัชวาลย์ยอมรับว่าในเวลาปีเศษๆ ระหว่างถูกดำเนินคดีนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาเครี
แม้ในเดือนพฤษภาคมตามนัดเดิม ศาลจะเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไป เนื่องจากตุลาการศาลทหารเจ้
โดยหากนับตั้งแต่ถูกควบคุมตั
คดีของชัชวาลย์ดูเหมือนจะเป็
อีกทั้ง แม้ผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมื
ชัชวาลย์เคยเล่าครั้งหนึ่งว่าหลังเสร็จสิ้นคดีนี้ไป ความฝันที่เขาอยากทำอย่างหนึ่งคือ อยากจะเขียนเล่าประสบการณ์ขณะเป็นนักข่าวของตัวเอง และออกเป็นหนังสือที่มีชื่อทำนองว่า “เรื่องเล่านักข่าวบ้านนอก” โดยประสบการณ์การทำงานข่าวในพื้นที่นั้น มีทั้งเรื่องสนุก ตื่นเต้น เศร้า และการดิ้นรนปากกัดตีนถีบของนักข่าว เขาทำงานอยู่ในฐานะนักข่าวรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ ทำข่าวมาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ ไม่มีโลกออนไลน์ให้ค้นหา หนังสือเล่มนี้ที่อยากจะทำ เขาอยากให้นักเรียนด้านนิเทศศาสตร์หรือวารสารศาสตร์ได้อ่านกัน เพราะคิดว่าประสบการณ์เหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนข่าวรุ่นใหม่ต่อไป
เดาไม่ยากเลยว่า ถ้าหนังสือเล่มนี้ออกมา คงมีเรื่องราวที่เขาถู