ดันกฎหมายคู่ชีวิตต่อ-เครือข่ายLGBT ยื่นหนังสือท้วงติง

19 เม.ย. 56 คณะกรรมาธิการการยุติธรรม การกฏหมาย และสิทธิมนุษยชน จัดงานเสวนา "ความหลากหลายทางเพศกับกฎหมายการจดทะเบียนคู่ชีวิตของไทย" เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.การจดทะเบียนคู่ชีวิต ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อรับรองสถานะความหลากหลายทางเพศ ให้คนเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนเป็นคู่ชีวิตกันได้ และจะมีสิทธิตามกฎหมายเสมือคู่สมรสชายหญิง

 

นที ธีระโรจนพงษ์ ตัวแทนกลุ่มกิจกรรมความหลากหลายทางเพศ กล่าวว่า ตนก็เสียภาษี พอมีการเลือกตั้ง ก็ไปใช้สิทธิทุกครั้ง แล้วทำไมจะจูงมือคู่รักไปจดทะเบียนสมรสไม่ได้ ศักดิ์ศรีของพวกเราไม่ได้รับการดูแลกับเท่ากับคู่ชายหญิงทั่วไป พอไปจดทะเบียนสมรสก็ถูกปฏิเสธ โดยอธิบายว่า เป็นคนเพศเดียวกัน แต่รัฐธรรมนูญ มาตรา 30 กำหนดไว้ว่า "การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศ จะกระทำมิได้" และยังมีการบันทึกในเจตนารมณ์ไว้ด้วยว่า เพศ ไม่ได้หมายความเฉพาะ ชายหรือหญิง คือรวมถึงเพศสภาพอื่นๆ คำถามคือ แล้วมีเหตุผลอะไรอีกที่เราจะจดทะเบียนกันไม่ได้

เหตุผลสำคัญในการผลักดัน ร่างพ.ร.บ.การจดทะเบียนคู่ชีวิต คือเราต้องการศักดิ์ศรีความเป็นคนไทยเหมือนอย่างชายหญิงทั่วไป นอกจากนี้ก็ต้องการความคุ้มครองทางกฎหมายด้วย หากใครคนหนึ่งเกิดประสบอุบัติเหตุ เกิดต้องมีการผ่าตัด คู่ชีวิตของเราก็เซ็นให้ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร และเหตุผลสุดท้าย คือ อยากเห็นเมืองไทยเป็นบ้านเมืองที่เจริญ มีสิ่งดีงามมากมายเกิดขึ้น รอบโลกกว่า 30 ประเทศเขามีกฎหมายคู่ชีวิตแล้ว อยากเห็นสายตาของโลกมองมาที่ไทยแล้วบอกว่า เป็นประเทศที่เจริญ โอบอ้อมอารี และเคารพความเท่าเทียมของมนุษย์


 

พันตำรวจเอก ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของคนทุกกลุ่ม แน่นอนว่ารวมถึงกลุ่มความหลากหลายทางเพศด้วย กรณีกฎหมายแพ่ง มาตรา 1448 กำหนดไว้ว่า "การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว"เกิดคำถามว่า ถ้าไปผ่าตัดแปลงเพศแล้ว จะสามารถสมรสกันได้หรือไม่ ตรงนี้มีคำตอบตามคำพิพากษาศาลฏีกาว่า "หญิง" ตามพจนานุกรมคือ คนที่ออกลูกได้ หมายความว่าคนที่แปลงเพศมาแล้ว แม้จะสามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้ ก็ไม่อาจจะเป็นหญิงได้ เพราะไม่สามารถออกลูกได้ นี่ก็เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข

แต่หากมองไปประเทศต่างๆ ประเทศที่ดูจะเป็นอนุรักษ์นิยมมากๆ อย่างเนปาล ก็ออกกฎหมายให้สามารถเปลี่ยนคำนำหน้านามตามเพศสภาพที่ปรากฏตามจริง แม้แต่ศาลฏีกาของเนปาลก็อนุญาตให้สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ บางประเทศเขากำหนดให้มีเรื่อง LGBT อยู่ในหลักสูตรการศึกษาเลย ส่วนประเทศเรายังอยู่เพียงขั้นตอนของการผลักดันกฎหมายอยู่

ปัจจุบันยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการกำหนดให้การรักเพศเดียวกันเป็นความผิดอาญา หลายประเทศมีโทษถึงประหารชีวิต เช่น เยเมน โซมาเลีย ซูดาน อิหร่าน หรือบางประเทศก็กำหนดให้มีโทษขั้นสูงให้จำคุกตลอดชีวิต เช่น มาเลเซีย แต่ทั้งนี้ก็มีประเทศที่มีความก้าวหน้ามากเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ อาจแบ่งได้ 3 ระดับ หนึ่งคือประเทศที่เปิดกว้างให้จดทะเบียนสมรสกันได้เลย เช่น อาร์เจนติน่า โปรตุเกส สวีเดน สเปน สองคือ ประเทศที่อนุญาตเฉพาะบางรัฐ เช่น บางรัฐในอเมริกา เม็กซิโก บราซิล ส่วนระดับที่สาม คือ ไม่ใช่การจดทะเบียนสมรส แต่เป็นการรับรองการเป็นคู่ชีวิต เช่น ฟินแลนด์ เยอรมัน อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศไทยกำลังจะเดินตามโมเดลนี้

 

นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิชกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า สังคมสร้างอะไรบางอย่างไว้ เช่น บอกว่า ในโลกมีแค่เพศหญิงหรือชายเท่านั้น แต่ความจริงมีเยอะกว่านั้น ก็เหมือนสีที่ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ แต่มีเขียว แดง อะไรอีกมากมาย แม้แต่ในวงการแพทย์เอง ในอดีตก็เคยถือว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นลักษณะการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง ถึงที่สุดเขาก็ต้องการความคุ้มครองทางกฎหมาย ต้องการสิทธิเกี่ยวกับครอบครัว เรื่องนี้ยังถือเป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทย ถ้าเราก้าวข้ามจุดนี้ไปได้ จะมีอีกหลายเรื่องที่พัฒนาตามไปด้วย

ในช่วงท้ายของงานเสวนา เครือข่ายความหลากหลายทางเพศแห่งประเทศไทยได้ยื่นจดหมายเปิดผนึก เป็นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.การจดทะเบียนคู่ชีวิต ต่อ พล.ต.อ.วิรุณห์ พื้นแสน ประธานคณะกรรมาธิการการยุติธรรม การกฏหมาย และสิทธิมนุษยชน ซึ่งทางเครือข่ายเห็นว่ายังมีข้อน่ากังวลอยู่หลายประการ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

1. ร่างพระราชบัญญัติจดทะเบียนคู่ชีวิตจะต้องระบุหลักการและเหตุผล ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของกฎหมายว่า ประสงค์จะสร้างความเท่าเทียมและยุติการเลือกปฏิบัติที่มีอยู่ในระบบกฎหมายและสังคมไทย

2. ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ยังขาดข้อกำหนดเรื่องบุตร ซึ่งบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายนี้อาจมีบุตรได้ไม่ว่าจะเป็นบุตรจากการสมรสครั้งก่อน หรือบุตรบุญธรรม

3. เงื่อนไขเกี่ยวกับอายุของบุคคลที่จะจดทะเบียนคู่ชีวิตได้ ควรใช้เงื่อนไขเดียวกับชายหญิงที่จะจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ อายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ ไม่ควรมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เพราะถือเป็นการเลือกปฏิบัติ

4. การบัญญัติว่าให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจออกกฎกระทรวง กำหนดขั้นตอนวิธีการจดทะเบียนคู่ชีวิต ตามพระราชบัญญัตินี้ ควรเพิ่มเติมไปด้วยว่า “โดยมิให้แตกต่างจากระเบียบขั้นตอนการจดทะเบียนสมรสที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน” เพื่อให้เกิดมาตรฐานในหลักการปฏิบัติ

5. การใช้คำว่าให้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้ “โดยอนุโลม” ตามพระราชบัญญัตินี้ อาจเปิดช่องให้มีการตีความผ่านดุลยพินิจส่วนบุคคลของผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจเป็นการตีความในลักษณะจำกัดสิทธิ ดังนั้นภาครัฐจึงควรจัดอบรมแก่ผู้บังคับใช้กฎหมายทุกระดับ อันจะนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริงได้

[ ดูรายละเอียดจดหมายเปิดผนึกฉบับเต็มได้ตามไฟล์แนบด้านบน ]

 

ไฟล์แนบ