วิชัย: ปลอมเฟซบุ๊กหมิ่น

อัปเดตล่าสุด: 01/09/2562

ผู้ต้องหา

วิชัย

สถานะคดี

ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด

คดีเริ่มในปี

2558

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

วิชัย อายุ 33 ปี ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ,แอบอ้างสร้างชื่อบัญชีเฟซบุ๊ก และนำภาพถ่ายไปใช้รูปประจำโปรไฟล์ในเพจปลอม และโพสต์ข้อความและภาพถ่ายรวมทั้งแชร์ข้อมูลในลักษณะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ 6 ครั้ง ในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ก่อนถูกจับกุมในช่วงเดือนธันวาคม 2558

เบื้องต้นวิชัยให้การปฏิเสธและขอต่อสู้คดี แต่ต่อมากลับคำให้การเป็นรับสารภาพ เพราะเห็นว่า การต่อสู้คดีใช้เวลานานเกินไป ศาลทหารกรุงเทพพิพากษาลงโทษจำคุก 30 ปี 60 เดือน

ภูมิหลังผู้ต้องหา

วิชัย ก่อนถูกจับกุม อายุ 33 ปี  เป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่ เรียนจบคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 14 (1) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 14 (3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 14 (5) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา, มาตรา 326 / 328 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

 
ข้อกล่าวหาตามคำฟ้องที่อัยการทหารยื่นฟ้องวิชัย พอจะสรุปได้ดังนี้
 
1. ระหว่างเดือนกันยายน 2558 ถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2558 จำเลยนำชื่อและภาพถ่ายของบุคคลอื่น คือ ศุวิชฐ์ ไปเปิดบัญชีเฟซบุ๊ก ชื่อ SUWIT WAJAPLANG เพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้ และเข้าใจว่าเป็นเฟซบุ๊กของศุวิชฐ์ อันเป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ศุวิชฐ์ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1)
 
2. เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2558 จำเลยโพสต์คลิปวีดีโอที่ปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พร้อมข้อความประกอบลงบนบัญชีเฟซบุ๊ก ชื่อ SUWIT WAJAPLANG ที่จำเลยทำปลอมขึ้น โดยบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ การกระทำของจำเลยน่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่า เป็นข้อมูลเท็จและเป็นความผิดต่อความมั่นคง ทั้งยังเป็นการใส่ความศุวิชฐ์ด้วย 
 
จำเลยกระทำลักษณะเช่นนี้ ทั้งหมด 5 ครั้ง บางครั้งเป็นการโพสต์คลิปวีดดีโอ บางครั้งเป็นการแชร์ โดยทุกครั้งมีการเขียนข้อความประกอบด้วย
 
3. ในวันเวลาเดิม จำเลยโพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ถูกตัดต่อแล้ว พร้อมข้อความประกอบ ลงบนบัญชีเฟซบุ๊ก ชื่อ SUWIT WAJAPLANG ที่จำเลยทำปลอมขึ้น โดยบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ การกระทำของจำเลยน่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่า เป็นข้อมูลเท็จและเป็นความผิดต่อความมั่นคง ทั้งยังเป็นการใส่ความศุวิชฐ์ด้วย
 
จำเลยกระทำลักษณะเช่นนี้ ทั้งหมด 3 ครั้ง และโพสต์อีกในวันที่ 20 ตุลาคม 2558 และ 22 ตุลาคม 2558 รวมเป็น 5 ครั้ง บางครั้งเป็นการโพสต์ภาพพระพักตร์ของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นด้วย โดยทุกครั้งมีการเขียนข้อความประกอบด้วย
 
การกระทำของจำเลย เป็นความผิดตาม มาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ, มาตรา 328 ฐานหมิ่นประมาทบุคคลอื่นโดยการโฆษณา และตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ขอให้ศาลลงโทษจำเลยและขอให้ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดด้วย
 

พฤติการณ์การจับกุม

22 ธันวาคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 และตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวนภาค 5 ร่วมกับตำรวจบก.ปอท. เข้าจับกุม วิชัยตามหมายจับของศาลทหารกรุงเทพที่ 65/2558  ที่บริเวณลานจอดรถของหอพักแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมของกลางคือ โทรศัพท์มือถือจำนวน 3 เครื่อง หลังจาก ควบคุมตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาและทำบันทึกการจับกุมที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 5  วิชัยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาแล้ว เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายวิชัยมาส่งมอบให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนที่ บก.ปอท. วันที่ 23 ธันวาคม 2558 ก่อนนำตัวไปขังไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้อง 

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

61/2559

ศาล

ศาลทหารกรุงเทพ

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล

22 ธันวาคม 2558 

ประชาไทรายงานว่า พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.5 พร้อมเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งควบคุมตัว วิชัย  ตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพที่บริเวณลานจอดรถของหอพักแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากได้รับแจ้งจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งว่า มีผู้แอบอ้างนำชื่อของเขาไปเปิดเฟซบุ๊กปลอมและโพสต์ข้อความหมิ่นพระมหากษัตริย์  ซึ่งเกรงว่าจะได้รับผลกระทบและจะถูกจับกุมเอาผิดตามกฎหมาย จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน บก.ปอท.ว่า ไม่ได้เป็นผู้โพสต์

หลังรับแจ้งเจ้าหน้าที่จึงสืบสวนจนกระทั่งพบเบาะแสว่า ผู้ที่สร้างเพจปลอมคือ วิชัย ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนคนสนิทของผู้เสียหาย และมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ ด้วยความโกรธแค้นจึงเอาชื่อและข้อมูลของผู้เสียหายไปเปิดเฟซบุ๊กแล้วโพสต์ข้อความต่างๆ ซึ่งเข้าข่ายความผิดข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯเพื่อกลั่นแกล้งผู้เสียหาย

 

23 ธันวาคม 2558

เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายวิชัยมาส่งมอบให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนที่ บก.ปอท. ตรงศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะก่อนนำตัวไปขังไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้อง

 

24 ธันวาคม 2559

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) นำตัววิชัยจาก สน.ทุ่งสองห้องมาขออำนาจศาลทหารกรุงเทพฝากขังผลัดที่ 1 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม– 4 มกราคม 2559 หลังคุมตัวผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558

ในคำร้องฝากขังพนักงานสอบสวนระบุว่า ผู้เสียหายแจ้งความว่า วิชัยใช้เฟซบุ๊กปลอม กระทำความผิดโดยการโพสต์และแชร์คลิปวีดิโอ ภาพ และข้อความที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทพระมากษัตริย์รวมทั้งสิ้น 12 ครั้งและภายหลังตรวจพิสูจน์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและโทรศัพท์มือถือที่ยึดได้พบว่ามีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชีเฟซบุ๊กปลอมดังกล่าว

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนให้เหตุผลในการขอฝากขังว่า ต้องสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องรวม 5 ปาก รวมทั้งรอผลการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือ และผลการตรวจสอบประวัติลายพิมพ์นิ้วมือของวิชัย  หลังจากนั้นวิชัยคัดค้านการฝากขังเนื่องจากตนเองไม่ใช่ผู้กระทำความผิด อย่างไรก็ตาม ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ และการฝากขังครั้งนี้  เขาไม่ได้ขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากยังไม่มีหลักทรัพย์

 

4 มกราคม 2558

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมและเทคโนโลยียื่นขอฝากขังวิชัยผลัดที่ 2 ต่อศาลทหารกุรงเทพ  ศาลอนุญาตให้ฝากขังตั้งแต่วันที่ 5 – 16 มกราคม 2559

 

28 มกราคม 2559

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)ยื่นคำร้องต่อศาลทหารกรุงเทพเพื่อขอฝากขังวิชัยผลัดที่ 4  พนักงานสอบสวนอ้างเหตุผลว่า สำนวนคดีอยู่ในระหว่างการเสนอเข้าสู่คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ด้านทนายความของวิชัย  ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง เนื่องจากการสอบสวนคดีในส่วนที่เหลือไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา จึงไม่จำเป็นต้องควบคุมตัวไว้เพื่อทำการสอบสวนอีกต่อไป ประกอบกับผู้ต้องหาเป็นเพียงบุคคลธรรมดา การควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างสอบสวนย่อมกระทบกับสถานะอาชีพการงานของผู้ต้องหา ทั้งผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์จะหลบหนี การควบคุมตัวผู้ต้องหาโดยไม่เป็นประโยชน์แก่การสอบสวนย่อมกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาจนเกินกว่าความจำเป็น และเกินกว่าพฤติการณ์แห่งคดี อย่างไรก็ตาม ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุสมควรจึงอนุญาตให้ฝากขังต่ออีก 12 วัน โดยจะครบกำหนดวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559

 

19 กุมภาพันธ์ 2559

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งตามที่อัยการผู้ช่วยศาลทหารกรุงเทพยื่นคำร้องขอฝากขังวิชัยเป็นผลัดที่ 6 เหตุผลคำร้องระบุว่า การพิจารณาสำนวนสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จและหากปล่อยตัววิชัยชั่วคราวเกรงว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานและอาจหลบหนีเพราะคดีมีอัตราโทษที่สูง ศาลทหารกรุงเทพจึงมีคำสั่งตามที่อัยการผู้ช่วยฯ ร้องขอโดยสั่งขังนายวิชัยต่อไปอีก 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559 ถึง 4 มีนาคม 2559

ทั้งนี้ หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง ทนายความของวิชัยยื่นคำร้องขอคัดรายงานกระบวนพิจารณา ศาลมีคำสั่งว่า “ศาลได้อ่านและคู่ความลงชื่อรับทราบแล้ว และคำร้องคัดค้านก็เป็นคำร้องของผู้ต้องหาจัดทำขึ้นเอง ไม่มีเหตุสมควรจะคัดถ่าย จึงไม่อนุญาต ยกคำร้องฯ”

 

24 มิถุนายน 2559

นัดสอบคำให้การ

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลทหารกรุงเทพฯ นัดสอบคำให้การวิชัย ศาลเริ่มพิจารณาโดยอ่านคำฟ้องสรุปว่าเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2558 วิชัยนำข้อความและภาพถ่ายปลอมเฟซบุ๊กเป็นบุคคลอื่น และโพสต์วิดีโอและภาพประกอบด้วยข้อความที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ จากนั้นวิชัยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 ตุลาคม 2559

ด้านอัยการทหารยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณาคดีนี้เป็นการลับเพราะเป็นคดีความมั่นคง ต่อมาศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อย จึงมีคำสั่งให้พิจารณาลับตามคำร้องของอัยการ ทางฝ่ายทนายจำเลยแถลงว่าจะทำคำร้องคัดค้านการพิจารณาคดีลับยื่นต่อศาล เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีอาญาจึงต้องพิจารณาโดยเปิดเผย

 

18 ตุลาคม 2559

นัดตรวจพยานหลักฐาน 

 

27 กุมภาพันธ์ 2560

นัดสืบพยานโจทก์
 
ศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกวันนี้ หลังศาลขึ้นบัลลังก์อัยการทหารแถลงว่า พยานโจทก์ที่นัดไว้ในวันนี้ คือ ศุวิชฐ์ ซึ่งเป็นผู้กล่าวหา ไม่ได้มาศาลเนื่องจากส่งหมายไม่ได้ จึงขอเลื่อนไปสืบพยานปากนี้อีกครั้งในนัดหน้า คู่ความทั้งสองฝ่ายและศาล จึงตกลงหาวันนัดที่ว่างตรงกันใหม่ กำหนดเป็นวันที่ 22 พฤษภาคม 2560
 
 
22 พฤษภาคม 2560
 
นัดสืบพยานโจทก์
 
วิชัยถูกพาตัวมาจากเรือนจำตั้งแต่เช้า โดยแม่ของวิชัยและญาติอีกสองคนนั่งรถทัวร์จากเชียงใหม่มาให้กำลังใจวิชัยในวันนี้ด้วย เวลาประมาณ 10.05 น. เจ้าหน้าที่ศาลเดินมาแจ้งแก่จำเลยว่า วันนี้พยานที่นัดไว้ไม่มาศาล และถามว่า จำเลยจะเอาอย่างไร ซึ่งมีนัยความหมายที่เข้าใจได้ว่า จะรับสารภาพหรือไม่ เพราะหากจำเลยจะรับสารภาพจะไม่ต้องเชิญให้ศาลขึ้นบัลลังก์ แต่ทนายความแจ้งว่า จะไม่รับสารภาพ
 
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จึงเดินออกไปตามให้ เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ และอัยการทหารที่เป็นโจทก์ค่อยๆ ทยอยเข้ามาในห้องพิจารณาคดี เมื่อศาลขึ้นบัลลังก์ในเวลาประมาณ 11.00 น. ฝ่ายโจทก์แถลงว่า พยานไม่มาศาลในวันนี้เนื่องจากส่งหมายแล้ว แต่พบว่า ไม่มีชื่อพยานปากนี้อยู่ตามเลขที่บ้านที่ส่งหมาย จึงต้องจัดส่งหมายใหม่ ฝ่ายโจทก์ยังติดใจจะสืบพยานปากนี้อยู่ แต่ขอข้ามไปโดยนัดหน้าจะขอเอาพยานลำดับต่อไปขึ้นมาสืบก่อน ฝ่ายจำเลยไม่ค้าน แต่ทนายจำเลยลุกขึ้นแถลงต่อศาลว่า วันนี้จำเลยจะขอกลับคำให้การ และขอรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกข้อกล่าวหา
 
ด้านทนายจำเลย แถลงต่อศาลว่า จะขอยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพ และขอให้ศาลนัดวันฟังคำพิพากษาโดยเร็ว เนื่องจากจำเลยถูกคุมขังมานานแล้ว ฝ่ายโจทก์แถลงว่า ถ้าจำเลยจะยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพ โจทก์ประสงค์จะขอตรวจสอบคำร้องก่อน และยังประสงค์จะสืบพยานต่อไปจนกว่าจะได้ตรวจคำร้องเสร็จ แต่ศาลแจ้งว่า วันนี้ถือว่า จำเลยได้รับสารภาพแล้ว หากในคำร้องมีประเด็นอะไรที่ไม่ใช่การรับสารภาพ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาเอง 
 
ศาลแจ้งว่า ปกติศาลสามารถนัดฟังคำพิพากษาได้ภายใน 3 วัน แต่เนื่องจากต้องรอฝ่ายจำเลยยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพก่อน จึงจะนัดฟังคำพิพากษาได้ ทนายจำเลยแจ้งว่า วันนี้ได้เตรียมคำร้องมาพร้อมแล้ว และจะขอยื่นเลย จึงขอให้ศาลกำหนดวันนัดโดยเร็ว หลังเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เปิดสมุดนัดดูวันว่างของศาลแล้ว ศาลแจ้งว่า จะกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาเป็นวันที่ 9 มิถุนายน 2560 เวลา 8.30 น.
 
คำร้องประกอบคำรับสารภาพที่ยื่นต่อศาลในวันนี้ มีใจความสรุปได้ว่า จำเลยไม่เคยกระทำความผิดอาญามาก่อน จำเลยมีภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่แน่นอน  มีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง และทำมาหากินโดยสุจริตมาตลอด
 
จำเลยเป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งครอบครัวมีฐานะยากจน มีบิดามารดา ที่อายุมากแล้ว บิดายังป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง และเป็นผู้พิการซ้ำซ้อน ด้านมารดาไม่ได้ประกอบอาชีพ พี่เขยของจำเลยก็เป็นอัมพาตทำให้จำเลยต้องรับภาระเลี้ยงดูหลานอีก 2 คน ซึ่งยังอยู่ในวัยเล่าเรียน
 
จำเลยรู้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป จำเลยมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี และรัชทายาท และเคยเข้าร่วมกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ" ขอให้ศาลได้โปรดพิจารณาด้วยความเมตตา ลงโทษสถานเบาที่สุด เพื่อให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวกลับใจ ประพฤติตนเป็นคนดี และไม่กลับมากระทำความผิดเช่นนี้อีก
 
 
9 มิถุนายน 2560
 
นัดฟังคำพิพากษา
 
วันนัดฟังคำพิพากษา วิชัยถูกพาตัวจากเรือนจำมาถึงศาลทหารกรุงเทพในเวลาประมาณ 8.30 น. มีผู้มาสังเกตการณ์คดีในวันนี้ ได้แก่ นักข่าวต่างประเทศจากสำนักข่าวเอเอฟพี นักข่าวจากบางกอกโพสต์ และผู้สังเกตการณ์จากไอลอว์ ซึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่า ไม่อนุญาตให้เข้าห้องพิจารณาคดี เนื่องจากเป็นระเบียบ เมื่อได้พบกับจ่าศาล จ่าศาลก็แจ้งว่า ไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้าไปในห้องพิจารณาคดี ให้เพียงรอฟังผลอยู่ด้านนอกอาคารศาลเท่านั้น เนื่องจากเป็นระเบียบ แต่เมื่อถามว่า คดีนี้ศาลสั่งพิจารณาเป็นการลับหรือไม่ เจ้าหน้าที่ศาลตอบว่า ไม่ จึงมีวิชัยและทนายความเท่านั้นที่ได้เข้าฟังคำพิพากษา 
 
หลังเสร็จการอ่านคำพิพากษา ทนายความเปิดเผยว่า คดีนี้ศาลพิพากษายกฟ้องในการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งข้อมูลปลอม โดยการสร้างบัญชีเฟซบุ๊กด้วยชื่อและรูปของบุคคลอื่น ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) เนื่องจากในวันพิพากษา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ได้แก้ไขใหม่แล้ว แต่ในคำฟ้องโจทก์ซึ่งยื่นต่อศาลก่อนหน้านี้บรรยายคำฟ้องตามองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายเก่า เท่ากับโจทก์ไม่ได้บรรยายคำฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับในวันทำคำพิพากษา
 
ส่วนความผิดในการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่า โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ 10 ครั้ง ศาลพิพากษาลงโทษแยกเป็นรายกรรม กรรมละ 7 ปี รวมลงโทษจำเลย 70 ปี แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษครึ่งหนึ่งเหลือกรรมละ 3 ปี 6 เดือน รวมทั้งหมดลงโทษจำเลย 30 ปี 60 เดือน
 
 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา