ยกระดับสิทธิเสรีภาพ เพิ่มอำนาจรัฐสภา งดข้อยกเว้นศาล
1. ยกระดับสิทธิเสรีภาพครอบคลุมกติการะหว่างประเทศ
2. ยกระดับสิทธิประกันตัวต้องรวดเร็ว ห้ามขังเกิน 1 ปี
3. คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก ติชมด้วยความเป็นธรรมถูกจำกัดไม่ได้
4. เพิ่มสิทธิสาธารณสุข “เสมอกัน” ไม่ต้องยากไร้ก็ได้รักษาฟรี
5. ลดภาระพรรคการเมือง ไม่ยุบพรรคพร่ำเพื่อ
เปรียบเทียบ ม.54 วรรคหนึ่ง กรอบการจัดทำร่างกฎหมายลูกว่าพรรคการเมือง | |
รัฐธรรมนูญ 2560 | ร่างรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย |
กําหนดพรรคการเมืองให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ |
การบริหารพรรคการเมืองซึ่งต้องมีความเป็นอิสระเปิดเผย ตรวจสอบได้
|
เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกําหนดนโยบาย และการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
|
การเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง
|
กําหนดมาตรการให้สามารถดําเนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงําหรือชี้นํา โดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น
|
การเป็นสมาชิกพรรคการเมืองซึ่งต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจและไม่เสียค่าใช้จ่าย
|
มาตรการกํากับดูแลมิให้สมาชิกของพรรคการเมือง กระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง | การจัดตั้งพรรคการเมืองจะต้องไม่มีขั้นตอนและความยุ่งยากเกินควร |
การยุบพรรคการเมืองจะทำได้เฉพาะกรณีที่ปรากฎพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อล้มล้างการปกครอง |
6. ห้ามศาลและเจ้าหน้าที่รัฐยอมรับการทำรัฐประหาร เป็นประเพณีการปกครอง
ในร่างรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยได้เพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐประหารอีกหนึ่งมาตรา คือ มาตรา 49/1 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1) การทำรัฐประหารและการนิรโทษกรรมแก่ผู้ทำรัฐประหารจะกระทำมิได้
2) ห้ามไม่ให้ศาล หน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐยอมรับการทำรัฐประหาร
3) ความผิดจากการทำรัฐประหารไม่ให้มีอายุความ
4) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านรัฐประหารหรือการกระทำอื่นที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจด้วยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยสันติวิธี
5) การปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหาร ให้ถือเป็นประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
7. ฟื้นคำสั่งเรียก กมธ. ไม่ยกเว้นศาล และองค์กรอิสระ
หลังมีสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2560 คำสั่งเรียกของกรรมาธิการกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในการเรียกผู้มีอำนาจทั้งจากรัฐบาลและกองทัพเข้ามาชี้แจงข้อสงสัยต่างๆ รวมทั้งการเรียกเอาข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยมีพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการฯ กำหนดโทษแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติคำสั่งเรียกด้วย อย่างไรก็ตามเครื่องมือนี้ได้ถูกทำลายความศักดิ์สิทธิ์ลงเมื่อ ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จนในที่สุดพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของกรรมาธิการฯ ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ
ปัจจุบันรัฐธรรมนูญมาตรา 129 วรรคสี่ กำหนดให้ คณะกรรมาธิการของสภามีอำนาจเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในเรื่องที่กำลังพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่ได้ แต่การเรียกนั้นไม่ให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพากษาและตุลาการที่ปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในกระบวนวิธีพิจารณาอรรถคดี หรือการบริหารงานบุคคลของแต่ละศาล และไม่ให้ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย เสนอให้ยกเลิก มาตรา 129 วรรคสี่ และใช้ความนี้แทน “คณะกรรมาธิการตามวรรคหนึ่ง มีอำนาจออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำ หรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้ และให้คำสั่งเรียกดังกล่าวมีผลบังคับตามที่กฎหมายบัญญัติ” โดยเพิ่มความชัดเจนให้คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย และตัดข้อยกเว้นที่รัฐธรรมนูญ 2560 มอบให้กับศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระออกไป
แก้ระบบเลือกตั้งกลับไปเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540
ร่างแก้ไขรัฐธรรนูญ ที่พรรคเพื่อไทยเสนอ ต้องการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งกลับไปคล้ายกับระบบของปี 2540 โดยให้มี ส.ส. 500 คน มาจากการเลือกตั้งระบบแบ่งเขต 400 คน และระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ
พรรคเพื่อไทยยังเสนอให้ปรับลดเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำที่พรรคการเมืองจะได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อเหลือเพียงร้อยละ 1 (มาตรา 91) จากเดิมที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 กำหนดให้พรรคการเมืองต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ถึงจะมีสิทธิได้รับที่นั่ง ส.ส. บัญชีรายชื่อ นอกจากนี้ ร่างของพรรคเพื่อไทยยังกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องประกาศผลการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง (มาตรา 85)
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในร่างของพรรคเพื่อไทยคือการลดอำนาจ กกต. จากเดิมที่มีอำนาจในเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งชั่วคราว เพิกถอนสิทธิในการรับสมัครหรือเลือกตั้ง รวมไปถึงการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือที่เรียกว่าการแจกใบเหลือง ใบส้ม หรือใบแดงแก่ผู้สมัคร ส.ส. โดยร่างของพรรคเพื่อไทยเสนอให้เป็นอำนาจของศาลในการวินิจฉัยแทน (มาตรา 92)
เปิดทางให้นายกรัฐมนตรีมาจาก ส.ส. ได้ ยกเลิกนายกฯ คนนอก
รัฐธรรมนูญ 2560 สร้างล็อกเอาไว้ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอเท่านั้น ทำให้ว่าที่นายกรัฐมนตรีปัจจุบันเหลืออยู่เพียงห้าคน คือ ว่าที่นายกรัฐมนตรีบัญชีจากพรรคเพื่อไทยสามคน พรรคประชาธิปัตย์หนึ่งคน และพรรคภูมิใจไทยหนึ่งคน ดังนั้นถ้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่ง ก็มีเพียงสองวิธี คือ ให้เสนอชื่อว่าที่นายกฯ จากบัญชีพรรคการเมือง หรือนายกฯ คนนอก ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชี
ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยจึงยกเลิกมาตรา 158 วรรคหนึ่ง เพื่อเปิดให้ ส.ส. จากพรรคการเมืองที่มี ส.ส. ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรสามารถเป็นนายกฯ ได้ ซึ่งปัจจุบัน ประกอบด้วยห้าพรรคการเมือง คือ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคก้าวไกล รวมทั้งการยกเลิกมาตรา 272 ไม่ให้ ส.ว. มีอำนาจลงคะแนนเลือกนายกฯ อีก รวมทั้งปิดช่องทางนายกฯ คนนอกด้วย
ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ และยุติการนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร
ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย เสนอยกเลิกมรดกของคณะรัฐประหารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศทั้งหมด โดยแก้ไขมาตรา 142 และมาตรา 162 วรรคหนี่ง ให้การเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ และแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ไม่ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
รวมทั้งยกเลิกมาตรา 279 มาตราสุดท้ายของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่นิรโทษกรรมการทำต่างๆ ของ คสช. ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วกฎหมาย