ร่าง พ.ร.บ.เอ็นพีโอ: เปิดทาง “สอดส่อง-สั่งปิด” องค์กรภาคประชาชน

ในวันที่ 25 มีนาคม 2565 จะเป็นวันสุดท้ายที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. … หรือ ร่าง พ.ร.บ.องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรฯ (NPO Bill) โดยเหตุผลประกอบร่าง พ.ร.บ. ระบุว่า เพื่อรส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งขององค์กรไม่แสวงหากําไรให้สามารถดําเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและมีธรรมาภิบาล

ร่างกฎหมายนี้ บางคนรู้จักในชื่อเล่นว่า “กฎหมายเอ็นจีโอ” หรือ กฎหมายควบคุมการรวมกลุ่ม สาระสำคัญ คือ การวางมาตรการให้องค์กรภาคประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบสมาคม มูลนิธิ หรือคณะบุคคลต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรเพื่อให้รัฐและสาธารณชนเข้าถึง ซึ่งรวมทั้งแหล่งที่มาของเงินทุน รวมถึงต้องไม่กระทำการอันกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี และไม่ก่อให้เกิดความแตกแยก เป็นต้น

บังคับเปิดเผยข้อมูลแหล่งทุน เปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่าย ต่อสาธารณะ

ภายใต้ ร่าง พ.ร.บ.องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรฯ กำหนดให้ “องค์กรไม่แสวงหากำไร” หรือ คณะบุคคลภาคเอกชนที่ไม่ว่าจะจัดตั้งในรูปแบบใดๆ เพื่อทำกิจกรรมโดยไม่มุ่งแสวงหากำไร มีหน้าที่เปิดเผยข้อมูล ได้แก่ ชื่อขององค์กร วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง วิธีดำเนินงาน แหล่งที่มาของเงินทุน และรายชื่อผู้รับผิดชอบดำเนินงาน โดยให้หน่วยงานของรัฐและบุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจะกำหนดขึ้นภายหลัง (มาตรา 19)

อีกทั้ง ในกรณีที่องค์กรไม่แสวงหากำไรได้รับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาคจากแหล่งเงินทุนต่างประเทศ ให้องค์กรแจ้งชื่อแหล่งเงินทุนต่างประเทศ แจ้งชื่อบัญชีธนาคารที่จะรับเงิน จำนวนเงิน และวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงิน และการรับเงินต้องรับผ่านบัญชีที่แจ้งไว้เท่านั้น รวมถึงต้องใช้เงินจากแหล่งทุนตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งต่อรัฐไว้เท่านั้น และต้องไม่ใช้เงินที่ได้รับมาเพื่อดำเนินกิจกรรมในลักษณะ “แสวงหาอำนาจรัฐ” หรือ “เอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมือง” (มาตรา 21)

นอกจากนี้ กรณีได้รับรายได้จากการรับเงินบริจาคจากบุคคลทั่วไปหรือจากแหล่งเงินทุนต่างประเทศ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในแต่ละรอบปีปฏิทิน และเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลนั้นโดยง่าย และต้องเก็บรักษาข้อมูลไว้ให้ตรวจสอบเป็นเวลาสามปี (มาตรา 22)

โดยการบังคับให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวจะมี ‘นายทะเบียน’ ซึ่งหมายรวมตั้งแต่ปลัดกระทรวง พม. และข้าราชการที่ปลัดกระทรวง พม. แต่งตั้ง เป็นผู้ตรวจสอบว่า องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่างๆ ได้ดำเนินการตามกฎหมายหรือไม่ หากไม่ดำเนินการเปิดเผยข้อมูล นายทะเบียนมีอำนาจออกคำสั่งให้องค์กรนั้นๆ “หยุดดำเนินกิจกรรม” ขององค์กรจนกว่าจะดำเนินการเปิดเผยข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด

“สั่งปิด” ได้ หากเห็นว่ากระทบความมั่นคง-ศีลธรรมอันดี

ร่าง พ.ร.บ.องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรฯ กำหนดข้อห้ามไม่ให้องค์กรแสวงหาผลกำไรดำเนินงานในลักษณะดังต่อไปนี้

  • กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ รวมถึงความมั่นคงของรัฐด้านเศรษฐกิจ หรือ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม
  • กระทบต่อประโยชน์สาธารณะรวมทั้งความปลอดภัยสาธารณะ
  • เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมาย
  • เป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือ กระทบต่อความเป็นอยู่โดยปกติสุขของบุคคลอื่น

ทั้งนี้ หากพบว่า องค์กรไม่แสวงหากำไรดำเนินงานเข้าข่ายตามข้อห้ามที่กฎหมายกำหนด ให้นายทะเบียนแจ้งเตือน และสั่งให้หยุดการกระทำหรือแก้ไขการกระทำให้ถูกต้อง แต่หากยังฝ่าฝืนให้ออกคำสั่งยุติการดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว (มาตรา 20)

แม้ว่า ร่าง พ.ร.บ.องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรฯ จะกำหนดกลไกการบังคับให้องค์กรไม่แสวงหากำไรต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้หยุดการดำเนินงาน หรือ ให้ยุติการดำเนินงาน แต่ในกฎหมายยังมีการกำหนดบทลงโทษไว้เพิ่มอีก ดังนี้

  • หากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลตามที่รัฐกำหนด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือ ปรับวันละ 1,000 บาท จนกว่าจะดำเนินการตามที่รัฐต้องการ (มาตรา 25)
  • หากองค์กรภาคประชาชนไม่หยุดการดำเนินงานตามข้อห้ามที่กฎหมายกำหนด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือ ปรับวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะดำเนินการตามที่รัฐต้องการ  (มาตรา 26)
ไฟล์แนบ