องค์การอนามัยโลก
สำนักงานภูมิภาคยุโรป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการป้องกันและการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ในเรือนจำและสถานกักกันอื่นๆ
ทำไมผู้ที่อยู่ในเรือนจำจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 มากเป็นพิเศษ
ผู้ที่อยู่ในเรือนจำและสถานกักกันอื่นๆ อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปิดและอยู่ใกล้ชิดกันซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการติดเชื้อ อีกทั้งพวกเขาอาจจะมีโรคประจำตัว สุขภาวะที่แย่กว่าบุคคลทั่วไป และบ่อยครั้งที่ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ สุขอนามัยที่ไม่ดี และภูมิต้านทานที่อ่อนแออันเนื่องมาจากความเครียด โภชนาการที่ไม่ดี หรือโรคที่มีอยู่เดิม ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ผู้ที่ใช้ชีวิตในเรือนจำมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้น
ผู้ต้องขังรายใหม่ทุกคนควรถูกคัดกรองหรือไม่
ผู้ต้องขังรายใหม่ทุกคนควรถูกคัดกรองเพื่อหาอาการไข้และอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจส่วนล่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีโรคติดต่อจากการสัมผัส หากพวกเขามีอาการข้องเกี่ยวกับโรคโควิด-19 หรือหากพวกเขาได้รับการวินิจฉัยโรคโควิด-19 มาก่อนและยังคงแสดงอาการของโรค พวกเขาควรถูกแยกกักตัวจนกว่าการตรวจและประเมินโรคขั้นต่อไปจะสามารถทำได้
ผู้ต้องขังรายใหม่ทุกคนควรถูกกักตัวเป็นเวลา 14 วันหรือไม่
การคัดกรองผู้ต้องขังรายใหม่นั้นคุ้มค่ากว่า การแยกกักตัวโดยไม่จำเป็นจะส่งผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพจิต
เจ้าหน้าที่เรือนจำควรถูกคัดกรองหรือไม่
ควรมีการจัดตั้งระบบคัดแยกผู้ป่วยเพื่อประเมินความเสี่ยงรายบุคคล และการคัดกรองเพื่อหาอาการไข้และอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ให้แก่ผู้ที่ทำงานในเรือนจำทั้งผู้คุมเรือนจำและเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข ด้วยเหตุที่ต้องป้องกันหรือจำกัดไม่ให้โรคโควิด-19 เข้าสู่เรือนจำได้
แล้วผู้เข้าเยี่ยมที่เรือนจำควรถูกคัดกรองด้วยหรือไม่
ระบบคัดแยกผู้ป่วย การประเมินความเสี่ยง และ/หรือการคัดกรอง ณ ทางเข้าเรือนจำ ควรใช้กับผู้ไปเยี่ยมและผู้ที่เข้าไปในเรือนจำทุกคน ไม่ใช่เพียงผู้ที่สงสัยว่ามีความเสี่ยงของโรคอยู่แล้วเท่านั้น การประเมินความเสี่ยงประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูลประวัติการไอและ/หรือการหายใจติดขัด ประวัติการเดินทางในช่วงที่ผ่านมาหรือการไปในแหล่งที่มีการระบาด และการสัมผัสใกล้ชิดการผู้ป่วยโดยตรงในช่วงเวลา 14 วันที่ผ่านมา
ควรอนุญาตให้มีผู้เข้าเยี่ยมที่เรือนจำในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือไม่
การตัดสินใจที่จะจำกัดการเข้าเยี่ยมควรคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาวะทางจิตของผู้ที่อยู่ในเรือนจำและระดับความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นจากการไม่ได้พบเจอเพื่อน ครอบครัว หรือโลกภายนอกเลย การห้ามไม่ให้มีการเข้าเยี่ยมเพื่อปกป้องเรือนจำจากโรคโควิด-19 อาจนำไปสู่ความรุนแรง ดังนั้นควรมีการพิจารณาวิธีอื่นที่ทำให้การเยี่ยมแบบไม่ถึงตัวสะดวกขึ้น เช่น การริเริ่มใช้การติดต่อทางไกลผ่านทางวีดิโอ (เช่น สไกป์ เป็นต้น)
หน่วยตรวจการควรถูกระงับให้เข้าเรือนจำหรือไม่
แม้ว่าจะอยู่ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 หน่วยตรวจการที่มีอำนาจสั่งการในการป้องกันการทรมาน และความโหดร้ายอื่นๆ เช่น การลงโทษหรือการปฏิบัติที่ลดทอนความเป็นมนุษย์หรือไร้ซึ่งมนุษยธรรม ยังควรเข้าถึงทุกคนในเรือนจำและสถานกักกันอื่นๆ (รวมถึงผู้ที่ถูกขังเดี่ยว) ตามเงื่อนไขอำนาจสั่งการของหน่วยตรวจการ
คนในเรือนจำที่แสดงอาการของโรคควรถูกแยกตัวหรือไม่
บุคคลใดที่แสดงอาการของโรคต้องถูกแยกกักตัวจนกว่าจะสามารถทำการประเมินโรคในขั้นต่อไปได้ และต้องมีการตรวจโรคหากมีความจำเป็น การแยกกักตัวในเรือนจำในขั้นต้นนั้นมีความสำคัญ และทุกกรณีควรได้รับการประเมินโรค และต้องส่งเข้าโรงพยาบาลหากมีอาการรุนแรง
หากการพิพากษาสิ้นสุดลงในระหว่างที่มีการกักโรคควรจะต้องทำอย่างไร
เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของเรือนจำควรแน่ใจได้ว่า ผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวจะมีสถานที่ที่สามารถไปกักตัวต่อได้ เจ้าหน้าที่ในท้องที่ควรได้รับแจ้งเรื่องผู้ได้รับปล่อยตัวออกมาและเฝ้าติดตาม
มาตรการหลักในการป้องกันโรคที่สามารถปรับใช้ได้ในเรือนจำมีอะไรบ้าง
มีมาตรการหลัก 8 ข้อที่แนะนำ ดังนี้
- ควรคัดกรองและประเมินความเสี่ยงบุคคลทุกคนที่เข้าไปในเรือนจำ
- มาตรการดังกล่าวควรใช้กับผู้ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเช่นกัน
- ควรทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคอย่างน้อยวันละครั้ง
- ควรสนับสนุนเรื่องสุขลักษณะส่วนตัวและการล้างมือ รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้ทำได้จริง (สำหรับทุกคนในเรือนจำ รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้วย)
- ควรให้ความรู้และการสื่อสารถึงเรื่องสุขอนามัยของระบบทางเดินหายใจ
- ควรจัดการปัญหาเรือนจำแออัด
- ควรมีแผนปฏิบัติงานพร้อมใช้ ที่ระบุผู้รับผิดชอบที่จะลงมือปฏิบัติ กรอบเวลาการปฏิบัติ และวิธีการและโดยใคร เพื่อรับมือกับการณีสงสัยว่าติดเชื้อ และกรณีที่ยืนยันแล้วว่าติดเชื้อ
- ควรแจ้งผู้เกี่ยวข้องถึงแผนรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้าสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
เรือนจำมีอุปกรณ์ป้องกันที่เพียงพอหรือไม่
ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (ชุดพีพีอี) กำลังขาดแคลนในทุกที่ และการนำไปใช้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์เป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นจึงจะต้องจัดลำดับความสำคัญเพื่อไว้ใช้ในยามจำเป็น รัฐบาลควรพิจารณามอบลำดับความสำคัญที่เหมาะสมแก่เรือนจำและสถานกักกันอื่นๆ และสร้างความมั่นใจในการส่งมอบเครื่องอุปโภคที่จำเป็น
วัตถุประสงค์เดียวของมาตรการทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันผู้คนในเรือนจำไม่ให้ป่วยใช่หรือไม่
มาตรการเหล่านี้แนะนำให้ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้โรคโควิด-19 เข้าสู่เรือนจำ เพื่อไม่ให้แพร่การติดเชื้อต่อภายในเรือนจำ และลดความเป็นไปได้ในการแพร่เชื้อจากเรือนจำออกสู่สังคมภายนอก อนามัยในเรือนจำเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณสุข ดังนั้นความล้มเหลวในการป้องกันโรคโควิด 19 ในการเข้าสู่เรือนจำก็จะส่งผลกระทบด้านลบต่อสังคมโดยรวมด้วย
ทำไมสังคมจึงควรให้ความสนใจกับสุขภาพอนามัยของผู้ต้องขัง
สิทธิของบุคคลทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะต้องได้รับการปกป้อง และมาตรการด้านสาธารณสุขทุกอย่างต้องทำโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ ตามหลักการว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนสากล รัฐมีหน้าที่รับรองว่าผู้ที่อยู่ในเรือนจำและสถานกักกันอื่นๆ ต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพที่มีมาตรฐานเดียวกันกับสังคมภายนอก โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติอันเนื่องมากจากสถานภาพทางสังคมของพวกเขา
เรือนจำที่มีคนหนาแน่นมากควรแก้ปัญหาอย่างไร
หน่วยงานของรัฐควรเข้ามาแก้ปัญหาความแออัดในเรือนจำโดยทันที รวมถึงมีมาตรการที่มีแนวทางร่วมกับคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลกในเรื่องของการรักษาระยะห่างทางกายภาพและมาตรการสุขภาพด้านอื่นๆ การปล่อยตัวบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกกักขังจากการกระทำผิดกฎหมายที่ไม่ได้รับการยอมรับภายใต้หลักกฎหมายสากล ซึ่งควรได้รับความสำคัญเป็นลำดับแรก ลำดับความสำคัญควรจัดให้แก่การปล่อยตัวผู้ที่มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และผู้อื่นที่มีความเสี่ยงจำเพาะเกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 (รวมถึงสตรีมีครรภ์)
ความรู้เรื่องแผนการสำหรับเหตุการณ์เฉพาะหน้าควรจำกัดไว้แค่หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านเรือนจำเท่านั้นหรือไม่
แผนการสำหรับเหตุการณ์เฉพาะหน้าควรเผยแพร่ให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคณะเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจำ เพื่อที่จะลดความกลัวและความวิตกกังวลที่ไม่จำเป็น
อะไรเป็นผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นหากโรคโควิด-19 แพร่ระบาดทั่วทั้งเรือนจำ
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำอย่างฉับพลันจะก่อให้เกิดความกดดันอย่างรุนแรงต่อระบบสาธารณสุข ผลที่ตามมาจะทำให้ความต้องการทางการแพทย์ของผู้ต้องขังในเรือนจำสูงกว่าที่ขีดความสามารถของระบบจะรองรับได้