ห้าปีห้าผู้คน เรื่องราวประสบการณ์ภายใต้การปกครองของคสช.

1 พฤศจิกายน 2562 ที่ WTF Gallery and café ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเปิดนิทรรศการ Never again หยุด ย่ำ ซ้ำ เดิน โดยมีการพูดคุยเรื่อง ห้าปีห้าผู้คน เรื่องราวประสบการณ์ภายใต้การปกครองของคสช.
 

0000

มัทนา อัจจิมา นักกิจกรรมทางการเมือง กล่าวว่า เธอมีความสนใจการเมือง หลังรัฐประหาร 2557 ทันทีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.ยึดอำนาจก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในทันที กิจกรรมคัดค้านอำนาจรัฐประหารจัดขึ้นหลายที่เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิหรือหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
 

 

หลังจากนั้นมีกรณีการคอร์รัปชั่นการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ สิรวิชญ์ หรือนิว นักศึกษาและนักกิจกรรมทางการเมืองได้จัดกิจกรรมนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ เธอก็ไปเข้าร่วมด้วย แต่ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ทหารตัดชบวนรถไฟที่ราชบุรี ทำให้เดินทางไปไม่ถึง ตอนที่ตัดขบวนรถไฟเพื่อนหลายคนที่มาร่วมกิจกรรมก็ตัดสินใจลงจากขบวนรถไฟ แต่เธอและเพื่อนบางส่วนห่วงสิรวิชญ์เลยอยู่ต่อบนขบวนรถไฟ
 

 

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวไปพูดคุย วันนั้นเจอพล.ต.วิจารณ์ จดแตง นายทหารพระธรรมนูญ (ยศในขณะนั้น) มาสอบปากคำ พล.ต.วิจารณ์ถามว่า รับเงินมาเท่าไหร่ เธอตอบว่า ไม่ได้รับเงินใครมา ไม่มีใครจ้าง และกลับคนที่ถูกควบคุมตัวมานี้ก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แค่อยากมาร่วมกิจกรรมเท่านั้น
 

 

ทหารพยายามจะให้เธอลงชื่อในบันทึกข้อตกลงที่มีเงื่อนไขไม่ให้ร่วมกิจกรรมทางการเมืองหรือเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก  เธอก็ไม่ยอม ยื้อกันทั้งวัน ในที่สุดเธอก็ยอมลงชื่อ แม้ว่าตามบันทึกข้อตกลงจะไม่ให้ร่วมกิจกรรมทางการเมืองอีก แต่หลังจากนั้นเธอยังเข้าร่วมกิจกรรมเหมือนเคย ในปี 2561 ร่วมกิจกรรมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจนเป็นเหตุให้มีคดีติดตัวสี่คดี
 

 

คดีแรกคือคดีการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่สกายวอล์ค ปทุมวัน ความรู้สึกแรกเมื่อรู้ว่า ตนเองตกเป็นผู้ต้องหาคือ ขำ ที่ขำเพราะคิดว่า การชุมนุมแบบนี้ไม่น่าจะเป็นคดีได้ และไม่ได้รู้สึกกลัว อาจคงเพราะมีเพื่อนที่ถูกดำเนินคดีร่วมกันเยอะด้วย ถ้าโดนคดีคนเดียวอาจจะกลัวก็ได้ แม้ว่าจะถูกคดี แต่พอมีนัดชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งอีก เธอก็ไปร่วมทุกครั้ง จนมีชื่อในคดีชุมนุมถึงสี่คดี
 

 

พอถูกดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เริ่มมาติดตามเยี่ยมบ้าน คอยถ่ายรูปที่หน้าบ้าน เวลาที่ตำรวจมาที่บ้านเขาไม่พูดอะไรเลยถ่ายรูปอย่างเดียว เป็นเธอเสียอีกที่พูดคุยถามว่า มาทำอะไร เขาก็จะตอบเหมือนเดิมว่า ไม่มีอะไรครับพี่ ส่วนที่ถามว่า ทำไมพี่ต้องไปให้กำลังใจคนอื่นที่ถูกคดีหรือทำกิจกรรมบ่อยๆ เพราะรู้สึกว่า ไปเถอะ ไปเป็นเพื่อน ไปให้กำลังใจกันเถอะ เขาให้กำลังใจเราบ้าง เราให้กำลังใจเขาบ้าง ไปบ่อยจนสนิทกับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ มาจนถึงวันนี้ยืนยันว่า ถ้ามีการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยอีกก็จะไปอีกแน่นอน
 

000

เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมืองและจำเลยคดีการเมือง กล่าวว่า เขาเริ่มต้นการเป็นจำเลยคดีการเมืองในปี 2554 เขานำวีซีดีสารคดีเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของไทย ซึ่งจัดทำเผยแพร่โดยสถานีโทรทัศน์แห่งชาติออสเตรเลีย (ABC) และเอกสารวิกิลีกส์ไปขายที่ม็อบแดงสยาม ปรากฏว่า ถูกตำรวจจับและกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่ในชั้นสอบสวนศาลสั่งปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้เขาอยู่ในคุกไม่กี่วัน ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งจำคุกสามปีสี่เดือน ศาลอุทธรณ์คงคำตัดสินตามศาลชั้นต้น ขณะที่ศาลฎีกาลดโทษให้หนึ่งในสิบ
 

 

ในชีวิตไม่เคยคิดว่า จะต้องเข้าคุก ตอนแรกในชั้นสอบสวนที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกรอขอปล่อยตัวชั่วคราวแปดวัน วันแรกที่นอนคุกเขารู้สึกว่า นี่ฝันไปไหม อยู่ไปสักสองวัน ก็คิดว่า มันก็ไม่ได้เลวร้ายกว่าที่คิด  ตอนนั้นเป็นช่วงปี 2554 พวกผู้คุม เขาก็ดี เรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวว่า อย่าไปบอกนักโทษคนอื่นนะว่า โดน 112 นะ เพราะว่า บางคนเขาอาจจะเป็น ‘เหลือง’ อาจจะไม่ชอบนะ แล้วมาหาเรื่องเรา
 

 

ต่อมาพอศาลสั่งจำคุกก็เป็นช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตอนนั้นบรรยากาศค่อนข้างเปิด เข้าไปก็ถูกจัดให้อยู่แดนหนึ่ง ตอนแรกราชทัณฑ์ให้ทำงานในห้องสมุด ซึ่งสมยศ พฤกษาเกษมสุข อยู่ทำงานด้วย
 

 

ปี 2558 ย้ายไปทำงานที่โรงเลี้ยง เขาอธิบายว่า เรือนจำมีทั้งหมดแปดแดน เวลาทำอาหารจะทำที่โรงครัว แดนแปดแดนเดียวและนำรถไปขนมาที่โรงเลี้ยงของแต่ละแดน คนทำงานที่โรงเลี้ยงของแต่ละแดนจะจัดอาหารสามมื้อคือ มื้อเช้า เริ่มกินเวลา 7.00 น. มื้อเที่ยงเริ่มกินประมาณ 11.00 น. และมื้อเย็น หรือเรียกว่า มื้อบ่ายดีกว่า เริ่มกินประมาณ 14.00-15.00 น. ที่ต้องเริ่มกินมื้อเย็นเร็วเพราะว่า เรือนจำจะให้ผู้ต้องขังขึ้นโรงนอนช่วง 15.00 น. แม้ว่า ป้ายจะบอกว่า ให้ขึ้นโรงนอน 18.00 น.ก็ตาม 
 

 

เขาถูกคุมขังอยู่สองปีแปดเดือนและถูกปล่อยตัวออกมามาปลายปี 2558 รัฐประหารไปแล้ว ปี 2559 ไม่ได้ทำอะไรแล้ว เขารู้สึกว่า ไม่มีอะไรดีขึ้น
 

 

เขารู้สึกว่า เริ่มหนักขึ้นในปี 2561 กรณีนาฬิกาของพล.อ.ประวิตร จึงตัดสินใจติดตามเรื่องนี้อย่างหนัก ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวฉาวหลายเรื่อง เช่น การซ้อมนักเรียนเตรียมทหารจนตาย เป็นเรื่องที่ฮือฮา แต่อย่างเก่งคือ เดือนหนึ่ง เรื่องก็เงียบแล้ว หลายข่าวเป็นแบบนี้ตลอด เขาไม่ยอมจึงเคลื่อนไหวให้ข่าวเรื่องนาฬิกาของพล.อ.ประวิตรอยู่ในกระแสประมาณปีหนึ่ง
 

 

ตอนที่เคลื่อนไหวเคยถูกทำร้ายหลายครั้ง ช่วงปี2560 -2561 โดนทำร้ายที่ป้ายรถเมล์ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ก็จับได้ทันควัน ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์มีคนมาดักทำร้ายที่ป้ายรถเมล์แถวบ้าน เข้ามาชกที่หน้าเลย แต่เขาจำหน้าได้จึงไปแจ้งความกับตำรวจ สักพักหนึ่งตำรวจออกหมายจับคนทีทำร้ายได้ เหตุการณ์ทิ้งระยะมาถึงเดือนเมษายน 2561 เขาได้ยินข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจัดงานสงกรานต์ที่บ้าน จึงนัดกับโชคชัย ไพบูลย์รัชตะว่า จะไปเยี่ยมพล.อ.ประวิตร แต่ปรากฏว่า ไม่ทันได้ไปตำรวจแห่มาที่บ้าน เอารถตู้สน.โชคชัย พาตัวไปไว้ที่ บกน.4 หลังสน.หัวหมาก กักตัวไม่ยอมให้ออกและปล่อยเราออกมา 11.00 น.หลังจากที่งานเสร็จ
 

 

ต่อมาเดือนมกราคม 2562 มีคนมาเผาประตูรถยนต์ ไม่เสียหายมากนัก ต่อมาเดือนเมษายน 2562 หลังจากที่ไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับฟอร์ด เส้นทางสีแดง ก็มีคนร้ายสามคนมาเผารถยนต์ของเขาทั้งคัน จนเสียหายไม่สามารถกลับมาใช้ได้อีก
ณ วันนี้เขามีแปดคดีที่ขึ้นศาล มีคดีที่จบในชั้นสอบสวนสองคดี แต่ยังยืนยันว่า จะสู้และเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่อไป

 

000

ยาน มาแชล ชาวต่างชาติทำคลิปวีดีโอล้อเลียนเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” กล่าวว่า ห้าปีที่แล้วหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ รัฐประหาร เขาเขียนแพลงคืนความสุข แสดงความตั้งใจในการบริหารประเทศ หลังจากห้าปีผ่านไป มีการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมที่เป็นเพียงแค่การให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจต่อไป มันทำให้เราเห็นชัดเจน ความตั้งใจที่แท้จริงคืออะไร ดังนั้เขาจึงทำคลิปที่แปลงเนื้อหาของเพลงคืนความสุขว่า “….เราจะทำผิดสัญญา ขอเวลาอีกนานๆ แล้วระบอบเผด็จการจะอยู่ค้ำฟ้า….แดกเงินภาษีของเธอประชาชน”
 

 

ตามปกติแล้วเวลาที่เขาทำคลิปวิดีโอนั้นจะมีคนดูประมาณ 5,000 วิว ถ้าประสบความสำเร็จจะประมาณ 10,000 วิว คลิปนี้จริงไม่ถึง 24 ชั่วโมงมีผู้ชมประมาณล้านกว่าวิว วันรุ่งขึ้น ตอนเช้าตำรวจกดกริ่งหน้าบ้านแต่เขาไม่ได้ยิน ตำรวจก็รออยู่ทั้งวัน จนกระทั่งช่วง 16.00 น. เขาออกมานอกบ้านพอดีเจอกับตำรวจที่รออยู่ บอกให้เขาเซ็นสัญญาว่า จะหยุดทำคลิปแบบนี้ ถ้าไม่เซ็น เขาจะไปบอกเจ้านายและไม่รับรองว่า จะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายเขาจึงยอมเซ็น โดยมีเงื่อนไขว่า ขอถ่ายเอกสาร และโพสต์เอกสารบนเฟซบุ๊ก ทำให้สื่อมวลชนสามารถเข้าถึงได้ เอกสารรับรองว่า เขาโดนตำรวจข่มขู่จริงๆ

 

 

 

000

 

กัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ธีรวุฒิ กล่าวว่า “…ตัวตนของสยาม เป็นเด็กดี ไม่ใช่ว่า แม่เป็นแม่แล้วพูดเข้าข้างไม่ใช่แบบนั้น เขาเป็นคนดีจริงๆ พูดจานุ่มนวลอ่อนหวาน ต่อมาเขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ บอกกับแม่ว่า จะไปเล่นละตรกับเพื่อนสักหน่อยเพราะเพื่อนขาดคน เพื่อนคือกลุ่มประกายไฟ แม่ไม่ทราบว่า เล่นที่ไหน รู้แค่ว่า ไปร่วมเล่นเขาไม่รู้ตัวว่าจะโดนคดีแบบนี้
 

 

ต่อมามีการรัฐประหาร คสช.ประกาศเรียกรายงานตัว สยามเลือกที่จะหนี เขาบอกว่า เล่นละครแค่นี้ ไม่ถึงกับผิดขนาดนั้น ต่อมาตำรวจมาตามที่บ้าน แม่บอกว่า ไม่ทราบ เพราะเขาไม่ได้บอกว่า จะไปไหน ตอนนั้นปี 2557 เขาออกจากบ้าน เขาร่ำลาว่า ผมไปหลายวันหน่อยนะแม่ แม่ไปส่งที่ป้ายรถเมล์ แม่มีตังค์ติดสี่ร้อยบาทเองก็ให้เขาไป เขาไม่ได้บอกว่า ไปนอกประเทศไทย เขาบอกว่า ไปหาเพื่อนไปหาอาจารย์ ไม่คิดว่า เขาพูดกับแม่ว่า จะเจอแบบนี้ผมไม่ยอมให้เขาจับติดคุกนะ ผมแสดงละครแต่ต้องติดคุก นี่ไม่ใช่ประเทศไทยแล้ว
 

 

ตอนที่อยู่ต่างประเทศ มีการติดต่อไลน์มาบอกว่า แม่ผมสบายดี ครั้งสุดท้ายที่ติดต่อมา คือเขาคุยกับน้องสาวว่า ปีใหม่อวยพรให้กัน ปลายปี 2561 เขาไม่บอกว่า จะไปไหนต่อ และเงียบไปเลย ตอนที่เงียบไปแม่แค่คิดว่า เขาคงจะย้ายที่อยู่อีกแล้วมั้ง สี่เดือนก็ไม่ติดต่อ เพื่อนๆก็เริ่มสงสัย แต่ข่าวล่าสุดคือโดนจับที่เวียดนาม ต่อมา 8 พฤษภาคม 2561 แม่ไปที่กองปราบญ เขาปฏิเสธทุกรุปแบบว่า ไม่ได้เอาตัวกลับมา แม่ไปตามตัวสยามหลายที่
 

 

สยามหายไปพร้อมกับลุงสนามหลวงและกฤษณะ ทัพไทย จนถึงวันนี้ยังไม่มีข่าวคราวเลย ทางการไม่ได้สนใจ มีข่าวออกแค่ไม่กี่ช่อง มีคนพูดว่า ป่านนี้โยนให้ไอ้เข้กินแล้ว เชือดคอแล้ว บางครั้งตำรวจก็โทรมา อย่าตามเลยแม่ แม่เล่นอยู่กับอะไรแม่ไม่รู้หรือไง  แต่จะต้องเข้มแข็งเพื่อรอคำตอบจากคนที่เราไปติดต่อ ช่วยเหลือ เรารอคำตอบว่า สยามยังมีชีวิจอยู่ตรงนี้ หรือชิ้นส่วนที่เหลือ เอาของมาคืนให้เรา ตายก็ขอให้ชิ้นส่วนหลับมา ไม่ใช่เงียบหายไปเหมือนกับเขาไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ ผิดแค่นี้เอาถึงชีวิต แม่ว่า คนเหล่านี้ก็คงไม่ใช่คน
 

 

หลังจากที่ตามเรื่องสยาม มีตำรวจมาตามแม่ ถามว่า แม่เจอสยามยัง แม่ก็อ้าว คุณเป็นตำรวจ แม่เป็นแม่บ้านจะรู้ไหม เมื่อสักครู่ก็ตำรวจสันติบาลโทรมา ถ้าหากว่า ทุกคนได้ประสบพบแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร อยากถามตำรวจว่า ทำเพื่อใคร ทำทำไม ลูกเราเล่นละครแค่นี้ถึงจะเอาชีวิตกัน ถ้าวันนี้เขายังอยู่ก็คงอายุ 34 ปี ทุกวันนี้เราก็จะตามหาอยู่ เห็นที่ไหนก็บอกแม่นะ แม่รออยู่ที่บ้าน…”
 

 

 

000

ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ นักกิจกรรมทางการเมือง กล่าวว่า “…จริงๆแล้วเราสนใจการเองในช่วงหลังรัฐประหาร รู้สึกรุนแรงมากในการรัฐประหารครั้งนี้ แต่ก็มีชีวิตปกติดีเล่นเฟซบุ๊ก วันหนึ่งอานนท์ นำภารู้ว่า โบว์ตีขิมเป็น อานนท์บอกว่า จะจัดกิจกรรมเปิดหมวกช่วยเหลือนักโทษทางการเมือง มาช่วยเล่นขิมได้ไหม โบว์ก็ตกลง นั่นคือการลงถนนครั้งแรก
 

 

ถามว่า การทำกิจกรรมมันกระทบกับหน้าที่การงานไหม แรกๆไม่เท่าไหร่ แต่พอมันถลำเข้ามาเรื่อยๆจากที่เล่นขิม เริ่มกิจกรรม คนอยากเลือกตั้งเป็นความบังเอิญที่เข้ามาเป็นแกนนำเพราะว่า ตอนแรกโบว์ก็จัดงานเสวนาของโบว์อยู่ดีๆที่ทองหล่อ วันนั้นโรมจัดกิจกรรมที่สกายวอล์ค วันเดียวกัน โรมก็ชวนไป อยากให้ไปเร็วหน่อย เราก็บอกว่า เรามีอ่านแถลงการณ์ตอนเย็นด้วย โรมบอกว่า ไปอ่านที่งานเรียกร้องการเลือกตั้งเลยตอนต้น ชีวิตก็เลยเปลี่ยน
 

 

ตอนที่หมายแรกไปถึงบ้านมันก็มีสั่นๆเหมืนอกันนะ เพราะปกติจะโดนใบสั่งเรื่องขับรถทับเส้น อีกนัยหนึ่งก็สะใจเพราะอย่างนี้ก็สนุกเพราะตำรวจตั้งข้อหาที่เกินจริง หาความชอบธรรมให้ตัวเองไม่ได้หรอก เราพูดอะไรก็จะถูก เราก็รู้สึกสนุกแล้ว
 

 

กับลูกชาย ตอนโดนคดีก็ไม่ได้บอก แต่จะบอกเวลาที่ไปศาลและเสี่ยงว่า ไม่ได้ประกันเราก็จะบอกลูกว่า ถ้าศาลไม่ให้ออกมาแม่จะอยู่ในคุกประมาณ 12 วัน ลูกก็อึ้งๆ บางครั้งที่บอกแวบแรกเขาจะยิ้มเหมือนคนที่ยิ้มแบบไม่มั่นใจ
 

 

เจ้าหน้าที่รัฐคุกคาม แรกสุดคือ ปกติเวลาเขาคุกคาม บ้านพี่รุน(มัทนา อัจจิมา) เขาจะไปแบบแสดงตัว บอกให้รู้ว่าเขามา นัยหนึ่งขู่ให้ครอบครัวกลัว แต่กับแกนนำ อย่างของโบว์เขาก็จะไม่แสดงตัว จะออกมาแนวสอดแนบ รปภ.ที่หมู่บ้านจะบอกว่า มีรถไม่มีทะเบียนมาถ่ายรูปนะ มีการขับรถตาม ตอนนั้นโบว์ไม่รู้ตัว เพราะพอขึ้นรถแล้วโบว์จะทำนู่นทำนี่หลายอย่าง นอกจากนี้มีการสอดแนมแอบถ่าย ทำลายชื่อเสียงตามที่เคยรู้กัน

ที่ทำกิจกรรมไปทั้งหมดก็คาดหวังภาพกว้างให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย ความคิดความเชื่อ วิธีที่ปฏิบัติต่อกัน มีความเคารพในสิทธิเสรีภาพ รู้สึกว่า พวกเราเท่าเทียมกัน ความหวังแบบนี้ใช้เวลา ไม่จบในวันนี้ มันเป็นการเดินทาง…”