ชาญวิทย์หวังนิรโทษกรรมปี 56 เราไม่เหมือน 22 ฉบับในอดีต

ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงาน "108 เหตุผลทำไมต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง" จัดโดย ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 2553 (ศปช.) 
……………
ประธานาธิบดีเต็งเส่ง กล่าวระหว่างการปราศรัยที่ Chatham House ในกรุงลอนดอน ให้สัญญาด้วยว่า จะไม่มีนักโทษการเมืองหรือผู้ที่ถูกคุมขังเนื่องจากมีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาลเหลืออยู่ในพม่าภายในสิ้นปีนี้ 
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน เว็บไซต์ของประธานาธิดีพม่าระบุว่า ประธานาธิบดีเต็งเส่งได้สั่งยุบเลิกกองกำลังความมั่นคงที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิโรฮิงยาไปแล้ว และว่า ความขัดแย้งต่างๆ ที่ยังมีอยู่ในประเทศขณะนี้ ล้วนแต่มีลักษณะที่มาจากความไม่พอใจของคนต่างเชื้อชาติในประเทศทั้งสิ้น 
แน่นอนว่าเราอาจไม่เชื่อข่าวสารที่มาจากรัฐบาลพม่าทั้งหมด แต่นับเป็นนิมิตหมายที่ดี สำหรับประชาชนชาวพม่าที่เผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงมากว่าเสี้ยวศตวรรษ นับตั้งแต่เหตุการณ์ 8/8/88 อนึ่ง เราทั้งหลายทราบดีกว่า กัมพูชาเอง พระมหากษัตริย์ก็พระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี ทั้งนี้ โดยข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีฮุนเซ็น ซึ่งนับได้ว่าภูมิภาคอาเซียนของเรากำลังมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
แต่สำหรับสยามประเทศไทย ในพ.ศ. 2556 นับเป็นความน่าเศร้าอย่างยิ่ง ที่เรากลับต้องมาพูดเรื่อง "108 เหตุผล ทำไมต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง"  เพราะแท้ที่จริงแล้ว เราไม่ควรมีเหตุผลใดๆ ที่จะมี "นักโทษการเมือง" จากการคิด พูด อ่าน เขียน ความเห็นที่ไม่ตรงกับอุดมการณ์รัฐแล้วในโลกปัจจุบัน ดังเช่นที่รัฐบาลพม่ากำลังดำเนินการแก้ไขอยู่ในขณะนี้
ในฐานะนักประวัติศาสตร์ ผมได้พบข้อมูลระหว่าง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 81 ปีว่า เรามีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้ว 22 ฉบับ โดยแบ่งเป็นพ.ร.ก. 4 ฉบับ พ.ร.บ. 17 ฉบับ และรธน. 1 ฉบับ 
สาระสำคัญของกฎหมายนิรโทษกรรมทั้ง 22 ฉบับ คือ การนิรโทษกรรมให้ความผิดโดยแบ่งออกเป็น
– ความผิดฐานเปลี่ยนแปลงการปกครอง 1 ฉบับ
– ความผิดฐานก่อกบฎ 6 ฉบับ
– ความผิดจากการก่อรัฐประหาร 10 ฉบับ
– ความผิดจากการต่อต้านสงครามของญี่ปุ่น 1 ฉบับ
– ความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง 3 ฉบับ
– ความผิดจากการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ 1 ฉบับ
ถ้านับกันจากระยะเวลา 81 ปี เฉลี่ยแล้ว 3 ปีครึ่ง เราจะมีกฎหมายนิรโทษกรรม 1 ฉบับ เหตุที่มีมากเช่นนั้น เพราะเป็นการรวมการรัฐประหาร 10 ฉบับ และความผิดฐานกบฏ 6 ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งของชนชั้นนำ คิดเป็นร้อยละ 72.7 ขณะที่การนิรโทษกรรมความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง 3 ฉบับในเหตุการณ์สำคัญ คือ 
*เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 : พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2516
*เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 : พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 
*เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 : พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2535
กลายเป็นตลกร้ายทางการเมือง เพราะ กฎหมายที่มุ่งนิรโทษกรรมความผิดจากการชุมนุมทางการเมืองทั้ง 3 ฉบับ กลายเป็นว่าเป็นการนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่ไปพร้อมกันด้วย
กฎหมายนิรโทษกรรมกลายเป็น "ใบอนุญาตฆ่าประชาชน" ผู้ซึ่งใช้สิทธิในทางการเมืองอย่างสุจริตไปโดยปริยาย
หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตามมาด้วยความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาเกือบ 7 ปี มีการล้มตายของประชาชนกลางเมืองหลวงและหัวเมืองต่างๆในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 จนกลายมาเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลที่ยากจะสมานได้ในเร็ววัน แต่ผลพวงจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังปรากฏนักโทษการเมืองที่ถูกจองจำมาเป็นเวลานานนับปีอยู่หลายร้อยคน
นี่เป็นเหตุผลที่เรามารวมตัวกันที่นี้ เพื่อบอกว่า นักโทษการเมือง จะต้องหมดไปจากประเทศไทยด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ขณะเดียวกัน การนิรโทษกรรมในปี 2556 ต้องไม่ใช่การนิรโทษกรรมเช่นในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ที่เป็นการนิรโทษกรรมแบบ "เหมาเข่ง" ให้ผู้ก่อความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองได้รับการนิรโทษกรรมไปด้วย เพราะประวัติศาสตร์บอกเราชัดเจนว่า ตราบใดที่ผู้กระทำผิดไม่ถูกลงโทษ ก็จะมีความุรนแรงตามมา 
อย่าให้ประวัติศาสตร์สอนเราว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาตร์ต่อไปอีกเลย
หมายเหตุ: ขอขอบคุณธนาพล อิ๋วสกุล ที่ช่วยเหลือในการตระเตรียมข้อคิดนี้