ค้านร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับ คสช. หวั่นชุมชนล่มสลาย

   
รวมพลังชาวบ้านหลายพื้นที่สัมปทานเหมืองแร่เมืองเลย ค้านร่างกฎหมายแร่ฉบับ คสช.หวั่น Mining Zone ทำชุมชนล่มสลาย
27 กรกฎาคม 2559  เวลาประมาณ 14.00 น.  ชาวบ้านหลายพื้นที่ในจังหวัดเลย  ประกอบด้วย  กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน  ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง  พื้นที่ต่อต้านเหมืองทองคำ  กลุ่มฮักบ้านฮั่นแน้ว  ต.เชียงกลม อ.ปากชม  พื้นที่ต่อต้านการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ถ่านหินบิทูมินัส  กลุ่มอนุรักษ์ภูหินเหล็กไฟ  ต.นาดินดำ อ.เมือง  พื้นที่ต่อต้านการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองแดงและเหล็ก  และกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดอุมุง  ต.บุฮม  อ.เชียงคาน  พื้นที่ต่อต้านกรณีการทำเหมืองแร่เหล็ก อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย  ประมาณ 100 คน  ได้รวมตัวกันในนาม ‘เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย’  ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเลยเพื่อขอคัดค้าน ‘ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ….’  ที่กำลังอยู่ในขั้นพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อยู่ในขณะนี้  ที่ศาลากลางจังหวัดเลย 
โดยมีข้อเรียกร้องว่า  ตามที่ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ….  ฉบับที่ สนช. ตั้ง ‘กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ….’  เพื่อพิจารณาอยู่ในขณะนี้  เพื่อต้องการบรรลุเป้าหมายสำคัญอย่างน้อย 4 ประการนั้น  จะก่อให้เกิดความล่มสลายอย่างรุนแรงต่อชุมชนทั่วประเทศได้
โดยเป้าหมายสำคัญอย่างน้อย 4 ประการดังกล่าว  ประกอบด้วย
1. การกันเขตทรัพยากรแร่  หรือ Mining Zone  ออกจากพื้นที่หวงห้ามตามกฎหมายอื่นให้ชัดเจน  เนื่องจากกฎหมายแร่ที่ผ่านมาและที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีข้ออ่อนอยู่อย่างหนึ่ง  นั่นคือ  ไม่มีสิทธิในพื้นที่/ที่ดินเป็นของตนเอง  เมื่อเทียบกับกฎหมายป่าไม้ฉบับต่าง ๆ จะเห็นสภาพได้ชัดเจนว่ากฎหมายป่าไม้มีสิทธิใน ‘พื้นที่ป่าไม้’  เป็นของตนเอง  แต่กฎหมายแร่ไม่มีสิทธิใน ‘พื้นที่แร่’ เป็นของตนเอง  จึงทำให้การจะอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานในการสำรวจและทำเหมืองแร่ต้องขออนุญาตใช้พื้นที่ตามกฎหมายอื่นมาโดยตลอด  ซึ่งยุ่งยาก  เดินเรื่องหลายขั้นตอน  และไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมและเด็ดขาดในพื้นที่ที่ขออนุญาต  เป็นเพียงการเช่าหรือยืมใช้พื้นที่ในระหว่างอายุสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่เท่านั้น  เมื่อหมดอายุสัมปทานก็ต้องคืนและฟื้นฟูพื้นที่กลับสู่การใช้และการสงวนหวงห้ามตามกฎหมายอื่นเช่นเดิม
ด้วยเหตุนี้เอง  ข้ออ่อนนี้ทำให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในประเทศไทยเข้าสู่หนทางตีบตันพอสมควรในการเปิดให้เอกชนมาลงทุนขอสัมปทานในพื้นที่ใหม่ ๆ ที่มีแร่ปรากฎอยู่  หากไม่แก้หลักการนี้ที่จะทำให้กฎหมายแร่มีสิทธิใน ‘พื้นที่แร่’ เป็นของตนเอง  ก็จะทำให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในประเทศไทยเข้าสู่หนทางตีบตันยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ   
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา  ตลอดร้อยกว่าปีของประวัติศาสตร์กฎหมายแร่ไทยก็จะเห็นร่องรอยการต่อสู้ในเรื่องนี้มาโดยตลอด  จนมาสบโอกาสในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  ที่มองเห็นโอกาสว่าหลักการ Mining Zone  มีลักษณะใกล้เคียงไม่ต่างจากการผลักดัน ‘เขตเศรษฐกิจพิเศษ’  ดังนั้น จึงน่าจะอาศัยโอกาสนี้ในการผลักดันให้แก้ไขปรับปรุงกฎหมายแร่ทั้งฉบับด้วยการเสนอให้มี Mining Zone ในร่างกฎหมายแร่ฉบับนี้
ผลเสียหายที่จะเกิดขึ้น  คือ  หลักการของ Mining Zone มีลักษณะกดทับและลดสถานะกฎหมายอื่น (Overrule) เสียจนทำให้กฎหมายหลักหลายฉบับกลายเป็นกฎหมายประกอบในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่มากจนเกินไป  จนทำให้พื้นที่ทุกประเภทที่ไม่เหมาะสมต่อกิจกรรมสำรวจและทำเหมืองแร่ต้องถูกทำลายจนเสื่อมโทรมและเสียสภาพทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยาไปจนหมดสิ้นได้  ไม่ว่าพื้นที่เหล่านั้นจะเป็นชุมชน  แหล่งที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของประชาชน  พื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์  แหล่งอาศัยสำคัญของสัตว์ป่าและพรรณพืชหายาก  พื้นที่ชุ่มน้ำ  หรือพื้นที่อ่อนไหวทางระบบนิเวศอื่น ๆ ตั้งแต่พื้นที่บนภูเขาสูงไปจนถึงที่ราบต่ำและชายทะเล  และพื้นที่หวงห้ามตามกฎหมายอื่น  เช่น  พื้นที่ ส.ป.ก.  พื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร  พื้นที่ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ทางโบราณวัตถุ  โบราณสถาน  หรือแหล่งฟอสซิลที่ควรค่าแก่การศึกษาและอนุรักษ์ไว้  ฯลฯ  ก็ไม่ถูกละเว้น
  
2. การลดขั้นตอนการขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้  เพื่อความรวดเร็วต่อเอกชนที่จะเข้ามาลงทุน  โดยเฉพาะขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการปรึกษาหารือกับประชาชนในพื้นที่สัมปทาน  การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้ความเห็นเพื่อพิจารณาการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่  เช่น  การทำประชาคมหมู่บ้าน  และมติจาก อบต. หรือเทศบาล  เพื่ออนุญาต/ไม่อนุญาตให้เอกชนดำเนินการยื่นคำขอประทานบัตรต่อไปได้  เพื่อเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบในการขอใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์  พื้นที่ป่าไม้และพื้นที่ ส.ป.ก.  เพื่อเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบในการขอใช้พื้นที่โบราณวัตถุหรือโบราณสถาน  พื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร  พื้นที่อยู่อาศัยและทำกินของประชาชน  ฯลฯ  จะถูกตัดทิ้งหมด  เนื่องจากปัญหาใหญ่ของการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ในประเทศไทยที่มีเอกสารยื่นคำขอสัมปทานตกค้างอยู่หลายพันฉบับ  เพราะไม่สามารถดำเนินการอนุมัติ/อนุญาตให้ได้ก็ด้วยเหตุที่การคัดค้านของประชาชนในพื้นที่ขอสัมปทานต่าง ๆ นั้นเอง
3. ทำให้หน่วยงานในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่  คือ  กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เป็นหน่วยงานเดียวและใช้กฎหมายฉบับเดียว (คือกฎหมายแร่) ในการบริการเพื่อให้ได้รับอนุมัติ/อนุญาตสัมปทาน  หรือ One Stop Service  เพื่ออำนวยความสะดวกให้เอกชนไม่ต้องยุ่งยากในการเดินเรื่องประมูลหรือขอสัมปทานกับหลายหน่วยงานและหลายกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  เพราะใช้เวลานานและเชื่องช้า  ไม่ตอบสนองการอำนวยความสะดวกและเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ลงทุน  รวมถึงเป็นหน่วยงานเดียวที่มีสิทธิ  อำนาจและหน้าที่อย่างเต็มที่ในการบริหารจัดการแร่ในพื้นที่ Mining Zone ที่ถูกตัดแบ่งออกมาจากพื้นที่หวงห้ามตามกฎหมายอื่นด้วย
   
4. จัดทำรายงาน EIA/EHIA สำหรับพื้นที่ที่มีแร่อุดมสมบูรณ์ล่วงหน้าไว้ก่อน  แล้วนำพื้นที่ที่มีแร่อุดมสมบูรณ์ที่ผ่านความเห็นชอบ EIA/EHIA แล้วเปิดให้เอกชนประมูลเพื่อเข้ามาทำเหมืองแร่ได้เลย
ซึ่งหลักการนี้ในร่างกฎหมายแร่เป็นหลักการที่ขัดและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายสิ่งแวดล้อม  หรือพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๓๕  ที่ออกประกาศตามความพระราชบัญญัติดังกล่าวระบุให้การทำเหมืองแร่ทุกประเภทและขนาดต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA/EHIA) ในขั้นตอนการขอประทานบัตร  นั่นหมายถึงว่าการทำเหมืองแร่ในพื้นที่พิเศษนี้ไม่ต้องมีหรือไม่ต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนการขอประทานบัตรอีกต่อไป
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด  จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยส่งหนังสือของชาวบ้านยื่นต่อ สนช. เพื่อขอให้ถอนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ….  ออกทั้งฉบับเสีย  และให้นำร่างกฎหมายแร่ฉบับประชาชนที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ได้ร่างเอาไว้แล้วนำมาพิจารณาแทน  เพื่อเห็นแก่ความเดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศที่อาจจะเกิดความล่มสลายได้หากร่างกฎหมายแร่ฉบับใหม่ถูกประกาศใช้บังคับ  เพราะจะเปิดโอกาสให้รัฐและเอกชนนำพื้นที่ป่าและที่ดินทำกินของราษฎรที่อาศัยอยู่ในเขตป่า  พื้นที่ ส.ป.ก.  พื้นที่สาธารณประโยชน์  หรือพื้นที่หวงห้ามตามกฎหมายอื่นใดอีกมาประมูลเพื่อการสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่เต็มไปหมด
นอกจากนี้กลุ่มฮักบ้านฮั่นแน้วยังได้ยื่นหนังสืออีกฉบับหนึ่งเพื่อขอให้ยกเลิกการให้สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ในเขตท้องที่ตำบลเชียงกลมแก่เอกชนรายใด ๆ ก็ตามทั้งหมดโดยเด็ดขาดด้วย  เนื่องจากขณะนี้มี หจก.ไทยเจริญไมนิ่ง  และบริษัท ซี.เอส.เอ็น ไมนิ่ง จำกัด  ได้เข้ามาบุกรุกที่ดินทำกินชาวบ้านด้วยการปักหมุดเขตคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ถ่านหิน (ชนิดบิทูมินัส)  โดยไม่แจ้งและขออนุญาตแก่เจ้าของที่ดินแต่อย่างใด  และหวั่นเกรงว่าพื้นที่ทำกินและห้วยน้ำลำธารที่ใช้อาศัยหาอยู่หากินส่วนใหญ่จะได้รับความเสียหายหากเกิดการทำเหมืองแร่ถ่านหินขึ้นจริงจนถึงขั้นก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างรุนแรง  
  
จากการยื่นหนังสือขอคัดค้านพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. …. ของชาวบ้าน 4 กลุ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยออกมารับหนังสือจากชาวบ้านด้วยตัวเอง  โดยได้กล่าวกับชาวบ้านว่า  “เพิ่งได้รับทราบว่ามีร่างกฎหมายแร่ฉบับนี้ขึ้นมา”  และรับปากกับชาวบ้านว่า  “จะส่งหนังสือตามข้อเรียกร้องของชาวบ้านทั้งสองฉบับ  ฉบับที่ค้านร่างกฎหมายแร่จะส่งไปยังเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  และอีกฉบับที่ขอให้หยุดการให้สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ในเขตท้องที่ตำบลเชียงกลม อ.ปากชม โดยเด็ดขาดจะส่งไปยังสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอปัญหาชาวบ้าน” 
พร้อมกันนี้ยังได้พูดถึงกรณีการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ถ่านหินของ หจก.ไทยเจริญไมนิ่ง  และบริษัท ซี.เอส.เอ็น ไมนิ่ง จำกัด  ในพื้นที่เขตแหล่งแร่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2534  ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเขาแก้ว-ดงปากชมว่า  อยู่ในขั้นตอนที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลยต้องทำประกาศให้ผู้ที่มีส่วนได้เสียยื่นหนังสือคัดค้านการขอประทานบัตร  ซึ่งชาวบ้านต้องแสดงเจตจำนงในการคัดค้านการขอประทานบัตรดังกล่าว  และขั้นตอนต่อมา หจก.ไทยเจริญไมนิ่งและบริษัท ซี.เอส.เอ็น ไมนิ่ง จำกัด  ผู้ยื่นขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ถ่านหินต้องทำประชาคมหมู่บ้านเพื่อรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ถ่านหิน  และนำเรื่องเข้าสภาเทศบาลพิจารณาให้มีมติ
นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยยังได้เชิญชวนชาวบ้านให้ไปใช้สิทธิในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม 2559  อีกด้วย  “จะการับหรือไม่รับก็เป็นสิทธิ์ของทุกท่าน  ขอให้พิจารณากันให้ดี”  ผู้ว่าฯกล่าวทิ้งท้าย
ต่อจากนั้นชาวบ้านได้รวมตัวกันรณรงค์สั้น ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยการ  ชูมือเป็นกากบาทและตะโกนเสียงดังว่า  “ไม่รับร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่”  และ  “เหมืองแร่ ออกไป”  เป็นเวลาหลายครั้งโดยพร้อมเพรียงกัน