การทำร้ายเอกชัย หงส์กังวาน

อัปเดตล่าสุด: 17/02/2563

ผู้ต้องหา

เอกชัย หงส์กังวาน

สถานะคดี

อื่นๆ

คดีเริ่มในปี

2561

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

เอกชัย หงส์กังวาน หรือ เอก นักกิจกรรมเดี่ยวที่ออกมาเคลื่อนไหวและต่อสู้กับรัฐบาล คสช. อย่างไม่ลดละ เอกชัยนั้นเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 2560 ในกรณีหมุดคณะราษฎรที่หายไป และยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจุจบัน ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงเรื่องนาฬิการหรูของพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ จัดกิจกรรมรณรงค์ไม่เลื่อนเลือกตั้ง ร้องเรียนให้ตรวจสอบจริยธรรมหมอเหรียญทอง และล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนกกต.
 
เอกชัยถูกข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ถูกเผารถยนต์ รวมกัน 9 ครั้ง เขาจะไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกครั้งหลายครั้ง 
 
       

ภูมิหลังผู้ต้องหา

เอกชัย หงส์กังวาน ขณะถูกทำร้ายครั้งแรกอายุ 39 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างอิสระ โดยก่อนหน้านี้เอกชัยเคยถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จากการขายซีดีสารคดีของสำนักข่าว ABC และแจกเอกสารจากวิกิลีกส์ 9 ตุลาคม 2558 ศาลฎีกาพิพากษาให้เอกชัยต้องรับโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยเขาถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ในเดือนมีนาคม 2556 จนได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558
 
เอกชัย เคยทำอาชีพขาย "หวยบนดิน" จนกระทั่งมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้อาชีพนี้ถูกยกเลิกไป เขาติดตามการเมืองในฐานะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยตรง และเป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดง
 
หลังถูกปล่อยตัวจากเรือนจำ เอกชัยยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองในทางที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองของ คสช. และใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งใช้เฟซบุ๊กของตัวเองบอกเล่าประสบการณ์ และเรื่องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เคยพบเจอระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำด้วย
 
เอกชัย ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองเชิงสัญลักษณ์หลายครั้ง ซึ่งใช้เทคนิคการ "ไต่เส้น" ทำกิจกรรมที่ไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย แต่สร้างความลำบากใจให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เช่น การประกาศจะนำหมุดคณะราษฎรจำลองไปใส่ไว้แทนที่ "หมุดหน้าใส" การประกาศว่าจะใส่เสื้อแดงในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 จนกระทั่งในช่วงเดือนมกราคม 2561 ระหว่างที่มีกระแสเรื่องนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองหัวหน้า คสช. ที่ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน เอกชัยก็ทำกิจกรรมเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อมอบนาฬิกาของตัวเองให้กับ พล.อ.ประวิตร ติดต่อกันอยู่หลายวัน จนกระทั่งถูกดักทำร้าย
 
ในยุคของ คสช.​ เอกชัยเคยถูกดำเนินคดีหลายครั้ง เช่น ถูกดำเนินคดีพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊กเล่าเรื่องเพศสัมพันธ์ในเรือนจำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคดีที่เห็นได้ชัดว่า ต้องการตั้งข้อหาเพื่อให้เขาหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกตั้งข้อกล่าวหาตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯ จากการเปิดเพลง 'ประเทศกูมี' หน้ากองทัพบก ถูกตั้งข้อกล่าวหาฐานแจ้งความเท็จ จากการกล่าวหา ผบ.ทบ.ว่า เป็นกบฏ เตรียมทำรัฐประหาร รวมทั้งถูกตั้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 จากการร่วมชุมนุมเรียกร้องการเล่ือกตั้งด้วย
 

 

ข้อหา / คำสั่ง

อื่นๆ

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

พฤติการณ์การจับกุม

ไม่มีข้อมูล

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

ไม่มีข้อมูล

ศาล

ไม่มีข้อมูล

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
 
19 มกราคม 2561
 
การทำร้าย ครั้งที่ 1
 
ประชาไท รายงานว่า เอกชัย และโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ เดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อทำกิจกรรมนำนาฬิกาจำนวน 3 เรือน และโปสเตอร์คอลเล็คชั่นนาฬิกา 25 เรือน มาให้ พล.อ.ประวิตร เมื่อเดินทางถึงทำเนียบรัฐบาล เอกชัยถูกฤทธิไกร ชัยวรรณศาสน์ ปาแก้วน้ำใส่ หลังจากเขาเพิ่งลงจากรถเมลล์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวฤทธิไกรได้ทัน ภายหลังพบตรวจพบว่า ฤทธิไกร พกมีดพับความยาว 3 นิ้วไว้ที่ตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา พกพาอาวุธมีดไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร โดยเจ้าหน้าที่ส่งฟ้องต่อศาลในวันเดียวกัน และศาลมีคำพิพากษาปรับ 1,000 บาท
 
23 มกราคม 2561
 
ประชาไท รายงานว่า เอกชัย และโชคชัยเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อจัดกิจกรรมมอบนาฬิกา 3 เรือน ให้ พล.อ.ประวิตร อีกครั้ง โดยครั้งนี้มีป้ายไวนิลที่ใส่เนื้อหาข่าวเรื่องนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งถูกสื่อต่างประเทศนำเสนอมาประกอบด้วย หลังจากเสร็จกิจกรรม เอกชัย แยกย้ายกับโชคชัย เพื่อเดินทางกลับบ้าน 14.00 น. ระหว่างที่เอกชัยลงจากรถเมล์และกำลังเดินเข้าซอยบ้าน เขาถูก ฤทธิไกร ชัยวรรณศานส์ ดักทำร้ายร่างกาย โดยถูกชกจนปากแตก
 
จากนั้นเขาได้แจ้งความมกับ สน.ลาดพร้าว ข้อหาทำร้ายร่างกาย
 
 
8 กุมภาพันธ์ 2561
 
ประชาไท รายงานว่า ตำรวจจาก สน.ลาดพร้าว โทรศัพท์แจ้งเอกชัยว่า ฤทธิไกร เดินทางมามอบตัวที่สถานีตำรวจนี้ช่วงเช้า พร้อมให้การรับสารภาพกรณีทำร้ายร่างกาย ตำรวจจึงส่งฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือ (ถ.รัชดาภิเษก) ช่วงบ่าย
 
ตำรวจแจ้งว่า ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุให้บรรเทาโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี
 
 
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px ‘Helvetica Neue’} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px ‘Helvetica Neue’; min-height: 14.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Thonburi} span.s1 {font: 12.0px Thonburi} span.s2 {font: 12.0px ‘Helvetica Neue’}

14 สิงหาคม 2561 

 

การทำร้าย ครั้งที่ 3

 

ประชาไท รายงานว่า ระหว่างที่เอกชัยกำลังเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อมอบของขวัญวันเกิดให้กับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เอกชัย ถูกชายนิรนาม 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ ตามสาดน้ำปลาร้าใส่ บริเวณป้ายรถเมล์ใกล้กับโรงพยาบาลมิชชั่น ถนนสวรรคโลก เมื่อเวลาประมาณ 09.25 . 

 

เอกชัยเล่าว่า ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2561 เขาได้โพสต์สเตตัสในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า จะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ เพื่อมอบของขวัญวันเกิดย้อนหลังให้กับพลเอกประวิตร ในวาระครบ 73 ปี โดยของขวัญที่จะนำไปมอบนั้นคือ นาฬิกา ที่ตั้งใจจะมอบให้กับพลเอกประวิตรมาตั้งแต่ช่วงต้นปี หลังจากเกิดการขุดคุ้ย ตรวจนาฬิกาหรูที่พลเอกประวิตรใส่ทั้งหมด 25 เรือน 

 

เอกชัย เดินทางมาจากบ้านโดยรถเมล์ เมื่อเดินทางมาถึงป้ายรถเมล์บริเวณถนนสวรรคโลก ใกล้กับโรงพยาบาลมิชชั่น เขาได้ลงจากรถเมล์ จากนั้นก็พบชายนรินาม 2 คน ขับขี่รถจักยานยนต์ ไม่ทราบรุ่น ชายทั้งสองสวมหมวกกันน็อค และรถที่ขับขี่มานั้นไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยชายที่เป็นผู้ซ้อนได้เมื่อเห็นเขาลงจากรถก็ได้วิ่งมาประชิด และสาดน้ำปลาร้าที่ใส่มาในถังพลาสติกสีเขียวใส่เขา แล้วรีบวิ่งกลับไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ก่อนจะขับออกไป โดยทิ้งถังพลาสติกไว้ รูปพรรณสันฐานของผู้ก่อเหตุมีรูปร่างผอม อายุประมาณ 20-30 ปี เขาระบุด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีพยานที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่วงเช้า และเป็นชั่วโมงเร่งด่วน

 

จากนั้นเอกชัย ได้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อขอเข้าพบพลเอกประวิตร แต่ก็ไม่สามารถเข้าพบได้ จึงได้เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.นางเลิ้ง ข้อหาทำร้ายร่างกาย พร้อมกับเก็บถังพลาสติกสีเขียวไปเป็นหลักฐานส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าจะประสานเพื่อตรวจสอบภาพผู้ก่อเหตุจากกล้องวงจรปิดบริเวณนั้นต่อไป

 

22 สิงหาคม 2561
 
การทำร้าย ครั้งที่ 4
 
ประชาไท รายงานว่า เวลา 12.00 น. หลังจากกลับจากการทำกิจกรรมที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อลงจากรถประจำทางบริเวณปากซอยบ้าน เอกชัย เห็นผู้ชายสองคนจอดมอเตอร์ไซค์รออยู่หน้าอู่รถชื่อ Tyre Plus (ไทร์พลัส) ปากซอยลาดพร้าว 107 และมองมาที่เอกชัย ทำให้รู้สึกผิดสังเกตแต่ก็ยังเดินต่อเพื่อเข้าบ้านที่อยู่ในซอยถัดไป พอเลี้ยวเข้ามาในซอยลาดพร้าว 109 ซอย 1 เดินจนถึงซอยเชื่อมระหว่างซอย 1 และ 3 จนใกล้จะถึงบ้านแล้ว ได้มีคนตะโกนเรียกชื่อ หันไปดูเห็นเป็นชายสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาข้างหลังแล้วก็จอด ชายหนึ่งในสองคนได้เอาหมวกกันน๊อกฟาด ระหว่างที่เอกชัยถูกทำร้าย มีผู้ชายคนที่สามเพิ่มมาอีกและเอาไม้มาตี 4-5 ที เอกชัย จึงยกแขนกันเอาไว้ แต่ระหว่างที่ชายคนที่สามเอาไม้ตีอยู่ อีกสองคนก็ยืนดู พอชายคนที่สามตีจนไม้หลุดมือไปได้หันไปหาไม้อันอื่นจะมาตีเขาอีก เอกชัย จึงรีบวิ่งเข้าบ้าน 
 
หลังเกิดเหตุ เอกชัย เดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.ลาดพร้าว และถูกส่งตัวไปรักษาและตรวจสอบบาดแผลที่โรงพยาบาล จากการตรวจรักษาพบว่ากระดูกนิ้วก้อยและนิ้วนางข้างซ้ายหัก แพทย์ได้ใส่เฝือกใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1 เดือน 
 
ต่อมาตำรวจจับกุมคนร้าย 1 คน คือ กำธร ธรรมขันธ์ (อายุ 20 ปี) ล่าสุดอัยการส่งหนังสือมาสอบถามถึงการเรียกร้องค่าเสียหายในคดี อย่างไรก็ตามกำธรได้ให้การว่าตนเพียงแต่รับจ้างขี่มอเตอร์ไซด์มาเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นผู้ว่าจ้าง และไม่ยอมให้ข้อมูลว่าใครเป็นผู้ว่าจ้างและบุคคลใดร่วมกระทำความผิดบ้าง
 
 
24 สิงหาคม 2561
 
เอกชัย เดินทางมาพบกับนักข่าวบริเวณประตู 4 ทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อชี้แจงกรณีที่ถูกทำร้ายร่างกายหลังการทำกิจกรรมทางการเมือง เอกชัย เรียกร้องต่อ คสช. ว่า ที่ผ่านมาหลังถูกดักทำร้ายมาแล้วสามครั้งยังไม่ได้ยินอะไรที่ชัดเจนจาก คสช. ซึ่งขอให้ คสช. แสดงความจริงใจว่า ต้องดำเนินคดีกับคนก่อเหตุ มิฉะนั้นสังคมจะตั้งคำถามได้ว่า คสช. รู้เห็นเป็นใจกับเหตุการณ์นี้หรือไม่
 
"เหมือนตอนแรกเขาพยายามให้ไม้นวมมากล่อม แต่พอไม่ได้ผลก็ใช้คดีมากล่อมผม พอกรณีของคุณศรีวราห์ทำแล้วไม่ได้ผล ก็ถูกดักทำร้ายร่างกายครั้งแรก แต่ครั้งนั้นโชคดีตำรวจจับตัวได้ ถัดมาอีกหนึ่งสัปดาห์คนเดิมก็ไปดักรอที่ปากซอยบ้านอีก จากนั้นเป็นต้นมาก็เหมือนการทำร้ายจะเบาลงจนกระทั่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มาโดนอีกครั้งหนึ่ง" เอกชัย กล่าว
 
 
19 มกราคม 2562
 
การทำร้าย ครั้งที่ 5
 
ประชาไท รายงานว่า เวลาประมาณ 19.15 น. หลังจากเลิกจากกิจกรรมรณรงค์ ไม่เลื่อนเลือกตั้งร่วมกับกลุ่มของ 'ฟอร์ด เส้นทางสีแดง' ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ เอกชัย พร้อมเพื่อนนักกิจกรรมอีกคนกำลังเดินทางกลับบ้านโดยจะเดินไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อไปขึ้นรถที่จอดไว้
 
เมื่อถึงบริเวณโค้งหยดน้ำใกล้กับสะพานพระปิ่นเกล้า ในเวลาประมาณ 19.15 น. ก็ได้มีชายฉกรรจ์จำนวน 4 คนซึ่งเดินตามมา โดย 3 คนเข้ามารุมทำร้ายร่างกายเอกชัยจากทางด้านหลัง ส่วนอีกคนยืนคอยคุมเชิง แต่เพื่อนเอกชัยที่เดินมาด้วยเข้ามาห้ามปรามจึงถูกทำร้ายไปด้วย ต่อมา มีนักท่องเที่ยวไม่แน่ใจว่าเป็นชาวจีนหรือชาวเกาหลีประมาณสิบคนเดินผ่านมาพบและได้เข้าทำการช่วยเหลือ ไล่ชกต่อยชายที่เข้ามาทำร้ายเอกชัย จนคนร้ายทั้งสี่ต้องวิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์จำนวนสองคันที่จอดเอาไว้ขับหลบหนีไป เอกชัยโดนต่อยบริเวณใบหน้า และโดนเตะบริเวณศีรษะ แต่ได้เอาแขนขึ้นมารับไว้จึงมีรอยช้ำที่แขนด้วย ส่วนเพื่อนนักกิจกรรมอีกคนโดนชกต่อยทำร้ายแว่นตาหัก ปากแตกและคิ้วแตก
 
หลังจากนั้นเอกชัยเข้าแจ้งความที่ สน.ชนะสงครามแล้วจึงไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลวชิระพยาบาล 
 
 
26 มกราคม 2562
 
การทำร้าย ครั้งที่ 6
 
ประชาไท รายงานว่า เวลา 3.00 น. คนร้ายลอบเผารถยนต์ของเอกชัยที่จอดไว้หน้าบ้าน โดยภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า คนร้ายมีเพียง 2 คน โดยอีกคนยืนดูต้นทาง ส่วนผู้ก่อเหตุสวมเสื้อคลุมและใส่หมวกปิดบังหน้าตา ได้ใช้ขวดน้ำมันฉีดไปที่รถยนต์ของเอกชัย จากนั้นได้จอกไฟเผา และรีบวิ่งหนีไป เอกชัย ได้แจ้งความต่อ สน.ลาดพร้าวแล้ว
 
 
5 มีนาคม 2562
 
การทำร้าย ครั้งที่ 7
       
ประชาไท รายงานว่า เอกชัยเดินทางไปยังสำนักงานเลขาแพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข ถนนติวานนท์ จ.นนทบุรี เพื่อให้การต่อคณะอนุกรรมการจริยธรรมชุดที่ 14 ของแพทยสภา หลังจากที่ได้ยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบจริยธรรมของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎวัฒนะ
 
เวลาประมาณ 16.00 น.  ระหว่างเดินทางกลับ เอกชัย ถูกชายนิรนาม 2 คน ขับขี่จักรยานยนต์ไม่ติดป้ายทะเบียน คนขับสวมหมวกกันน็อคเต็มใบ สวมแจ็คเก็ตสีดำ ส่วนคนซ้อนสวมหมวกกันน็อคครึ่งใบ สวมเสื้อลายพรางสีน้ำตาล และผ้าปิดจมูกลายพราง เข้ามาทำร้ายร่างกาย โดยคนหนึ่งถือท่อนไม้ขนาดใหญ่เข้าตีหัวเอกชัยอย่างแรงจนทำให้หัวแตก และมีรอยช้ำจากการถูกตีที่แขน ส่วนอีกคนหนึ่งถือท่อแป๊ปเหล็กกำลังจะเข้ามาทำร้ายร่างกายเอกชัย แต่มีพลเมืองดีช่วยห้ามไว้ ที่สุดแล้วทั้งสองคนรีบกลับขึ้นรถและหลบหนีไป หลังเสร็จจากการรักษาเอกชัยเดินทางเข้าแจ้งความกับ สภ.ท่าน้ำนนท์
 
 
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px ‘Helvetica Neue’} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px ‘Helvetica Neue’; min-height: 14.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Thonburi} span.s1 {font: 12.0px Thonburi} span.s2 {font: 12.0px ‘Helvetica Neue’}

เมษายน 2562

 

การทำร้าย ครั้งที่ 8

 

ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ก่อนเกิดเหตุเอกชัยขับรถคันดังกล่าวกลับจากกิจกรรมล่ารายชื่อถอดถอนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่สี่แยกราชประสงค์ โดยจอดรถไว้ที่บริเวณหน้าบ้าน จากนั้นไม่นานขณะที่อยู่ภายในบ้านเห็นแสงเพลิงลุกไหม้ที่ห้องโดยสารของตัวรถจึงรีบออกมาพยายามดับเพลิงพร้อมกับพลเมืองดี หลังเพลิงสงบพยายามตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดละแวกใกล้เคียงที่จับภาพไว้ได้ พบว่า เวลาประมาณ 01.18 . วันที่ 1 เมษายน มีรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย 2 คัน วิ่งเข้ามาในซอย ผ่านแยก 1 ของหมู่บ้าน ต่อมามีชายสวมเสื้อแจ็กเกต กางเกงขายาว สวมหมวกกันน็อก เดินมาที่รถ ใช้เท้าถีบกระจกมองข้างด้านซ้ายของตัวรถ ก่อนใช้น้ำมันที่บรรจุขวดมาราดบนกระจกหน้ารถพร้อมจุดไฟจนลุกท่วม จากนั้นวิ่งไปขึ้นรถ จักรยานยนต์ที่จอดรออยู่บริเวณแยก 1 หลบหนี 

 

เบื้องต้นตรวจสอบความเสียหายพบเอกสารที่ประชาชนร่วมลงชื่อถอดถอน กกต. ได้รับความเสียหายไปส่วนหนึ่ง เนื่องจากถูกไฟไหม้และโดนน้ำจากการฉีดดับเพลิงบางส่วน

 

เฟซบุ๊กของเอกชัย ยังได้โพสต์คลิปจากกล้องวงจรปิด พร้อมยังได้ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้
 
1.18.02 มอเตอร์ไซด์ต้องสงสัยคันแรกแล่นเข้าแยก 1 (ฝั่งตรงข้ามบ้านของผม)
1.18.46 มอเตอร์ไซด์ต้องสงสัยคันที่ 2 แล่นผ่านแยก 1
1.19.34 ชายคนหนึ่งสวมเสื้อแจ็กเก็ต, กางเกงขายาว และหมวกกันน็อกเดินจากด้านในซอย และใช้เท้าถีบกระจกมองข้างด้านซ้ายของรถยนต์ของผม
1.19.43 ชายคนเดินถิอขวดน้ำมันราดบนกระจกหน้ารถยนต์ของผม และจุดไฟเผาจนเกิดไฟลูกท่วม
1.20.35 มอเตอร์ไซด์คันแรกแล่นออกจากแยก 1 
1.20.45 มอเตอร์ไซด์คันที่ 2 แล่นออกจากแยก 1
 
 
4 เมษายน 2562
 
กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า เอกชัย และอนุรักษ์ หรือ 'ฟอร์ด เส้นทางสีแดง' นำเอกสารหลักฐานที่ได้รับความเสียหายถูกเพลิงไหม้ภายในรถยนต์ มายื่นขอความเป็นธรรมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้เร่งรัดการสอบสวน เนื่องจากคดีไม่คืบหน้า
 
เอกชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาตัวเองถูกทำร้ายร่างกาย และยังถูกลักลอบเผารถยนต์อีก 2 ครั้ง ซึ่งคดีทำร้ายร่างกาย ได้แจ้งความไว้ที่ สน.ชนะสงคราม และสภ.เมืองนนทบุรี แล้ว ส่วนคดีเผารถยนต์ทั้ง 2 คดี แจ้งความไว้ที่ สน.ลาดพร้าว แต่ปัจจุบันพบว่า คดียังไม่มีความคืบหน้า โดยยังไม่สามารถจับคนร้ายได้ ทั้งที่มีหลักฐาน และภาพจากกล้องวงจรปิดทุกอย่าง จึงขอให้ตำรวจช่วยเร่งรัดคดีให้ดังกล่าว
 
 
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px ‘Helvetica Neue’} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px ‘Helvetica Neue’; min-height: 14.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 12.0px Thonburi} span.s1 {font: 12.0px Thonburi} span.s2 {font: 12.0px ‘Helvetica Neue’}

13 พฤษภาคม 2562 

 

การทำร้าย ครั้งที่ 9

 

เวลา 8.42 เอกชัย โพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพใบหน้าตัวเองพร้อมร่องรอยการบาดเจ็บ และระบุว่า เมื่อสักครู่มีชาย 4 คนทำร้ายร่างกายตนที่ด้านหน้าศาลอาญา ซึ่งวันนี้เอกชัยเดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อร่วมฟังการพิจารณาคดีในฐานะจำเลยคดีการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง

 

11.20 . เอกชัย โพสต์เฟซบุ๊กว่า หมอบอกให้นอนดูอาการ 1 คืน แต่เบิกไม่ได้ จึงต้องย้ายไป รพ.แพทย์ปัญญา

ด้าน ฟอร์ด เส้นทางสีแดง โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คแจ้งอาการของ เอกชัย ด้วยว่า เอ็กซเรย์ พบกระดูกมือขวาแตก ซี่โครงที่ 9 หัก 1 ซี่

 

27 พฤษภาคม 2562
 
ประชาไท รายงานว่า เอกชัย หงส์กังวานโพสท์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวของเขาว่า “มีคำสั่งให้ฆ่าผม” ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังเอกชัย ได้ความว่ามีผู้ใช้เฟสบุ๊คส่งข้อความมาว่าได้มีคำสั่งให้ฆ่าเอกชัยแล้ว ขอให้รีบเดินทางออกนอกประเทศโดยด่วน เอกชัยกล่าวว่าไม่สามารถหลบหนีไปที่ไหนได้ เพราะในเดือนมิถุนายนแทบทั้งเดือนตนมีนัดขึ้นศาลจากคดีการเมืองที่ถูกรัฐฟ้อง และต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอาการบาดเจ็บจากการถูกรุมทำร้ายที่หน้าศาลอาญาเมื่อวันที่  13 พฤกษภาคม 2562 
 
 
9 กรกฎาคม 2562 
 
ประชาไท รายงานว่า ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เวลา 09.50 น. เอกชัย ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. 2 เรื่องคือ 1.ขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการทำงานของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากกระบวนการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด กรณีรอบทำร้ายร่างกายตนเอง และทำลายทรัพย์สินมีความล่าช้า 2.ขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการทำงาน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ว่า หลังจากที่ถูกโอนย้ายไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาได้ทำงานจริงหรือไม่

 

 

คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลชั้นต้นกรณีถูกรุมทำร้ายเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561


ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า ตามวันและเวลาเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินอยู่ในซอยลาดพร้าว 109 ระหว่างแยกหนึ่ง และแยกสาม คนร้ายคนที่หนึ่งได้ขับรถมอเตอร์ไซต์เข้าพุ่งชนโดยมีคนร้ายคนที่สองนั่งซ้อนท้าย แต่ผู้เสียหายหลบทันจากนั้นคนร้ายคนที่หนึ่งได้จอดรถและนำหมวกกันน็อกเข้าฟาดผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายหลบทัน หลังจากนั้นคนร้ายคนที่สามถือไม้หน้าสามในมือวิ่งเข้ามาฟาดผู้เสียหายประมาณสี่ถึงห้าครั้ง ผู้เสียหายได้นำแขนบังไว้จนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บที่แขนทั้งสองข้าง หลังจากนั้นผู้เสียหายได้เข้ารับการรักษาโดยแพทย์ได้ทำการใส่เฝือกที่แขนไว้ และใช้ระยะเวลารักษาบาดแผลเกินกว่า 20 วัน


ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือจำเลยเป็นคนร้ายคนที่หนึ่งหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเข้าสืบยืนยันว่า ระหว่างที่เดินอยู่ในซอยลาดพร้าว 109 ระหว่างแยกหนึ่ง และแยกสามเพื่อกลับบ้านนั้น คนร้ายคนที่หนึ่งได้ขับรถพุ่งเข้าชนแล้ว จากนั้นจึงถอดหมวกกันน็อกออก และฟาดเข้าที่ผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายหลบทันจากนั้นคนร้ายคนที่สามได้นำไม้หน้าสามตีผู้เสียหายประมาณสี่ถึงห้าครั้งไม้จึงหลุดจากมือเมื่อผู้เสียหายเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งไปแย่งไม้ ซึ่งนำส่งเป็นหลักฐานในคดีนี้


ผู้เสียหายเบิกความว่า ก่อนหน้าที่จะถูกรุมทำร้ายนั้นเขาเดินผ่านอู่ซ่อมรถไทร์พลัส และสังเกตเห็นมอเตอร์ไซต์สองคันจอดอยู่บริเวณดังกล่าว โดยคนร้ายคนที่หนึ่งหรือจำเลยในคดีนี้ ไม่ได้สวมใส่หมวกกันน็อก ปิดบังใบหน้า มอง และยิ้มให้ผู้เสียหายแบบแปลกๆ ห่างกันประมาณสี่เมตรมีผู้ชายรูปร่างอ้วนอีกคนหนึ่งคร่อมรถมอเตอร์ไซต์อยู่ ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้เสียหายได้เห็นหน้าจำเลยก่อนเกิดเหตุทำร้ายร่างกาย


แต่เมื่อพิจารณาประกอบบันทึกวิดีโอจากกล้องซีซีทีวีเห็นว่า ขณะที่ผู้เสียหายได้เดินผ่านไปในบริเวณที่ผู้เสียหายได้อ้างถึงนั้นเป็นการเดินผ่านไปอย่างปกติไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง จึงเห็นว่าการให้การของผู้เสียหายนั้นมีความขัดแย้งต้องรับฟังอย่างระมัดระวัง


ผู้เสียหายยังเบิกความด้วยว่า ในตอนที่คนร้ายคนที่หนึ่งพุ่งชนผู้เสียหาย จำเลยได้ใส่หมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า จากนั้นจึงถอดหมวกกันน็อกออก และฟาดจำเลย จึงไม่น่าเชื่อว่า ตามวิสัยของผู้กระทำความผิดที่จะปกปิดตัวตนจำเลยจะถอดหมวกกันน็อกออกจริงหรือถอดออกโดยไม่มีเหตุผลพิเศษ ดังนั้นจึงเห็นว่าคำเบิกความของผู้เสียหายมีพิรุธไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้ แม้ว่าผู้เสียหายจะให้การในชั้นสอบสวน และให้ข้อมูลจนออกมาเป็นภาพสเก็ตช์คนร้ายได้แต่ภาพสเก็ตช์ดังกล่าวก็ไม่มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับจำเลย

 

คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียว ดังนั้นข้อเท็จจริงจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ทั้งโจทก์นำสืบยังคงมีข้อพิรุธสงสัยอยู่จึงยกประโยชน์ให้จำเลยตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสองยกฟ้องจำเลย

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา