ฝรั่งเศสล็อคดาวน์ทั้งประเทศ ออกจากบ้านต้องกรอกแบบฟอร์มพกติดตัว

นับถึงวันที่ 9 เมษายน 2563 ประเทศฝรั่งเศสตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 แล้วอย่างน้อย 118,781 คน และมีจำนวนผู้เสียชีวิต 12,228 คน เป็นประเทศที่จำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก 17 มีนาคม 2563 ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ประกาศล็อคดาวน์ประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า พื้นที่สาธารณะ สถานที่ท่องเที่ยวทั้งหลาย ถูกปิดชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการรวมตัวของคนหมู่มาก 

หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ วันที่ 24 มีนาคม 2563 เว็บไซต์เดอะโลคอลในประเทศฝรั่งเศสรายงานว่า รัฐบาลฝรั่งเศสโดยนายกรัฐมนตรี เอ็ดดูอาร์ด ฟิลิป (Édouard Philippe) ได้ออกรัฐกฤษฎีกา (Decree) และแถลงเกี่ยวกับกฎระเบียบการใช้ชีวิตของประชาชนในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า จะมีมาตรการลงโทษอย่างจริงจังสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎในช่วงนี้ เพราะรัฐบาลคำนึงถึงความปลอดภัยส่วนรวมเป็นสำคัญ 

ภาพถ่ายโดย Tantai Kulthani

 

มาตรการล็อคดาวน์ ยังไปซื้อของได้ ออกจากบ้านต้องกรอกแบบฟอร์ม

การล็อคดาวน์ประเทศ ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ในประเทศฝรั่งเศสรัฐบาลได้กำหนดข้อยกเว้นในการอนุญาตให้ประชาชนออกนอกบ้านได้ ในกรณีไปซื้ออาหาร ไปทำงาน ไปพบแพทย์ หรือการออกกำลังกายที่ไม่ติดต่อกับผู้อื่น  

หลักการทั่วไป คือ ทุกคนควรอยู่บ้านให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และให้ออกจากบ้านได้เท่าที่มีกิจธุระจำเป็นจริงๆ โดยทุกครั้งที่ออกจากบ้านต้องกรอกแบบฟอร์ม ระบุวันเวลา และกิจธุระที่จะออกไปทำ โดยหลักแล้วต้องการให้มีคนออกจากบ้านให้น้อยที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ โดยมีข้อยกเว้นหลายประเด็น 

สำนักข่าวเดอะ โลคัล สรุปคำอธิบายเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้อยู่อาศัยในฝรั่งเศส ภายใต้รัฐกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว โดยมีใจความสำคัญดังต่อไปนี้

ประการแรก การออกไปซื้อของ การออกนอกบ้านเพื่อซื้ออาหาร ข้าวของ เครื่องใช้ที่จำเป็น ยังสามารถทำได้ แต่ร้านขายของที่ไม่จำเป็นส่วนใหญ่อาจจะปิด ตลาดกลางแจ้งก็ปิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก สำหรับแหล่งซื้อของที่จำเป็นของย่าน ก็ให้นายกเทศมนตรีทำเรื่องขออนุญาตยกเว้นจากทางรัฐบาลได้ แต่ว่าตลาดจะต้องมีคนน้อยกว่า 100 คน 

ประการสอง การออกไปพบแพทย์ ประชาชนจำนวนมากที่ยังคงออกไปพบแพทย์ตามนัดหมายในเหตุอื่นที่ไม่ใช่โรคโควิดโดยไม่ได้มีความเร่งด่วนจำเป็น ในรัฐกฤษฏีกาดังกล่าวจึงระบุว่าอนุญาตให้เฉพาะคนป่วยฉุกเฉินหรือคนที่จำเป็นจริงๆ ไม่อนุญาตให้นัดพบแพทย์ในนัดที่สามารถเลื่อนหรือไปทำวันหลังได้ นัดหมายสำคัญที่เร่งด่วน เช่น การรักษามะเร็ง หรือผู้ป่วยโรคไต ยังสามารถทำได้ รวมถึงการฝากครรภ์ของผู้หญิงท้องหรือการยุติการตั้งครรภ์ก็สามารถทำได้

ประการที่สาม การออกกำลังกาย นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า การออกกำลังกายยังทำได้ แต่จะต้องกระทำในรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตรนับจากที่อยู่อาศัยของตัวเอง กำหนดเวลา 1 ชั่วโมงและจะต้องไปคนเดียวเท่านั้น การวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือพาสุนัขไปเดินเล่นก็ยังทำได้ แต่ไม่อนุญาตให้ออกกำลังกายโดยการขี่จักรยาน การขี่จักรยานจะทำได้เพื่อไปทำงานหรือไปซื้อของเท่านั้น แต่ในวันที่ 8 เมษายน 2563 นายกเทศมนตรีเมืองปารีส ออกคำสั่งห้ามออกกำลังกายในเมืองปารีสตั้งแต่ 10.00 – 19.00 น. โดยยังให้ออกมาเดินเล่นได้เพียงแต่ห้ามวิ่งจ๊อกกิ้ง 

ประการที่สี่ การทำงาน โดยหลักแล้วรัฐบาลต้องการให้ประชาชนทำงานจากที่บ้านทั้งหมดถ้าเป็นไปได้ (work from home) และนายจ้างมีหน้าที่ต้องปรับเปลี่ยนระบบการทำงานให้ทุกคนทำงานจากที่บ้านได้ แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับพนักงานที่มีความจำเป็นที่งานในความรับผิดชอบไม่สามารถทำจากที่บ้านได้ โดยไม่อาจเลื่อนกำหนดไปได้ สามารถเดินทางไปที่สำนักงานหรือจัดการธุระของตนได้ โดยการออกจากบ้านด้วยเหตุผลนี้ จะต้องกรอกแบบฟอร์มเฉพาะและต้องมีลายเซ็นของนายจ้างหรือหัวหน้ารับรอง 

ประการที่ห้า การขนส่งมวลชน รัฐกฤษฎีกาฉบับนี้กำหนดว่า ผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด โดยที่ห้ามไม่ให้มีการขายตั๋วบนรถ และผู้โดยสารที่ใช้บริการทุกคนจะต้องอยู่ห่างจากกันอย่างน้อย 1 เมตร ส่วนเรื่องการบริการส่งของ ไม่ได้ห้าม โดยรัฐบาลสนับสนุนให้คนซื้อของทางออนไลน์ แต่เพิ่มข้อบังคับไว้ว่า ห้ามไม่ให้มีการพูดคุยกันระหว่างผู้ส่งของและผู้รับของ และให้ยกเลิกการเซ็นรับของโดยให้ผู้ส่งวางของไว้ที่หน้าประตูบ้านเท่านั้น

ประการที่หก การไปเยี่ยมครอบครัว รัฐบาลสั่งห้ามไว้ใน พ.ร.ฎ. (Decree) ว่า ระหว่างระยะเวลาที่มีการล็อคดาวน์ประเทศ ห้ามไม่ให้ประชาชนเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวเพื่อป้องกันการกระจายตัวของไวรัส ยกเว้นกรณีจำเป็น เช่น ต้องไปดูแลเด็ก หรือผู้สูงอายุ

ประการที่เจ็ด นัดคดีความ ในกรณีที่ประชาชนมีนัดที่เกี่ยวกับกฎหมาย เช่น การต้องเข้าพบตำรวจ ไปศาล หรือต้องติดต่อกับทางราชการ ในรัฐกฤษฎีกาได้อนุญาตให้ออกนอกบ้านเพื่อไปจัดการธุระดังกล่าวได้ 

นอกจากจะต้องเป็นเหตุจำเป็นตามที่ระบุไว้ข้างต้นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลกำหนดให้ทุกคนที่ออกจากบ้านต้องมีคือ แบบฟอร์มที่ระบุวันที่และเหตุผลในการออกจากบ้าน โดยการออกนอกบ้านหนึ่งครั้งใช้แบบฟอร์มหนึ่งใบ หากบ้านไหนไม่มีเครื่องพิมพ์ก็สามารถเขียนด้วยลายมือขึ้นมาเองได้ และยังสามารถทำในระบบสมาร์ทโฟนได้แล้วด้วย

ตัวอย่างแบบฟอร์มการออกนอกบ้าน

อย่างไรก็ดี เนื้อหาในรัฐกฤษฎีกาฉบับนี้ เป็นเพียงกฎหมายกลางของประเทศเท่านั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังมีอำนาจในการออกกฎระเบียบในรายละเอียดเป็นของตัวเองให้แตกต่างไปได้ โดยมีตั้งแต่การออกประกาศเคอร์ฟิว หรือสั่งห้ามเดินทางเข้าพื้นที่บางแห่ง ประชาชนที่อยู่อาศัยในฝรั่งเศสจึงต้องศึกษากฎระเบียบของแต่ละท้องถิ่นประกอบกันด้วย

 

ฝ่าฝืนปรับ 135 ยูโร ถ้าฝ่าฝืนติดต่อกันมากๆ ถึงจะมีโทษจำคุก

เว็บไซต์ยูโรนิวส์ระบุว่า สถานีตำรวจกว่า 100,000 แห่งทั่วประเทศ ได้กระจายกำลังตำรวจออกตรวจตราประชาชน ซึ่งถ้าหากพบผู้ใดฝ่าฝืน รัฐบาลให้ถือว่ามีความผิดและกำหนดบทลงโทษไว้ว่า จะต้องถูกปรับเป็นเงิน 135 ยูโร ถ้ากระทำผิดซ้ำสองภายใน 15 วัน จะต้องถูกปรับ 1,500 ยูโร และกรณีถ้าฝ่าฝืนถึง 4 ครั้งภายใน 30 วัน ค่าปรับอาจสูงถึง 3,700 ยูโรและจำคุกไม่เกิน 6 เดือน 

เว็บไซต์อาร์เอฟไอ รายงานเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2563 ว่า ในฝรั่งเศสเป็นช่วงที่อากาศกำลังดี ทำให้ความเคารพกฎที่จะต้องจำกัดบริเวณตัวเองย่อหย่อนลง โดยมีข้อมูลว่า มีคนถูกปรับไปแล้ว 480,000 คน 

วันที่ 8 เมษายน 2563 ชายวัย 20 ปี จากตอนเหนือของฝรั่งเศสถูกตัดสินจำคุก 2 เดือน หลังจากที่เขาถูกจับได้ว่าละเมิดกฎ ออกจากบ้านทั้งที่ไม่มีแบบฟอร์มระบุเหตุผลในการออกจากบ้านติดต่อกัน 8 ครั้ง ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ชายวัย 22 ปีถูกตัดสินให้บำเพ็ญประโยชน์ 105 ชั่วโมง จากการฝ่าฝืนกฎหลายๆ ครั้งเช่นกัน

ภาพถ่ายโดย Tantai Kulthani

 

มาตรการควบคู่กับการล็อคดาวน์ประเทศ

นอกจากนี้ มาตรการที่รัฐบาลฝรั่งเศสจะดำเนินการควบคู่ไปกับการออกประกาศล็อคดาวน์ประเทศ คือ การเร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด ซึ่งเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2563 เว็บไซต์ฟรานซ์ทเวนตี้โฟร์ในประเทศฝรั่งเศส รายงานว่า โอลิวิเย่ เวครอง รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า จะจัดให้มีการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่า จำนวน 50,000 ครั้งต่อวันเพื่อเร่งหาจำนวนผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุดภายในสิ้นเดือนเมษายน รวมถึงมีนโยบายที่จะเพิ่มจำนวนชุดเครื่องตรวจเชื้อ (Test kit) มากกว่า 100,000 ชุด ให้แก่ประชาชนภายในเดือนมิถุนายน