ต้องทำยอดดื่ม ยอดออฟ เมากลับบ้านทุกวัน – ชะตากรรม Sex Worker ในวันที่กฎหมายยังไม่คุ้มครอง

ในโอกาสที่มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์และเครือข่ายภาคประชาสังคม กำลังรวบรวมรายชื่อประชาชน เพื่อเสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ สร้างระบบการคุ้มครองให้คนที่ทำอาชีพ Sex Worker มีสิทธิในสัญญาจ้างแรงงานเช่นเดียวกับอาชีพอื่น และได้รับการคุ้มครองทั้งเรื่องค่าตอบแทน ค่าใช้จ่ายเพื่อบริการด้านสุขภาพ สิทธิประกันสังคม ฯลฯ ชวนเรียนรู้สภาพการทำงานจริงของคนที่ทำอาชีพให้บริการทางเพศ พนักงานบาร์ พนักงานคาราโอเกะ ในวันที่กฎหมายยังไม่ยอมรับและยังไม่คุ้มครองอาชีพของพวกเขา

ไอลอว์ได้พูดคุยกับ “ไหม” อายุ 39 ปี คนที่ผ่านประสบการณ์ในแวดวงอาชีพ Sex Worker กับนายจ้างหลายแบบ เธอจะมาอธิบายข้อตกลงการทำงานและลักษณะการทำงานที่ผู้หญิงทำงานไม่มีสิทธิต่อรอง ไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขและทำงานแลกกับค่าตอบแทนเท่าที่จะหาได้ เพื่อให้เห็นว่า ทำไมวันนี้ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ฉบับประชาชน จึงจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขา

แนะนำตัวหน่อย

พี่ไหมนะคะ ตอนนี้ทำงานกับมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ จากที่เมื่อก่อนเราเคยเป็นนักเรียนที่เข้ามาเรียน ก็ขยับมาเป็นนักกิจกรรม แล้วก็ขยับมาทำงานแบบ full time กับเอ็มพาวเวอร์ ปัจจุบันก็ยังตะลอนๆ หาดื่มตามบาร์อยู่ค่ะ ยังไม่ออกจากวงการ ก็ยังทำอยู่

เล่าประสบการณ์การทำงานตามบาร์ให้ฟังหน่อย ได้ค่าแรงยังไงบ้าง

มันจะมีสองแบบ แบบพาร์ทไทม์ กับทำงานแบบได้รายวัน ถ้าคนที่ทำงานได้รายวันก็ต้องเข้างานตามเวลาที่ร้านบอก ก็คือค่าแรง 200 บางร้านก็ให้ 300 แล้วก็ค่าดื่ม ก่อนโควิดได้ดื่มละไม่ถึงร้อย ปัจจุบันเขาปรับเป็น 100 บาทหมด คือเราจะได้ค่าดื่มจากแก้วที่ลูกค้าซื้อให้ แก้วละ 100 ถ้าคืนนั้นเราสามารถทำดื่มได้ห้าดื่ม 10 ดื่ม เราก็ได้เงินตามจำนวนแก้วที่เราได้ เราก็จะได้รายได้จากตรงนี้ แล้วก็จะได้ค่าแรงด้วย ก็เมากลับบ้านทุกวัน คนที่ทำงานแบบมีค่าแรงถ้าไม่มาก็จะถูกหักเงิน

ส่วนคนที่เป็นพาร์ทไทม์ เข้าเวลาไหนก็ได้ แต่เขาก็มีกำหนดนะ ไม่ใช่ว่าจะเข้าตี 1 ตี 2 ก็ไม่ใช่นะ ถ้าเข้ามาช่วงเวลาก่อนสามทุ่ม ก็จะได้ค่าดื่มเท่านี้ ไม่มีค่าแรง ทำดื่มเอง 

อธิบายคำว่าทำดื่มให้ฟังหน่อย

ทางร้านเขาจะวางกฎเกณฑ์ไว้เลยว่า วันนี้ต้องทำได้กี่ดื่มตามกฎของร้าน เช่น ร้านนี้บังคับว่าต้องทำให้ได้สามดื่มต่อวัน ร้านนี้ต้องทำให้ได้ห้าดื่มต่อวัน เป็นรายได้เข้าร้านด้วย รายได้ของเราด้วย เหมือนบังคับ ถ้าเราทำไม่ถึงก็ถูกหักค่าแรง ก็คือค่าดื่มนั่นแหละมาทำเป็นค่าแรงเรา

มันก็เกี่ยวกับว่าวันนั้นลูกค้าร้านนี้เยอะหรือเปล่าด้วย ถ้าลูกค้าไม่เยอะ ก็ทำได้ยาก แล้วแต่สถานการณ์ว่าคืนนั้นคุณจะโชคดีหรือโชคร้าย

ร้านในเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ ใช้เรทต่างกันไหม

กรุงเทพฯ ถ้าเป็นอะโกโก้แถวซอยคาวบอย (อโศก) คนที่ไปทำงานเขาจะได้ค่าแรง 500 บาท แต่เราต้องทำสามดื่มก่อนนะ แต่ถ้าเราทำดื่มไม่ถึง เราต้องซื้อดื่มให้ตัวเอง เพื่อที่จะให้มันครบเราก็จะได้ทั้งค่าดื่มกับค่าแรงด้วย แต่ถ้าเราทำไม่ถึงก็ถูกหัก

ที่ว่าต้องซื้อดื่มให้ตัวเองนี่คือเราจ่ายแก้วนั้น?

เราก็อยากจะได้ให้มันครบไง สมมุติว่า วันนี้พี่หาได้อยู่สามดื่ม ยังขาดอีกหนึ่งดื่ม ก็ต้องซื้อใส่ให้มันครบ ก็จะได้ค่าดื่มกับค่าแรง พอเราลองเราคำนวณแล้วมันโอกว่า เราก็เลยต้องยอมจ่าย

ในระบบนี้ ผู้หญิงที่ทำงานบาร์จะต้องเจอหักค่าอะไรบ้าง

ยุคปัจจุบันมันเปลี่ยนไปจากยุคเดิม ยุคก่อนโควิดเงื่อนไขการทำงานถ้าเป็นร้านใหญ่ๆ เดือนนึงเขาให้หยุดแค่สองวัน เข้างานหกโมงเย็นเลิกตีสอง แล้วก็บังคับทำดื่มต่อเดือน 150 ดื่ม บังคับออฟ 12 ออฟ การออฟก็คือ มีลูกค้า 12 คนที่เราต้องไปด้วย แต่ถ้าเรามาสายก็จะถูกหักนาทีละสามบาทหรือสี่บาท ถูกหักเป็นนาที ถ้าสายเกินกว่า 20 นาทีก็ตัดไปเลย 100 นึง

เงินเดือนมันตั้งไว้ที่ 13,000 เนอะ ถ้าเราทำเป้าดื่มเป้าออฟถึง เราจะได้ 13,000 ด้วย ถ้าสมมุติว่า เดือนนึงเราทำดื่มไม่ถึง เขาก็จะเอาดื่มมาหักกับเงินเดือนเรา กี่ดื่มกี่ออฟเอามาหัก บางคนก็หักๆๆ จนเหลือแค่ 2,000-3,000 จากเงินเดือน ทุกอย่างมันจะถูกหักจากเงินเดือนหมด 

วันนักขัตฤกษ์เขาห้ามหยุด ส่วนมากลูกค้าจะเยอะ เทศกาลสงกรานต์หรือว่าเทศกาลลอยกระทง ถ้าไม่มาก็คือถูกหักเหมือนกัน ถ้าไม่ไปทำงานแปลว่าผู้หญิงต้องจ่ายเงินให้ร้านเป็นค่าขาดงานในวันหยุด แล้วถ้าร้านบอกว่าให้ใส่ชุดตีมนี้ ถ้าเราไม่ใส่ก็ถูกหัก แล้วการที่เราต้องใส่เราก็ต้องไปเช่ามาใส่ หรือไปซื้อมาใส่เอง ก็คือมีแต่รายจ่าย เพิ่มรายจ่าย

ตีมที่เขาให้ใส่เช่นอะไรบ้าง

ถ้าลอยกระทงก็ชุดไทย เขาจะให้ใส่ชุดเหมือนกัน สงกรานต์ก็จะเป็นเสื้อลายดอก

แล้วมีหักค่าอะไรอีก

ขึ้นอยู่กับระบบแต่ละร้าน บางทีก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว เขาก็อยากให้ร้านเขามีสาวๆ แต่หุ่นดีๆ ก็เลยใช้บังคับให้ลดน้ำหนัก คาราโอเกะก็มีนะ อะโกโก้ก็มี ใช้หักตามน้ำหนักกับส่วนสูง ยกตัวอย่าง พี่สูง 150 น้ำหนักห้ามเกิน 45 ถ้าเกินก็คือหักกิโลละ 200 บาททุกเดือน มาชั่งน้ำหนักกันเดือนละครั้ง ส่วนคนที่น้ำหนักมันเกินอยู่แล้ว มันอ้วนอยู่แล้ว มาชั่งเมื่อไหร่มันก็เท่าเดิม ก็เหมาจ่าย 2,000 ต่อเดือน

ต้องจ่ายเป็นเงินสดให้ร้านเลยใช่ไหม

คนที่ไม่มีเงินเดือนก็ควักเงินจ่าย คนที่มีเงินเดือนก็คือหักจากเงินเดือน

แล้วสถานการณ์หลังโควิด เป็นยังไง

พอหลังโควิดมาร้านใหญ่ๆ ล้มหายตายจากไปเยอะ เหลือแต่ร้านเล็กๆ แล้วร้านเล็กๆ ต้องง้อผู้หญิง เพราะว่าถ้าคุณไม่มีทางเลือกให้เขาได้รายได้ เขาก็จะไปอยู่ร้านอื่น มันก็จะไหลๆๆ ไป ร้านนี้เขาให้ดีกว่านะมาร้านนี้สิ เขาก็จะไหลกันไป ทำให้เขา (ร้าน) ก็สร้างระบบที่คล้ายๆ กันก็คือจะมีค่าแรงให้วันละ 200 หรือ 300 บาท แต่ถ้ารับผิดชอบมากกว่านั้นก็วันละ 400 เช่น ทำแคชเชียร์ไปด้วย ทำดื่มไปด้วย ทำบาร์เทนเดอร์ไปด้วย ทำทุกอย่างเลยในร้านตั้งแต่เปิดร้านยันปิดร้านเลย แล้วก็ได้ค่าดื่มต่างหาก 

บาร์ในเชียงใหม่นี่จะเหมือนกันหมดแล้วนะ เพราะว่าเหลือแต่ร้านเล็กๆ ไง ร้านที่เปิดเอง ส่วนร้านคาราโอเกะก็ยังมีเงื่อนไขอยู่ แต่ก็ทำถูกต้องขึ้น พนักงานที่เป็นแรงงานข้ามชาติ เขา (ร้าน) ก็เป็นนายจ้างให้หมดเลย แล้วก็ผลักดันให้เข้าประกันสังคม แต่พนักงานอาบอบนวดยังไม่มีนะ อาบอบนวดยังเป็นจ้างทำของอยู่ ก็คือทำงานเป็นรายชิ้นรายอันอยู่ วันนี้คุณต้องขึ้นลูกค้าสามคนหรือห้าคน ถ้าทำครบอยากกลับก็กลับได้ ถ้าอยากอยู่ต่อคุณก็อยู่ได้ แต่ถ้าทำไม่ครบก็ห้ามกลับบ้าน ต้องอยู่จนร้านปิด

ถ้าลูกค้าน้อย จะยังได้เงินไหม

สมมุติว่าได้ลูกค้าสักสองคนก็ได้ ได้ตังค์จากค่าขึ้นห้องกับลูกค้าอยู่ แต่ว่าถ้าเป็นส่วนที่ถูกหักก็ยังถูกหักอยู่ ที่ทำไม่ถึง มันก็ได้แต่ได้ไม่เยอะ ถ้าเราทำตามเป้ามันก็ได้เยอะ แต่พอไม่ได้มันก็ได้หน่อยเดียว

คนที่ไม่ได้อยู่ร้าน ทำงานอยู่ริมถนน เป็นยังไง

ถ้าเป็นพื้นที่อิสระเขาไม่ค่อยมีเงื่อนไขอะไร แต่เขาจะถูกเรียกรับเงินจากเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่า มาเก็บค่าคุ้มครอง ขอความร่วมมือก็จ่ายไป 100-200

ระบบงานระบบเงินแบบนี้ ทำให้ชีวิตคนทำงานเป็นยังไง

ถ้าถามที่เคยคุยกับเพื่อนๆ เขาก็มองว่ามันไม่แฟร์ ถูกหักเยอะ แต่ถามว่าอยู่ได้ไหม ก็อยู่ได้ จุนเจือครอบครัวได้ ดีกว่าไปรับจ้างที่บอกว่าได้ค่าแรงวันละ 300 ก็ไม่พอกิน

ต้องทำยอดดื่ม ยอดออฟ เมากลับบ้านทุกวัน – ชะตากรรม Sex Worker ในวันที่กฎหมายยังไม่คุ้มครอง

อาชีพ Sex Worker ถูก “ตีตรา” จากสังคมอย่างไรบ้าง

เป็นตัวแพร่เชื้อ เป็นผู้หญิงหากิน เป็นคนขี้เกียจ เป็นต่างด้าว เป็นกลุ่มเสี่ยง เป็นคนที่น่าสงสาร แต่ถ้าคำอธิบายคำว่าน่าสงสาร สงสารเรายังไง สงสารแล้วจะช่วยเรายังไง แต่เราไม่อยากจะได้ความสงสาร เราอยากจะได้สิทธิที่จะทำมาหากิน ดูแลครอบครัว ไม่ต้องมาสงสารเรา คือเราภูมิใจในการทำงานของเรา คือไม่ต้องมาสงสาร

เขาจะส่งเราไปที่สถานสงเคราะห์ สถานบำบัด เพื่อที่จะให้เราชำระล้าง ใส่ตะกร้าล้างน้ำ เสร็จแล้วก็เอาออกมาเพื่อที่จะได้ไปทำงานอย่างอื่น ขาวสะอาดแล้ว คืนผู้หญิงดีสู่สังคม เป็นนโยบายตั้งแต่ปี 2503 ในกฎหมายสมัยก่อน แล้วก็สร้างบ้านเกร็ดตระการขึ้นมา

ถ้าไม่ต้องการสถานสงเคราะห์ แล้วต้องการอะไร

ถ้าจับ ก็ไม่ต้องส่งไปสถานสงเคราะห์ ปล่อยเลย หรือถามว่าผู้หญิงอยากจะเข้าไปอยู่หรือเปล่า เพราะการเข้าไปอยู่มันคือคุกที่ไม่ใช่คุก ห้ามใช้โทรศัพท์ ห้ามติดต่อสื่อสารกับญาติพี่น้อง เหมือนหายสาบสูญเข้าไป ถูกขังอยู่ในนั้น ซึ่งต้องรอว่า กระบวนการในคดีความต่างๆ เรื่องที่ตำรวจทำอยู่จะไปถึงไหนเมื่อไร ซึ่งผู้หญิงก็ต้องรอว่า คดีความจะจบเมื่อไหร่ ในการรอของเขาก็คือใช้เวลาสี่ถึงห้าปี เคยไปเจอคนนึงที่ถูกขังอยู่ที่นั่น ถูกขังตั้งแต่อายุ 19 จนเขาอายุ 26 แล้ว เขายังไม่ได้กลับบ้านเลย

ข้างในสถานสงเคราะห์เขาให้ทำอะไรบ้าง

ฝึกเย็บปักถักร้อย ทำกระเป๋าสาน เย็บผ้า ทำขนมเบเกอรี่ งาน Handmade บังคับฝึกอาชีพ เขาเชื่อว่าเขาช่วยไง ช่วยให้เรามีอาชีพ สามารถไปเรียนรู้เรื่องอื่น ไปทำอาชีพอื่นได้ แต่ตลอดเวลาตั้งแต่ปี 2503 พม. (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ออกมายอมรับแล้วว่ามันล้มเหลว เขาทำถึงขั้นแบบว่าให้ทุนออกไปตั้งธุรกิจทำงานเองด้วยซ้ำ ยังไงก็ไม่รอด

แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วนะ ปัจจุบัน จับ-ปรับ-ปล่อยเพราะว่าประมาณสี่ปีที่ผ่านมาเอ็มพาวเวอร์ต่อสู้อย่างหนัก ที่ตำรวจจะจับแล้วก็ผู้หญิงเอาไปขังไว้เป็นพยาน เราก็ต่อสู้แล้วก็เรียกร้องยื่นต่อคณะกรรมการสิทธิ (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) ด้วย มันก็เลยเริ่มดีปรับดีขึ้น แล้วเราเข้าไปถึงพบนายใหญ่ที่เป็นตำรวจในการปราบปราม เราเข้าไปคุยกับเขาเลยว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ

แล้วความฝันว่าอยากได้ระบบการทำงานที่ดีกว่า มันเป็นยังไง

โควิดที่ผ่านมามันทำให้เห็นได้ชัดว่า เวลาเราตกงาน เราก็จะไม่ได้เงินว่างงาน ตกงานแบบสุดเลยอะ คือเสียศูนย์ไปเลย คือไม่ได้อะไรเลย จากรัฐบาลก็ไม่ได้ จากนายจ้างก็ไม่ได้ ไม่รู้อะไรจะมาอีก โรคอะไรจะมาอีก หรืออะไรจะเกิดขึ้นเราไม่รู้เลย ไม่มีใครรู้เลย เพราะฉะนั้นถ้าเรามีประกันสังคม อย่างน้อยเวลาร้านถูกสั่งปิดหรือถูกเลิกจ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็สามารถไปยื่นขอเงินว่างงานได้ เวลาไปหาหมอก็ไม่ต้องสำรองจ่ายเอง ประกันสังคมออกให้ ก็คือเงินเก็บเราก็ยังอยู่ แต่ถ้าเราป่วยมาแล้วไม่มีประกันสังคม ควักเองค่ะ จ่ายเอง ถ้าเป็นคนไทยเราไม่มีประกันสังคมแต่เรายังไปใช้สิทธิบัตรทองได้อยู่ แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่แล้วเขาไม่มีบัตรทอง

คิดเรื่องสัญญาจ้างงานรายเดือนบ้างไหม

ทุกคนก็อยากจะมีเงินเดือนอะนะ แต่ว่าเวลามีเงินเดือนปุ๊บ เงื่อนไขก็ตามมาเยอะ พอเงื่อนไขตามมาเยอะ เวลาทำไม่ได้ตามที่เขาบอก เราก็ถูกหัก ก็แทบจะไม่เหลืออะไร รายได้หลักๆ ก็คือได้จากค่าดื่มกับที่เราออฟไปกับลูกค้าแค่นั้น

อย่างพี่เป็นพาร์ทไทม์ พาร์ทไทม์ไม่มีค่าแรงแต่ต้องเข้าก่อนสองทุ่มเลิกตีสอง แล้วถ้าสมมุติว่าพี่ไม่ได้ไปตรวจเลือดมาให้ทุกเดือน ก็จะถูกหักจากที่เราไม่ตรวจ เราก็ถูกพักงาน ไม่ให้ไปทำงาน ถ้าอยากจะมาทำงานต้องไปตรวจก่อน แล้วก็ต้องจ่ายเข้า 3,000 จ่ายเพื่อกลับเข้าไปทำงานที่นี่ เหมือนเป็นค่าเช่าพื้นที่แล้วกัน ก็คือเช่าพื้นที่มานั่ง แล้วก็ถ้าได้ดื่มเท่าไหร่ก็จะได้เงินเท่านั้นไป

การเสนอกฎหมายตอนนี้ เราอยากเห็นอะไร

เราเคยสู้มาทุกวิถีทางแล้วว่า เราจะยกเลิกกฎหมายอันเก่า เราไม่เอากฎหมายใดๆ เป็นพิเศษ ถ้าจะดูแล Sex Worker ก็แค่เอากฎหมายแรงงานมาคุ้มครองเรา หรือว่ามาปรับใช้แบบว่าให้เราอยู่ภายใต้กฎหมายแรงงานไปเลย ซึ่งข้อเสนอแบบนี้ถูกปัดตกไป 

แล้วเราก็ปรึกษาจากเพื่อนเครือข่ายต่างประเทศ หรือนักวิชาการต่างๆ ที่เขาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย เขาบอกว่าการที่จะยกเลิกกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งต้องมีกฎหมายมาทดแทน เราก็เลยผลักดันร่างกฎหมายนี้ ซึ่งเราทำกับพม. แต่ว่าพม. เขาก็เงียบไป ไม่ขยับหรืออะไรใดๆ ทั้งสิ้น ถูกแช่แข็ง เราก็เลยเอาฉบับของพม. เนี่ยมาปรับเป็นฉบับของเรา ให้คนซื้อต้องอายุ 20 คนทำงานได้คืออายุ 18 เพราะเรามองว่าคนที่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรี มีวุฒิภาวะที่จะเลือกใครสักคนนึงจะมาเป็นแกนนำให้กับประเทศชาติเรา ไปเลือกตั้งได้แล้ว 18 ก็คือต้องทำงานได้ เขามีวุฒิภาวะที่จะตัดสินใจว่าเขาอยากจะทำอะไรไม่ทำอะไร

ส่วนเรื่องคุ้มครองก็จะเป็นคุ้มครองทั้งคนทำงานกับคนที่มาใช้บริการด้วย แต่เน้นควบคุมเจ้าของร้าน เพราะว่าบางทีก็ถ้าเราจะปล่อยปละละเลยเกินไป ก็กลัวมาเอาเปรียบเราเหมือนเดิม ในกฎหมายก็เลยต้องเขียนไว้ว่า นายจ้างต้องไปขึ้นทะเบียน ต้องทำอะไรบ้าง เพื่อความปลอดภัยในที่ทำงานด้วย ก็เลยอยากจะให้กฎหมายร่างนี้ให้มันผ่าน ถ้ามันผ่านปุ๊บ กฎหมายเดิมก็จะถูกยกเลิกไป ความผิดผู้หญิงก็ไม่มีละ ไม่มีความผิดข้อหาค้าประเวณี

แล้วฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการให้ Sex Worker ถูกกฎหมาย เขาคิดยังไง

เขากังวลอยู่สามอย่างหลักๆ เลยนะ เด็ก สถาบันครอบครัว ศีลธรรมอันดี ก็คือกลัวคนแห่กันเข้ามาทำงานนั่นแหละ กลัวแบบโฆษณากันปาวๆๆ 

จริงๆ ไม่ใช่นะ มันไม่มีใครที่อยากจะออกมาเปิดเผยหน้าตาหรอก แล้วอาชีพนี้ยังไม่ได้ถูกยอมรับ ทุกคนก็ยังไม่อยากจะเปิดเผยให้ครอบครัวตัวเองรู้ เป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะออกมาป่าวประกาศปาวๆ ว่าฉันทำงานขายบริการทางเพศนะ มาซื้อฉันสิ อย่างนี้ไม่มีหรอก เขาก็ทำงานปกติเหมือนเดิม เขาก็ได้รับการคุ้มครอง เขาก็ทำงานอยู่ในระบบในร้านเหมือนเดิม ในวันนี้บางคนก็เข้ามาบางคนก็ไม่เข้ามา เพราะมันไม่ใช่ทางของเขา การที่มีกฎหมายกับไม่มีกฎหมาย มันไม่ได้วัดจำนวนคนที่เข้ามาทำงานบริการ มันมีเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลา มันไม่มีใครแห่กันเข้ามาหรอก ใครจะบ้าใครจะแห่กันเข้ามา

งาน Sex Worker มันเป็นงานที่สบาย รวยทางลัด จริงหรือเปล่า? 

มันไม่ได้เป็นงานที่สบาย มันต้องใช้สกิล (ทักษะ) ในการทำดื่ม หาเงิน พูดคุย ใช้สกิลในการดูแลเทคแคร์ลูกค้าเพื่อที่ให้เขาจ่ายดื่มให้เรา คือมันเหนื่อยนะ การที่เราจะคุยกับใครสักคนนึงกว่าเราจะได้หนึ่งดื่มสองดื่ม เหนื่อยนะ พี่ว่ามันโคตรเหนื่อยเลย ต้องเล่นพูลเขาอีกที ตีสนุ๊ก ต้องร้องเพลงอีก ร้องจนคอแหบจนแสบไปหมดแล้วก็ได้อยู่สี่ดื่ม กว่ามันจะได้เงินมันก็ยาก ไม่ใช่ว่าจะได้ง่ายๆ แล้วเสียสุขภาพแก้วหูเราด้วย เวลาแหกปากอยู่ในห้องร้องคาราโอเกะเนี่ย ทำงานบาร์ก็ต้องแข่งพูลกับลูกค้า ชนะถึงจะได้ ไม่ชนะก็ไม่ได้ มันมีเงื่อนไข ลูกค้าไม่ใช่อยู่ดีๆ ฉันให้เธอ จะใจดีขนาดนั้น มันต้องคุยกับเขา ดูแลเขา กว่าจะได้เงินก็ยากนะ วันนึงไปหาดื่มกว่าจะได้สองดื่มนี่ยากเย็นแสนเข็ญ ซึ่งสองดื่มก็ได้ 200 ถ้าได้ 300 ก็ได้ค่าน้ำมันรถกลับบ้านละ

ฝากเชิญชวนให้คนมาช่วยกันสนใจเรื่องนี้มาช่วยกันเข้าชื่อได้เลย

ก็อยากจะฝากพี่น้องประชาชนทั้งหมด ที่มีสิทธิลงชื่อ ขอช่วยลงชื่อให้กับกลุ่มของ Sex Worker เราด้วย เพราะว่าเราต่อสู้กันมายาวนานมาก ถ้าปีนี้ก็เข้าปีที่ 40 แล้ว อายุแก่แล้ว เลยอยากจะให้กฎหมายฉบับนี้ถูกยกเลิกไป แล้วก็คุ้มครองพนักงานบริการที่เป็นรุ่นเจนหลังเราดีกว่า เพราะว่าอาชีพนี้มันไม่ได้แค่เพิ่งเกิดเนอะ มันเกิดมาเมื่อ 700 ปีมาแล้ว มันก็อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน แทนที่เราจะเขี่ยหรือว่าปัดๆ ให้อยู่ใต้พรม เราเปิดพรมให้เขาได้รับสิทธิในการคุ้มครองดีกว่า

สำหรับคนที่เห็นด้วยกับข้อเสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ร่วมลงชื่อเป็นหนึ่งในคนที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ได้โดยคลิกที่นี่