คดี “โกงเลือก สว.” อาจทำสส. ภูมิใจไทยหลุดจากตำแหน่ง และถึงขั้นยุบพรรคได้ ถ้าพรรคมีส่วนรู้เห็น

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 รายงานข่าวจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุว่า คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลาง ชุดที่ 26 ซึ่งเป็นกรรมการร่วมระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 และมีมติออกหมายเพื่อเรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ “โกงเลือก สว.” ในล็อตที่ 7 ประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในพรรคภูมิใจไทย ได้แก่ ผู้นำพรรค 2 ราย ที่เรียกกันว่า “2น.” และกรรมการบริหารพรรคหลายราย 

ส่วนหนึ่งของรายชื่อที่ถูกเรียกชี้แจง ได้แก่

๐ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
๐ ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร

๐ ไชยชนก ชิดชอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย

๐ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 

๐ กรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย

๐ เนวิน ชิดชอบ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย

เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) พรรคภูมิใจไทยถูกออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในคดี “โกงเลือกสว.” ซึ่งเป็นการตั้งข้อหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป.สว.ฯ) มาตรา 76, 77 ฐานจูงใจให้ผู้สมัครลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนน หรือข้อหาการซื้อเสียง หากได้กระทำขึ้นจริง การกระทำในลักษณะนี้ย่อมส่งผลต่อสถานะความเป็น สส. และอาจนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้ 

คดี “โกงเลือก สว.” อาจทำสส. ภูมิใจไทยหลุดจากตำแหน่ง และถึงขั้นยุบพรรคได้ ถ้าพรรคมีส่วนรู้เห็น

การถูกตั้งข้อหาไม่ทำให้หลุดจากตำแหน่งทันที

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ไม่ได้กำหนดให้การถูกออกหมายเรียกหรือตั้งข้อหาทางอาญาเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติ เพราะยังต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดจากศาล ยกเว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้

ในกรณีนี้การพ้นจากสมาชิกภาพของสส. พรรคภูมิใจไทย เป็นไปได้ 2 กรณี

การพ้นจากสมาชิกภาพของสส. ในรัฐธรรมนูญหมวดที่ 7 มาตรา 101 (13) ที่กำหนดให้สส. ต้องพ้นจากสมาชิกภาพเมื่อต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

ส่วนการพ้นจากสมาชิกภาพของรัฐมนตรีกำหนดไว้ในหมวด 8 มาตรา 170(4) ที่กำหนดให้รัฐมนตรีต้องไม่เป็นผู้ต้องคําพิพากษาให้จําคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

ในทางปฏิบัติเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งสส. ถูกศาลพิพากษาให้จำคุกระหว่างดำรงตำแหน่ง หากคำพิพากษาที่ออกมายังไม่ถึงที่สุดและตัวสส. ได้รับการประกันตัวในวันที่ศาลมีคำพิพากษาเพื่อจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อ ก็จะไม่พ้นจากตำแหน่ง เพราะถือว่ายังไม่ถูกออกหมายขัง และคดียังไม่ถึงที่สุดตามมาตรา 101(13) แต่หากคำพิพากษาที่ออกมาเป็นที่สุดให้ลงโทษจำคุก ไม่ว่าศาลจะรอการลงโทษจำคุกให้หรือไม่ ตัวผู้ถูกดำเนินคดีก็จะพ้นจากตำแหน่งเพราะเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 101 (13) หรือหากตัวสส. ถูกพิพากษาจำคุกและไม่ได้รับการประกันตัว คือ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ “แม้เพียงวันเดียว” ก็จะพ้นจากตำแหน่ง ในกรณีของรัฐมนตรีเองก็ยึดถือหลักการนี้เช่นเดียวกัน 

ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และรัฐมนตรี หรือที่เรียกรวมกันว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หรือทุจริตเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนุญมาตรา 234(1) อธิบายว่าผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาได้ 

หากศาลมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และรัฐมนตรีรายดังกล่าวจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวทันที ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคสี่ เว้นแต่ศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น

เมื่อศาลรับคำร้อง สว. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่วนสส. พ้นจากตำแหน่งเมื่อพิพากษา

หากการกระทำของสส. หรือรัฐมนตรี เข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เช่น กระทำการทุจริตหรือมีส่วนรู้เห็นในการจัดฉากเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความผิดตามพ.ร.ป.สว.ฯ มาตรา 76 ที่ห้ามไม่ให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือผู้ดํารงตําแหน่งอื่นใดในพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ช่วยเหลือให้ผู้สมัครผู้ใดได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือทําให้ผู้สมัครผู้ใดไม่ได้รับเลือก หากได้กระทำลงไปต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น

สำหรับคดีการ “โกงเลือกสว.” ที่เป็นข้อหาทางอาญามีโทษจำคุก เมื่อกกต. สรุปสำนวนแล้วจะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ให้ศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย ตามพ.ร.ป.สว.ฯ มาตรา 62 เมื่อศาลฎีการับคำร้องจากกกต. ไว้แล้ว ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นสว. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที โดยไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อยกเว้น

ซึ่งมาตรา 62 ออกแบบมาเพื่อเอาผิดผู้สมัครสว. ที่ได้รับเลือกมาโดยทุจริต จึงไม่ได้เขียนเพื่อให้ครอบคลุมกรณีมีสส. หรือรัฐมนตรี หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นร่วมในคดีการโกงเลือกสว. ด้วย ดังนั้น หากศาลฎีการับคำร้องแล้วก็ยังไม่อาจสั่งให้สส. หรือรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปด้วยได้

แต่หากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า สว. หรือสส. กระทำความผิด จะมีผลให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งทันที และอาจถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต หรือ ในระยะเวลาหนึ่งตามที่ศาลกำหนด

หากเป็นกรณีที่ศาลฎีกาพบว่า ทั้งสว. ที่ได้รับเลือกและในรายชื่อสำรองจำนวนมากเกี่ยวข้องกับการโกงการเลือกสว. และตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไป เป็นเหตุให้เหลือสว. อยู่ไม่ถึง 100 คน จึงต้องมีการเลือกใหม่ มาตรา 86 ของพ.ร.ป.สว.ฯ กำหนดให้ ศาลฎีกาอาจสั่งให้ผู้ที่กระทำผิดฐานโกงเลือกสว. รับผิดในค่าใช้จ่ายสําหรับการเลือกครั้งที่เกิดการโกงขึ้นไปแล้วด้วยก็ได้ จํานวนค่าใช้จ่ายให้ศาลฎีกาพิจารณาจากหลักฐานการใช้จ่ายที่ กกต. เสนอต่อศาล

พรรคการเมืองอาจถูกยุบ ถ้ามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทุจริต

21 พฤษภาคม 2568 ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อพิจารณายุบ “พรรคภูมิใจไทย” โดยณฐพร ระบุว่าการยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยเป็นไปตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 (พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ) โดยอ้างเหตุว่า มีการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครอง หรือได้มาซึ่งอำนาจการปกครองไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ตามมาตรา 92 (1) และกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย​ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 (2) โดยเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ณฐพรได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดไปแล้วด้วย

ตามพ.ร.ป. พรรคการเมืองฯ แม้ว่าการกระทำผิดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายบุคคลจะมีผลเฉพาะตัวบุคคล แต่ถ้ามีหลักฐานว่าเป็นการกระทำที่พรรคการเมืองรู้เห็นเป็นใจ หรือมีนโยบายให้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อาจส่งผลให้พรรคการเมืองนั้นถูกยุบได้ตามมาตรา 92 (1) ที่กำหนดว่า กกต. มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคได้ หากพบว่า 

“กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ”

ดังนั้น หากปรากฏว่าพรรคมีส่วนร่วมโดยตรงในการสนับสนุนให้สส. โกงการเลือก สว. อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และพ.ร.ป.สว.ฯ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการสั่งการ ใช้ทรัพยากรของพรรค หรือมีหลักฐานว่าสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ก็อาจตกอยู่ในฐานความผิดกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตามมาตรานี้ได้ 

โอกาสยุบพรรคขึ้นอยู่กับ “ระดับความเชื่อมโยง”

การสิ้นสุดของพรรคการเมืองเป็นไปตามพ.ร.ป. พรรคการเมืองฯ มาตรา 90 หากศาลฎีกาพิพากษาว่า มีสส. เข้าร่วมการ “โกงเลือก สว.” แม้พรรคการเมืองจะไม่ได้รับโทษจากความผิดของสส. แต่ละคนโดยอัตโนมัติ แต่หากการกระทำดังกล่าวสะท้อนถึง พฤติกรรมเชิงโครงสร้าง ที่พรรคมีส่วนร่วม เช่น มีการวางแผนภายในพรรค สนับสนุนงบประมาณ หรือกรรมการบริหารพรรคมีบทบาทในกระบวนการทุจริต ก็อาจถูกตีความว่าเข้าข่าย “การกระทำของพรรค” ได้ 

พรรคการเมืองมีสถานะเป็นนิติบุคคล ดังนั้น การพิจารณาว่าการกระทำใดถือว่าเป็นการกระทำของพรรคการเมืองได้นั้น ต้องพิจารณาโดยใช้หลักกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคการเมืองอาจถูกลงโทษยุบพรรคเช่นนี้ ต้องพิจารณาการกระทำในกรณีดังกล่าวเทียบเคียงกับหลักกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคล 

นิติบุคคลมีสิทธิหน้าที่ได้เพียงเท่าที่กฎหมายและข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งกำหนดเท่านั้น การกระทำของนิติบุคคล นิติบุคคลจึงถูกจำกัดให้กระทำได้เท่าที่กฎหมายหรือข้อบังคับดังกล่าวบัญญัติไว้ สำหรับการกระทำผิดกฎหมายอาญานั้น ในวงการนิติศาสตร์ไทยเป็นที่ยุติลงแล้วว่า นิติบุคคลสามารถตกเป็นจำเลยในคดีอาญา ถูกลงโทษตามกฎหมายได้อีกด้วย การแสดงเจตนาทางอาญาของนิติบุคคลจึงแสดงออกผ่านทางผู้แทนนิติบุคคล และการแสดงเจตนานั้นจะผูกพันนิติบุคคลก็เมื่อผู้แทนนั้นแสดงเจตนาซึ่งอยู่ภายในวัตถุประสงค์ของนิติบุคคล หากไม่เป็นเช่นนั้นการแสดงเจตนาดังกล่าวย่อมผูกพันเฉพาะผู้แทนเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

ดังนั้น พรรคการเมืองจะกระทำผิดได้ก็ต่อเมื่อวัตถุประสงค์ของพรรคการเมืองนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ วิถีทางของประชาธิปไตย หรือการดำรงอยู่ของรัฐไทย และผู้แทนของพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นความผิดในฐานะผู้แทนพรรคการเมือง

โดยคดีเรื่องการยุบพรรคภูมิใจไทย ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัยขั้นสุดท้ายว่า พฤติกรรมของพรรคการเมืองเข้าข่ายเหตุยุบพรรคหรือไม่ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการไต่สวนแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองกระทำการพ.ร.ป. พรรคการเมืองฯ มาตรา 92 ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นด้วย

มาตรา 49 กับปัญหาการตีความคำว่า “บุคคล” สมดุลของสิทธิ เสรีภาพ และอำนาจรัฐ

ในกรณีนี้ผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองไม่ใช่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(ก.ก.ต.) แต่เป็นณฐพร โตประยูร ที่ใช้สิทธิและหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทยในการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา จึงเป็นการใช้ช่องทางการยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่กำหนดว่า

บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้

ผู้ใดทราบว่ามีการกระทําตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวได้

ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคําสั่งไม่รับดําเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดําเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคําร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้…”

จะเห็นได้ว่ามาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เปิดช่องให้บุคคลสามารถร้องเรียนต่ออัยการสูงสุด หรือหากอัยการไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยว่าบุคคลใดมีการกระทำที่มุ่งล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

โดยบทบัญญัตินี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมิให้มีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในทางที่เป็นอันตรายต่อระบอบการปกครอง เป็นการเขียนขึ้นเพื่อให้มีช่องทางตามกฎหมายที่จะยับยั้งการรัฐประหาร แต่เมื่อนำมาใช้จริงยังไม่เคยใช้ปกป้องประชาธิปไตย แต่ใช้ในกรณียื่นคำร้องให้ยุบพรรคการเมือง ซึ่งมีประเด็นว่า “คำว่า บุคคล ตามมาตรา 49 นั้น หมายรวมถึงพรรคการเมืองด้วยหรือไม่” และเกิดความเห็นที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับนักวิชาการและนักกฎหมายจำนวนมาก 

ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 1/2563 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ระหว่าง นายณฐพร โตประยูร ผู้ร้อง กับพรรคอนาคตใหม่ ที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ที่ 4 ผู้ถูกร้อง เป็นกรณีแรกที่มีการยื่นคำร้องต่อศาลให้วินิจฉัยพรรคอนาคตใหม่ว่ากระทำการเข้าข่ายล้มล้างการปกครองนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนวคำวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า “คำว่า บุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 รวมถึงนิติบุคคล เช่น พรรคการเมือง ด้วย” โดยให้เหตุผลว่าพรรคการเมืองนั้นเป็นองค์กรที่มีอำนาจดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหาร และสามารถแสดงเจตนาในทางการเมืองได้ผ่านนโยบายและการกระทำของบุคลากรในพรรค จึงไม่อาจแยกความรับผิดออกจากตัวบุคคลได้ ศาลยังยืนยันว่าบุคคลทั่วไปมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะยื่นคำร้องเพื่อให้สังคมมีเครื่องมือตรวจสอบพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย

ทว่าสถาบันปรีดี พนมยงค์ให้ความเห็นว่าคำว่า “บุคคล” ในมาตรา 49 ควรตีความอย่างเคร่งครัดให้หมายถึงเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น ไม่ควรขยายไปถึงพรรคการเมืองซึ่งเป็นนิติบุคคล และหลักการสำคัญของประชาธิปไตยที่ว่าด้วยสิทธิในการรวมกลุ่มทางการเมืองและจัดตั้งพรรคเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง ดังนั้นการยุบพรรคหรือจำกัดการแสดงออกทางนโยบายควรอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่เข้มงวด มีขั้นตอนตรวจสอบที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่การตีความจากมาตราเดียว 

คดียุบพรรคภูมิใจไทยยังยาก ต้องให้กกต. เป็นผู้ยื่นคำร้องให้ยุบพรรค

จากบทเรียนของคำวินิฉัยที่ 1/2563 ชี้ให้เห็นว่าบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 มีเพียงการสั่งให้ “เลิกการกระทำดังกล่าว” เท่านั้น หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า พรรคภูมิใจไทยกำลังทำกิจกรรมหรือโครงการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นไปเพื่อล้มล้างการปกครองฯ จริง ก็มีอำนาจเพียงสั่งให้หยุดการกระทำนั้นเท่านั้น การสั่งให้ “ยุบพรรคการเมือง” จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการยุบพรรคการเมืองที่กำหนดไว้ในกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง

แม้ว่าในคำร้องของ ‘ณฐพร โตประยูร’ ได้อ้างถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2560 มาตรา 92 (1) และ (2) แต่บทบัญญัติดังกล่าวระบุให้ยุบพรรคได้ถ้าพรรคการเมืองกระทำการล้มล้างการปกครองฯ หรือกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ แต่การยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองยังคงเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ใช่อำนาจของบุคคลทั่วไป โดยในมาตรา 93 ระบุด้วยว่า กกต.จะมอบหมายให้เลขาธิการ กกต.ดำเนินการ หรือขอให้อัยการสูงสุดช่วยดำเนินการให้แทนได้ แต่ไม่มีบทบัญญัติที่ให้บุคคลทั่วไปมีอำนาจยื่นยุบพรรคการเมืองต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

การใช้มาตรา 49 โดยตรงต่อพรรคการเมืองอาจทำให้เกิด ช่องว่างในการใช้อำนาจรัฐเพื่อตีความตามอำเภอใจ และกลายเป็นเครื่องมือในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อกระบวนการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญสามารถทำได้โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองของอัยการสูงสุดตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การขาดกลไกถ่วงดุลในชั้นต้นเช่นนี้ อาจนำไปสู่การทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ และทำให้ระบบรัฐสภาจากการเลือกตั้งอ่อนแอ เมื่อพรรคการเมืองที่ประชาชนลงคะแนนเสียงให้อาจถูกสั่งยุบได้โดยคำร้องของบุคคลธรรมดา