แหวน-ณัฏฐธิดา มีวังปลา อดีตอาสาสมัครพยาบาลที่รอดชีวิตระหว่างการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553 และพยานปากสำคัญในคดี “6 ศพ วัดปทุมวนาราม” ได้กล่าวในงานเสวนา “เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย” ว่า หลังการรัฐประหารในปี 2557 ที่นำโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เธอต้องเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมนานัปประการ โดยที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธออย่างที่ควรจะเป็น
แหวน-ณัฏฐธิดา กล่าวว่า เธอเป็นผู้ประสบเหตุ เป็นทั้งเหยื่อ เป็นผู้ถูกกประทำ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเป็นมนุษย์คนเดียวที่ยังเหลืออยู่บนโลกใบนี้จากเหตุการณ์จากเหตุการณ์ 6 ศพวัดปทุม เป็นตัวแทน 99 ศพ เป็นตัวแทนของ ผู้ต้องขังที่ถูกกักขัง โดยไร้สิทธิในการประกันตนทั้งประเทศ โดยในยุคของคสช. ในเหตุการณ์รัฐประหาร ปี 2557 เธอถูกจับกุมโดยอาศัยเพียงแค่ “เหตุสงสัย” เป็นการจับกุมโดยไม่มีหมายจับ และผู้ที่จับกุมเธอก็เป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่มีอาวุธยุทธโธปกรณ์ครบมือ ในขณะที่เธอเป็นเพียงแค่ประชาชนตัวคนเดียว
แหวน-ณัฏฐธิดา กล่าวถึงสิ่งที่เธอได้พบและได้เจอมาว่า ในการจับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยที่เป็นเพศหญิง เจ้าหน้าที่รัฐได้ทำการล่วงละเมิดทางเพศ มีการลวนลามอนาจาร มีการเปิดเสื้อขึ้นดูรอยสัก หน้าอก การจับต้องอวัยวะเพศหญิงในจุดสงวนว่าใหญ่แค่ไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ต้องสงสัยถูกผูกผ้าปิดตา และเมื่อมีการพาตัวมาที่สถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐจะมีการยื่นข้อเสนอให้ร่วมหลับนอนกับเจ้าหน้าที่เพื่อแลกกับการหลุดพ้นจากคดี หรือ ได้รับการช่วยเหลือในทางคดี
แหวน-ณัฏฐธิดา กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัย หรือ “เหยื่อ” ที่ถูกจับกุมเข้าค่ายทหารยุคคสช. จะถูกสอบสวนโดยการตั้งคำถามในลักษณะของการชี้นำ หรือ มีลักษณะเป็นการบังคับให้ยอมรับตามสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐตั้งข้อสันนิษฐานไว้ ถ้าหากไม่ตอบแบบที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องการ ก็มีการข่มขู่ว่าจะไม่รับประกันชีวิตและความปลอดภัยของตัวผู้ต้องหา รวมถึงคนรอบตัว อาทิ คนในครอบครัวด้วย