มองบรรทัดฐานจากศาล ในคำพิพากษาคดีสมยศ

             “จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความปิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ ให้จำคุกกระทงละ ๕ ปี รวม ๒ กระทงแล้ว จำคุก ๑๐ ปี”

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2555 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร Voice of Taksin หรือ เสียงทักษิณ มีความผิดตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นบรรณาธิการของนิตยสารที่ตีพิมพ์บทความ 2 ชิ้น เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาดมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และโทษของเขาคือ จำคุก 10 ปี

ดูรายละเอียดคดีนี้ และบันทึกสังเกตการณ์การพิจารณาคดีได้ที่ ฐานข้อมูลไอลอว์ คลิกที่นี่

ผลของคำพิพากษาคดีนี้ดึงดูดให้สังคมเพ่งมองมาที่ปัญหาการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและเสรีภาพการแสดงออกในสังคมไทยมากขึ้น ลองดูกันว่าคำพิพากษาคดีนี้ วางบรรทัดฐานอะไรไว้บ้าง

ข้อความใด “หมิ่นฯ” หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องนำสืบให้ศาลเห็น

ก่อนหน้าคดีนี้ มีคดีความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลายคดีที่ไม่นำสืบพยานเพื่อพิสูจน์ “ความหมาย” ของข้อความที่นำมาฟ้อง ไม่ว่าจะเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่อยากให้พูดถึงเนื้อหาที่อาจจะพาดพิงสถาบันกษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง หรือไม่ต้องการให้ใช้เวลาสืบพยานยาวนานเกินไป หรือศาลเชื่อจริงๆ ว่าการพิจารณาว่าข้อความใด “หมิ่นฯ” หรือไม่ เป็น “ปัญหาข้อกฎหมาย” ที่อยู่ในดุลพินิจของศาลแต่เพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเหตุผลใด ก็ส่งผลให้การพิจารณาคดีมาตรา 112 ในอดีตแทบไม่แตะต้องเนื้อหาตามคำฟ้องเลย หลายคดี ศาลพิพากษาไปโดยที่แม้แต่ศาลเองก็ไม่ได้อธิบายว่า ข้อความตามคำฟ้องนั้นหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ อย่างไร เพียงแต่เว้นพื้นที่ไว้ให้ทั้งจำเลยและประชาชนคิดและเข้าใจไปตามฐานประสบการณ์ของตัวเอง

อาจกล่าวได้ว่า คดีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เป็นคดีที่มีการนำพยานมาเบิกความในประเด็นเนื้อหากันอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย และพูดตรงประเด็นที่สุดของยุคสมัยนี้

โจทก์มีพยานไม่ต่ำกว่า 10 ปากที่มาอธิบายว่า อ่านบทความแล้วตีความอย่างไรให้หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ โดยมีนายทหารฝ่ายความมั่นคง 3 นาย นักศึกษากฎหมาย 3 คน ฝ่ายกฎหมายของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ฝ่ายกฎหมายกรมสรรพากร เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบันฯ รวมถึงมีศาสตราจารย์ธงทอง จันทรางศุ ซึ่งเป็นนักกฎหมายและนักประวัติศาสตร์ ผู้มีชื่อเป็นพยานโจทก์ในคดีตามมาตรา 112 หลายคดีก่อนหน้านี้มาเบิกความด้วย โดยพยานโจทก์ทั้งหลายต้องอธิบายโดยละเอียดในศาลว่า อ่านข้อความส่วนไหน แล้วเห็นว่าผู้เขียนพาดพิงถึงใครในเหตุการณ์ใด (ยกเว้นศ.ธงทอง ที่กล่าวว่าบทความชิ้นที่สองนั้นอ่านแล้วไม่ทราบว่าหมายถึงใคร) ขณะที่ฝ่ายจำเลย มีพยานทั้งหมด 7 ปาก รวมทั้งตัวจำเลยเอง ที่เบิกความว่า อ่านบทความแล้วไม่สามารถตีความว่าเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ เพราะเหตุใด โดยมีพยานหลากหลายระดับการศึกษา ทั้ง นักวิชาการด้านกฎหมาย ด้านประวัติศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทุกคนเบิกความตรงกันว่า อ่านบทความทั้งสองแล้ว คิดว่าผู้เขียนเขียนถึงระบอบอำมาตย์ ไม่คิดว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์

แม้สุดท้าย ศาลจะใช้ดุลพินิจของตนเองพิจารณาข้อความ และเลือกที่จะให้น้ำหนักพยานฝั่งโจทก์มากกว่า แต่สิ่งที่แทบไม่เคยเห็นก่อนหน้านี้เลยคือ ศาลนำคำเบิกความของพยานมาประกอบการตีความแล้วเขียนไว้ในคำพิพากษา ด้วย

คดีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข สร้างบรรทัดฐานให้เห็นถึง การสืบพยานที่ให้โอกาสทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยสืบพยานในประเด็นการตีความเนื้อหาได้โดยไม่ต้องปิดลับหรือขังเอาไว้ในแดนสนธยาที่ประชาชนเข้าไม่ถึง การสืบพยานลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น เพื่อให้คู่ความทั้งสองฝ่ายได้ใช้สิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพื่อให้จำเลย และประชาชนเข้าใจถึงเหตุผลในคำพิพากษาได้อย่างดี และเพื่อให้เรื่องที่ควรจะให้สาธารณชนเข้าใจไม่ต้องปิดลับอีกต่อไป

 

กรณีกล่าวพาดพิงโดยไม่ระบุชื่อ ก็ผิดหมิ่นประมาทได้

คดีนี้จำเลยต่อสู้ว่า บทความทั้งสองชิ้นไม่ได้พาดพิงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กล่าวถึงระบอบอำมาตย์ โดยบทความชิ้นแรกมีเนื้อความทำนองว่า “คนแก่โรคจิต” วางแผนฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวทำนองว่า ตระกูลนี้เหมือนกันทั้งตระกูล เอาเขามาชุบเลี้ยงจนใหญ่โต พอได้ทีก็โค่นนายตัวเอง ซัดว่าสติไม่ดีแล้วก็จับลงถุงแดงฆ่าทิ้งอย่างทารุณ ส่วนบทความชิ้นที่สอง มีเนื้อความทำนองว่า “หลวงนฤบาล” แห่ง “โรงแรมผี” คอยบงการการเมืองไทยมาตลอดตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รวมทั้งอยู่เบื้องหลังการสังหารนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

ทั้งสองบทความไม่ได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมวงศานุวงศ์เลย แต่โจทก์นำสืบว่า ผู้เขียนบทความจงใจให้ผู้อ่านเข้าใจว่าหมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่พยานจำเลยเบิกความว่า อ่านบทความแล้วเข้าใจว่าหมายถึงระบอบอำมาตย์
แม้จะไม่มีการกล่าวชื่อบุคคลที่ถูกพาดพิงโดยตรง แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า

            “เมื่อพิจารณาจากคำว่า "โคตรตระกูลนี้มันก็เหมือนกันทั้งนั้น" ย่อมหมายความถึงพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี เมื่อเทียบกับคำว่า "กรรมจะมาสนองกรรมเอาในตอนนี้" ที่เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน ผู้อ่านย่อมเข้าใจได้ว่า ผู้เขียนหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช”

            “ผู้เขียนจงใจให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่า หลวงนฤบาลอยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล โดยเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่นายสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งหลังจากการเลือกตั้ง แล้วยังมีอำนาจเหนือรัฐบาลของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสอง อันเป็นการสนับสนุนให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ผู้ที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือนในขณะนั้น ย่อมหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช”

คำพิพากษาฉบับนี้ ย้ำแนวทางการใช้กฎหมายว่า แม้ข้อความจะไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคลใดโดยตรง แต่ถ้าอ่านโดยรวมแล้วเข้าใจได้ว่าหมายถึงบุคคลใด ก็เข้าข่ายการหมิ่นประมาทได้ นั่นหมายความว่า การกล่าวแบบใช้ชื่อสมมติก็ดี การใช้ตัวอักษรย่อก็ดี หรือการกล่าวอ้อมๆ ให้ตีความกันเองก็ดี ไม่อาจทำให้ผู้กล่าวข้อความนั้นหลบเลี่ยงจากความผิดตามกฎหมายได้

ศาลกล่าวไว้ในคำพิพากษาด้วยว่า แม้ข้อความที่กล่าวนั้นอาจชวนให้ตีความถึงบุคคลหลายคนได้ก็ตาม แต่หากมีข้อความ “ส่วนหนึ่ง” ที่ตีความได้ถึงบุคคลที่เสียหายแล้ว ก็ถือว่าเป็นความผิดต่อบุคคลที่เสียหายแล้ว ศาลวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ในคำพิพากษาว่า

             “แม้จะมีข้อความบางตอนอ้างว่า มีการวางแผนมาจากโรงพยาบาลพระรามเก้า อันมิใช่ที่ประทับรักษาพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชก็ตาม บทความในส่วนดังกล่าวก็น่าจะหมายถึงบุคคลอื่นตามที่จำเลยต่อสู้ แต่ก็ไม่ทำให้ข้อความในส่วนอื่นข้างต้นที่หมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเปลี่ยนแปลงไป”

ผู้พิพากษา นอกจากจะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจผ่านการเลือกให้น้ำหนักกับพยาน ที่แม้คดีนี้จะมีพยานโจทก์บางส่วน เช่น ศ.ธงทอง จันทรางศุ เบิกความว่าอ่านบทความชิ้นที่สองแล้วไม่รู้ว่าหมายถึงผู้ใด แต่ศาลก็สามารถใช้วิจารณญาณของตนลงโทษว่าการเผยแพร่บทความดังกล่าวมีความผิดได้ ผู้พิพากษายังเป็นผู้ใช้ดุลพินิจตีความเนื้อหาด้วยว่าข้อความนั้นหมิ่นประมาทใคร

หากยอมรับกันได้ว่า ข้อความที่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงบุคคลที่เสียหายโดยตรง และข้อความบางส่วนยังอาจสื่อถึงบุคคลอื่นก็ได้ด้วย ก็เท่ากับมอบอำนาจดุลพินิจในการวินิจฉัยให้ผู้พิพากษาในคดีนั้นๆ ใช้ความเข้าใจของตนเองในการตีความได้ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนในการตีความ และอาจกระทบต่อบรรยากาศของการแสดงออกในสังคมได้

 

 

ศาลยืนยันให้บรรณาธิการสิ่งพิมพ์ ต้องรับผิดในเนื้อหา

ตามที่ทราบกันแล้วว่า พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2551 ยกเลิกบทบัญญัติ ในพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 ที่เคยกำหนดให้บรรณาธิการต้องรับผิดในเนื้อหาที่ตีพิมพ์ หมายความว่า ตามกฎหมายปัจจุบันเพียงแค่การเป็น “บรรณาธิการ” ของสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมาย ไม่ได้ทำให้ผู้นั้นต้องมีความผิดด้วยเสมอไป

แต่พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ก็ไม่ได้มีบทยกเว้นความรับผิดมาคุ้มครองบรรณาธิการ ดังนั้นบรรณาธิการผู้ใดจะมีความผิดตามกฎหมายใดหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ความผิดตามองค์ประกอบของกฎหมายนั้นๆ ซึ่งในคดีของนายสมยศ คือ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

หลักพื้นฐานที่สุดของการพิสูจน์ความผิดในคดีอาญา คือ “จำเลยต้องมีเจตนาในการกระทำความผิด” ซึ่ง “เจตนา” นั้น ต้องมาจากการที่จำเลย “รู้” ถึงองค์ประกอบทุกอย่างที่จะทำให้การกระทำนั้นเป็นความผิดเสียก่อน เมื่อ “รู้” แล้วแต่ก็ยัง “ทำ” จึงจะมีความผิด

ในคดีนี้ นายสมยศต่อสู้ว่า บทความที่ส่งมาลงตีพิมพ์ เป็นบทความต่อเนื่องจำนวน 12 ชิ้น ผู้เขียนส่งงานให้กองบรรณาธิการตั้งแต่ก่อนที่ตนจะรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการ และเนื่องจากผู้เขียน คือ นายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งเป็นคนมีชื่อเสียง ตนจึงให้เกียรติผู้เขียนโดยไม่แก้ไขบทความแต่อย่างใด และบทความตามฟ้องนี้ตนได้อ่านแบบคร่าวๆ เพราะต้องเร่งปิดต้นฉบับ อ่านแล้วไม่ได้คิดว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ แต่คิดว่าเป็นการกล่าวถึงระบอบอำมาตย์ เท่ากับนายสมยศได้ปฏิเสธชัดแจ้งแล้วว่า ตนไม่ได้มีเจตนากระทำความผิด ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้อ่านบทความแล้วและรู้อยู่แล้วว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ โดยจำเลยมีสิทธิที่จะไม่นำลงตีพิมพ์ได้ แต่ก็ยังเลือกที่จะนำลงตีพิมพ์เผยแพร่ จึงจะถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาในการกระทำความผิด

แต่ทางนำสืบในคดีนี้ โจทก์นำพยานที่เป็นพนักงานคนอื่นของนิตยสารมาเบิกความ เช่น ช่างภาพของนิตยสาร ซึ่งเบิกความว่า ในกระบวนการคัดเลือกบทความที่จะลงตีพิมพ์ ไม่ได้มีนายสมยศเพียงคนเดียว แต่มีคนอื่นเข้าร่วมประชุมด้วย โดยคนอ่านบทความก่อนตีพิมพ์จริงๆ คือ พนักงานพิสูจน์อักษร ขณะที่พนักงานพิสูจน์อักษรก็ เบิกความเพียงแต่ว่าบทความทั้งหมดต้องส่งให้นายสมยศเท่านั้น และเมื่ออัยการถามว่า นอกจากจำเลย มีคนอื่นร่วมตัดสินใจคัดเลือกบทความหรือไม่ ก็ตอบว่าไม่ทราบ ส่วนพนักงานฝ่ายสมาชิก ก็เบิกความเพียงว่า เมื่อมีบทความส่งเข้ามาทางอีเมล ก็จะบันทึกไว้ที่เครื่องเพื่อให้นายสมยศอ่าน แต่จำเลยจะมาอ่านเมื่อไรนั้นไม่ทราบ และไม่ทราบว่าจำเลยได้ตรวจหรือแก้ไขหรือไม่

ดังนั้น เท่ากับข้อเท็จจริงในส่วนที่ว่า จำเลยได้อ่านบทความทั้งสอง และทราบดีว่าเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และจำเลยในฐานะบรรณาธิการเป็นผู้มีสิทธิตัดทอน แก้ไข หรือไม่ตีพิมพ์ แต่ก็ยังตัดสินใจตีพิมพ์ จึงแสดงถึงเจตนาของจำเลยได้นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยได้

ศาลวิเคราะห์ประเด็นนี้ไว้เพียงว่า

            “จำเลยซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ ทำงานอยู่องค์การพัฒนาเอกชนที่สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และทำงานสื่อสารมวลชน จึงย่อมรู้อยู่แล้วว่า บทความที่หมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย ต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่มีความจริง”

และที่สำคัญ ในประเด็นเจตนาของจำเลยนั้น ศาลกล่าวไว้ในคำพิพากษาว่า

            “การเสนอข่าวของจำเลยย่อมต้องตรวจสอบและวิเคราะห์บทความก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำเลยในฐานะบรรณาธิการบริหาร ย่อมต้องมีวิจารณญาณและมาตรฐานสูงกว่าบุคคลทั่วไป พร้อมเป็นผู้คัดเลือกบทความที่จะต้องลงพิมพ์ ย่อมต้องใช้ความระมัดระวัง … แต่จำเลยยังคงคัดเลือกบทความลงพิมพ์ในนิตยสารดังกล่าว จัดให้พิมพ์เป็นรูปเล่มและจัดจำหน่ายเผยแพร่แก่บุคคลทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่มีเจตนา ….”

เท่ากับว่า ศาลวางแนวการวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาคดีนี้แล้วว่า เพียงแค่โจทก์พิสูจน์ว่า จำเลยมีชื่อเป็น “บรรณาธิการ” อยู่บนปกหนังสือเท่านั้น ก็มีผลโดยอัตโนมัติว่า จำเลยต้องมีวิจารณญาณและมาตรฐานที่สูงกว่าบุคคลทั่วไป ต้องอ่านบทความ และต้องมีอำนาจเต็มในการคัดเลือกบทความว่าจะลงตีพิมพ์หรือไม่ โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เจตนาในการกระทำความผิดฐานนั้นๆ อีกต่อไป ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องตามเจตนารมณ์ของการแก้ไขกฎหมายการพิมพ์ ไม่ถูกต้องตามหลักภาระพิสูจน์ และไม่ได้ตีความกฎหมายอาญาอย่างแคบเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของจำเลย
 

แม้จะมีบรรทัดฐานหลายอย่างที่น่ากังวลจากคำพิพากษาในคดีนี้ เช่น การรวบรัดว่าบรรณาธิการต้องรับผิดชอบในเนื้อหาโดยไม่เน้นการพิสูจน์เจตนา การใช้ดุลพินิจเพื่อเลือกให้น้ำหนักพยานเพื่อตีความเนื้อหาที่หมิ่นฯ  การลงโทษฐานหมิ่นประมาททั้งๆ ที่ไม่มีการเอ่ยถึงบุคคลผู้เสียหาย แต่บรรทัดฐานอีกด้านหนึ่งที่เห็นได้ในคดีนี้ คือ การเขียนคำพิากษาให้ละเอียด การอธิบายวิธีการใช้ดุลพินิจ กล่าวอ้างถึงความเห็นของพยานต่างๆ ซึ่งเป็นความพยายามของศาลที่จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาถึงความยุติธรรมกับนักโทษในคดีการเมือง