เป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว กับ #ม็อบ2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว และก็เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่ฮิวโก้ จิรฐิตา ธรรมรักษ์ถูกแจ้งข้อหา ม.112 จากการปราศรัยในม็อบวันนั้น ซึ่งตลอดระยะเวลา 4-5 ปีนี้ นอกจากการต้องคอยเดินทางไปศาลในการสู้คดีแล้ว การที่คดีไม่สิ้นสุดก็ทำให้เธอในวัยที่กำลังสร้างความมั่นคงในชีวิตต้องเจอกับความไม่แน่นอน และมีความกังวลกับอนาคตตลอดด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าจำเลยในคดีหลายคนจะเลือกลี้ภัยทางการเมืองไปแล้ว แต่เธอที่ยังอยู่ ก็เตรียมใจสำหรับกรณีที่แย่ที่สุดในคำตัดสินของคดี คือหากต้องติดคุก แต่ก็ยังมีความหวังว่า ค่ำคืนที่ยาวนานมันไม่ได้อยู่ตลอดไป เช้าวันใหม่มันคงมาถึงเรา

จากเคลื่อนไหวในมหา’ลัย สู่การจับพลัดจับผลูขึ้นปราศรัยใหญ่เวทีสาธารณะ
ในวันที่ฮิวโก้ก้าวขึ้นเวทีปราศรัยทางการเมือง โดยมีคนนับพันนับหมื่นเป็นผู้ฟัง เธอเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้เธอได้เรียนจบ และทำงานอยู่พรรคการเมืองแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่กองเลขานุการเกี่ยวกับกองเครือข่าย เธอเริ่มเล่าให้เราฟังว่า จากการชุมนุมในช่วงปี 2563-2564 นั้น เธอโดนดำเนินคดีไปทั้งหมด 3 คดี
“เป็นคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ แต่ว่าคดีจบไปแล้ว ก็คือศาลยกฟ้อง แต่ว่าในส่วนที่เป็นคดีที่หนักอยู่ ก็คือคดี ม.112 ที่จะสืบพยานเสร็จช่วงเมษายน และศาลจะตัดสินช่วงมิถุนายนนี้”
การพูดคุยครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเองเพิ่งเสร็จการสืบพยานในห้องพิจารณาคดี ซึ่งเธอก็เล่าบรรยากาศว่า เธอคิดว่าศาลมีความเป็นธรรมในการพิจารณา “หมายความว่า ศาลให้เวลาทนายจำเลยได้ถามค้านเยอะ นอกจากให้เวลาถามแล้วก็ยังให้เวลาเตรียมตัว และบันทึกเกี่ยวกับการถามค้านของทนายได้ค่อนข้างครบถ้วน แล้วในส่วนของทนายเองก็เต็มที่อยู่แล้ว เพราะว่าเป็นทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ก็ถามไปในทิศทางเรื่องของเสรีภาพ การต่อสู้เรื่องเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น แล้วก็เรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัตถุพยานต่างๆ ในคดีนี้ ในส่วนของอัยการก็คิดว่าไม่ได้โหด มันจะมีบางคดีที่อัยการโหดหรือว่าตอบโต้ค้าน แต่คดีนี้อัยการค่อนข้างโอเค กระบวนการสืบหรือว่าในชั้นศาลมันเป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งไม่ได้แย่มากนัก” เธอเล่า
คดี #ม็อบ2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว ชื่อของการชุมนุมได้บอกสถานที่และวันที่นัดหมายชุมนุมกันในปี 2563 อยู่แล้ว ฮิวโก้ถูกตั้งหลายข้อกล่าวหา ที่หนักสุดคือ ม.112 และ ม.116 ซึ่งเธอเองไม่ได้มาเริ่มต้นกิจกรรมทางการเมืองที่กรุงเทพฯ แต่เริ่มในมหาวิทยาลัย ในจังหวัดนครศรีธรรมราชก่อน
“ตอนที่เราเป็นนักศึกษา ม.วลัยลักษณ์ เราเรียกร้องเรื่องในมหาวิทยาลัยก่อน คือเรื่องการจำกัดสิทธิเสรีภาพนักศึกษา หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ขยับมาเรื่องภายนอกเยอะขึ้น คือเรื่องสังคมรอบข้าง เศรษฐกิจ นายกฯ และเรื่องทางการเมืองที่มันเป็นในทางโครงสร้างเยอะขึ้น เราก็เป็นคนนักศึกษาคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้อง จึงเข้ามาเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก แล้วเราเรียนจบพอดีด้วย เลยได้เข้ามาร่วมม็อบที่กรุงเทพฯ”
“ม็อบ 2 ธันวา เป็นครั้งแรกที่เราขึ้นปราศรัยในเวทีที่เป็นเวทีสาธารณะนอกมหา’ลัย คือในมหา’ลัยเราเป็นกลุ่มนักศึกษาเล็กๆ ที่ผลัดกันโต้แย้งอธิการบดีบ้าง หรือว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง แต่ว่าในทางสาธารณะ ม็อบ 2 ธันวา คือเวทีแรกที่เราพูดเรื่องเกี่ยวกับ ม.112”
เธอเล่าว่า เธอไม่ได้เป็นแกนนำหลัก และจำรายละเอียดเหตุการณ์ชุมนุมในวันนั้นไม่ได้ชัดเจน แต่ช่วงนั้นเหมือนว่า เวทีจะว่าง แล้วเธอรู้จักกับคนจัดม็อบ ที่เป็นเพื่อนๆ กัน จึงมีการชวนกันขึ้นไปพูด ซึ่งเธอบอกกับเราว่า “อาจจะเรียกได้ว่าจับพลัดจับผลู” และเมื่อย้อนกลับไปในวันนั้น ฮิวโก้คิดว่าการปราศรัยของเธอสอดคล้องไปกับข้อเรียกร้องของสังคมที่กำลังเกิดขึ้น
“เราคิดว่าข้อเรียกร้องของหลายคนมีการพูดการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว และเรียกร้องให้นายกฯ (ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ลาออก เราคิดว่าสองข้อนี้เป็นข้อเรียกร้องหลักๆ ที่หลายๆ คนปราศรัย จริงๆ ความเข้าใจของเรา ถ้าเราพูดเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบัน หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสถาบัน ก็อาจจะมีสิทธิโดน 112 เพราะว่าก่อนหน้านั้นในหลวงประกาศไม่ให้ใช้ ม.112 จึงมีการหยุดใช้ไปพักหนึ่ง ก่อนที่ช่วงนั้นประยุทธ์ประกาศจะใช้ทุกข้อกฎหมายเพื่อกำราบม็อบ เราก็คิดว่ามันคงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะโดน แต่ว่าด้วยเราปราศรัยด้วยเจตนาอันดี ไม่ได้คิดว่าจะล้มสถาบัน เพราะว่ามันทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว แค่มันเป็นข้อเรียกร้องที่ส่วนใหญ่ในสถานการณ์สังคมตอนนั้นให้เกิดการปฏิรูป”
“สำหรับเรา ความเข้าใจในทางข้อกฎหมายตอนนั้นไม่ได้มีมากพอว่าสิ่งที่เราพูดจะผิด หรือว่ามันจะไม่ผิด แต่ถามว่ามีเจตนาที่จะล้มล้างหรือเปล่า หรือเจตนาไม่ดีต่อสถาบัน หรือเป็นการใส่ร้าย ดูหมิ่นไหม เราก็คิดว่าไม่ เรายืนยันว่าสิ่งที่เราทำเป็นการแสดงความคิดของประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้คิดว่ามันจะมีพลังให้เกิดกองกำลัง หรือม็อบขนาดใหญ่ แต่เป็นการแสดงความคิดว่าประชาชนคนหนึ่งรู้สึกอย่างนี้”

ความเครียด เมื่อไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไรและอย่างไร
แม้ว่าจะประเมินอยู่แล้วว่า การขึ้นปราศรัยในวันนั้น มีสิทธิที่จะโดน ถึงแม้วันที่ได้รับหมายจะตกใจ แต่เธอก็ยอมรับ และระยะเวลาการพิจารณาคดีกว่า 4 ปีที่ผ่านมา กินระยะเวลาของชีวิตเธอพอสมควร
“วันนั้นก็ตกใจ แต่ว่าก็เข้าใจอยู่แล้วว่ามันเกิดขึ้นได้ ซึ่งโอเคพอมันเกิดขึ้นแล้ว แม้จะไม่ได้อยากโดน แต่ก็ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นไปแล้ว
มันใช้เวลานานเพราะว่าจำเลยหลายคน แล้วก็มีจำเลยที่ลี้ภัยออกไป แล้วถูกจำหน่ายคดีออก ในส่วนของจำเลยบางคนก็รับสารภาพก็จำหน่ายคดีออก มันก็เลยทำให้ต้องยื่นกลับเข้ามาฟ้องใหม่ จึงกินเวลานาน และในช่วงที่ต้องมาศาลก็กระทบกับงานหลักเรานิดหน่อย เพราะมันก็เป็นวันธรรมดาที่ต้องลางานมา โชคดีดีที่ทำงานก็เข้าใจ แล้วก็เห็นใจ
ส่วนเรื่องวางแผนอนาคต แน่นอนอยู่แล้วว่าเราวางแผนระยะยาวไม่ได้เลย หมายความว่า อายุเท่านี้ ทำงานมา 2-3 ปี ถ้าอยากซื้อรถซักคันก็อาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักที่จะซื้อ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าถ้าคดีนี้ไปในทางที่เลวร้ายที่สุด คือถูกจำคุก หนี้ภาระที่เราก่อไว้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ หรือว่าอะไรที่มันเป็นของชิ้นใหญ่ๆ ที่เราอยากได้ในการวางแผนที่จะสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว”
ฮิวโก้เล่าให้เราฟังต่อว่า ด้วยระยะเวลาที่กินมายาวนานหลายปีนี้ มันจึงทำให้เธอมีความเครียด และกดดันในสองแบบ
“ความเครียดแรก คือเครียดตอนที่ยังไม่ได้สืบคดี ช่วงเว้นไทม์ไลน์ที่ว่าง ก็กดดันแบบนึง เราไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี จะตัดสินใจกับชีวิตยังไง จะไปซ้าย หรือขวา จะไปเวย์ไหน และเราไม่รู้ว่ามันจะกินเวลาขนาดไหน มันจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม แล้วเราต้องใช้ชีวิตเผื่อเรื่องนี้ตลอด ในเมื่อเรื่องนี้มันยังไม่ถึงที่สุด ถ้าเราอยากทำอะไรซักอย่าง ออกไปเที่ยวก็ออกไปไม่ได้ ตอนประกันมันติดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ มันก็ตัดโอกาสเราในการในการค้นหาโลกพอสมควร
ในขณะที่ความเครียดอีกแบบนึงก็มี คือตอนที่เริ่มสืบจริงๆ ก็กดดันอีกแบบหนึ่ง เราก็กดดันว่า ท้ายที่สุดแล้วผลมันจะเป็นยังไงกันแน่ ทั้งเราเองยังไม่เคยถูกจำคุกเลย ศาลให้ประกันมาตลอด มันก็เลยเป็นความกลัว ความจินตนาการว่า หากต้องเข้าเรือนจำ เราจะรับได้แค่ไหน”
“แต่ในเรื่องคดี เราโชคดีที่มี support system ที่ดี หมายถึงว่าครอบครัวเข้าใจกับความเป็นไปที่มันเกิดขึ้น แล้วเขาก็เคารพการตัดสินใจของเราพอสมควรว่าเราจะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไง เราคิดว่าแม่เรามีสติดีมากตอนที่เราบอกว่าเราโดนคดีนี้ เราจำวันนั้นได้ ตอนแรกคิดว่าแม่เราจะด่า หรือโวยวาย แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือ เค้าพาเราไปกินข้าว แล้วก็บอกว่ามันเกิดขึ้นแล้ว อยู่ที่ว่าต่อจากนี้เราจะยังไงกับมัน ไม่ว่าจะเลือกทิศทางไหน เค้าก็จะซัพพอร์ตแล้ว และโชคดีที่ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงที่ทำงาน เพื่อนเรา คนรอบข้างเราด้วย”
แม้ว่าแกนนำการชุมนุมหลายๆ คน หรือคนที่ถูกฟ้องคดี ม.112 มักจะถูกคอมเมนต์ หรือโจมตีด้วยความเห็นต่างทางการเมือง แต่สำหรับฮิวโก้ เธอไม่เคยเจอประสบการณ์เหล่านั้น โดยตั้งข้อสังเกตว่า คงเพราะเธอไม่ใช่แกนนำหลักที่คนรู้จักในวงกว้าง แต่สิ่งที่เธอเจอกลับเป็นการคุกคามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า
“มีการไปติดตามที่บ้านว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เลิกเคลื่อนไหวแล้วหรือยัง บอกที่บ้านเรา ให้เราเลิกนะ ซึ่งกระทบกับครอบครัวอยู่แล้ว เพราะว่าที่บ้านเรามีแต่คนแก่กับเด็ก แม่เราก็ไม่ได้อยู่บ้าน บ้านที่เราโตมา มียายอยู่เป็นหลัก, หลานที่เป็นเด็ก, ป้าที่แก่มีอายุ และคนป่วย เวลาที่เจ้าหน้าที่ไปที่บ้านมันก็สร้างความกดดัน แล้วก็เอาพวกผู้ใหญ่บ้านไปด้วย”
เลือกที่จะไม่ลี้ภัยเหมือนเพื่อน และเลือกที่จะไม่ติดคุกในจินตนาการ
ในคดี #ม็อบ2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว มีจำเลยที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีทั้งหมด 7 คน แต่ระหว่างทางมีจำเลยอย่าง ไบรท์ ชินวัตรรับสารภาพ และจำเลยที่ลี้ภัยทางการเมืองออกไป จนปัจจุบัน เหลือจำเลยในคดีเพียงแค่ฮิวโก้ ที่มาร่วมการพิจารณาคดีทุกนัด และทนายอานนท์ นำภา ที่อยู่ระหว่างถูกคุมขัง ซึ่งเธอก็ยอมรับว่า ระหว่างการต่อสู้นั้น ใจหายไม่น้อย และมีบางช่วงที่เธอเองก็คิดไปถึงการลี้ภัยเช่นกัน
“ใจหาย ตอนแรกมันหายไปทีละคน ทีละคน เริ่มจากจำเลยคนที่ 7 ก็ลี้ภัยออกไป หลังจากนั้นไบร์ท ชินวัตรรับสารภาพ หลังจากนั้นก็เป็นเพนกวิ้น (พริษฐ์ ชิวารักษ์) กับไมค์ (ภาณุพงศ์ จาดนอก) ก็หายไป เหลือรุ้ง (ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล) เรา แล้วก็พี่อานนท์ แล้วสักพักนึงรุ้งก็หาย มันก็ใจหายนิดนึงว่า มันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ฉันกับพี่อานนท์…”
“มันเป็นสิทธิที่เค้าจะเลือกการมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่มีใครสมควรที่จะถูกติดคุกอยู่ในประเทศนี้จากมาตรานี้ ที่ใครก็ไม่รู้มากล่าวหาเรา ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าผิด หรือไม่ผิด อันนี้มันเป็นเรื่องของเนื้อหาที่ต้องว่ากัน แต่ว่าถ้าเราด่าใครสักคนหนึ่ง เขาคนนั้นน่าจะเป็นคนฟ้องเรามากกว่าใครก็ไม่รู้ ที่ไม่รู้จักแล้วมาฟ้อง ซึ่งมันคือความยิบย่อยของกฎหมาย”
ฮิวโก้ยอมรับกับเราตรงๆ ว่าเมื่อจำเลยในคดีเดียวกันส่วนใหญ่เลือกลี้ภัยออกไป เธอเองก็มีความคิดที่แว๊บเข้ามาถึงการลี้ภัยบ้าง แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจว่าจะสู้คดี เพราะยังมีความฝัน และสิ่งที่อยากทำที่นี่อยู่
“เราเห็นเพื่อนไม่อยู่ทีละคน แค่จำเลยในคดีเดียวกันก็ไปทีละคน การคิดเรื่องลี้ภัย ถามว่าคิดไหม ก็คิดนะ แต่เราคิดว่าเรามีฝันที่ใหญ่กว่านั้น หมายความว่าถ้าเราต้องเลือกระหว่างความฝันที่เราอยากทำมันต่อ กับการสร้างชีวิตใหม่ของตัวเอง มันต้องชั่งน้ำหนักว่าเราจะเลือกทิศทางไหน แล้วเราคิดว่าถ้าเรายังอยู่ที่นี่ ต่อให้เราถูกพิพากษาจำคุก ท้ายที่สุดแล้วค่ำคืนที่ยาวนาน มันไม่อยู่ตลอดไปอยู่แล้ว เดี๋ยวมันก็คงจะได้ออกมา แล้วทำฝันตัวเองต่อ
ความฝันของเรา เราคิดว่ามันไม่ได้ต่างไปจากข้อเรียกร้องของคณะราษฎร ของคนประท้วง ขั้นต่ำของการประท้วงตอนนั้น จนถึงตอนนี้ เราคิดว่ามันคือการทำให้สังคมมันดีขึ้น เสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย เท่าเทียมกันไม่ใช่ใครที่จะมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าใคร อยากให้เป็นสังคม ‘ของเรา’ จริงๆอ่ะ เกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งหนึ่งมันไม่ควรที่จะถูกกดทับทางโครงสร้างทางสังคมจนความเป็นมนุษย์มันร่อยหรอลงไป
แล้วตอนนี้เราก็ยังคิดว่า สิ่งที่เราอยากเห็นมันคงเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี ไม่ใช่แค่อยู่ดีกินดีในทางเศรษฐกิจ แต่ว่าในทางสังคมการเมือง เสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย คือการที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศนี้ร่วมกันจริงๆ ไม่ใช่แค่ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีทุน มีทรัพยากรมากกว่า จึงเข้าถึงความพรีวิลเลจ (สิทธิพิเศษ) ได้มากกว่ากลุ่มคนที่ไม่ได้มีทุนหรือว่าทรัพยากรมากพอที่จะเข้าถึงมัน”
“และในเมื่อเราเลือกที่จะไม่ลี้ภัย มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคุณก็ต้องเตรียมใจสำหรับสิ่งที่มันเลวร้ายที่สุด อาจจะติดคุก แต่ว่าอย่างที่เราพูดเมื่อกี้ว่ามันต้องมีความหวังว่าค่ำคืนที่ยาวนานมันไม่ได้อยู่ตลอดไป เช้าวันใหม่มันคงมาถึงเรา แล้วเราคิดว่าด้วยความที่เราไม่ได้เป็นแกนนำแถวหน้า หรือไม่ได้ถูกคดีเยอะมากจนมันจินตนาการไม่ออกว่าเช้าวันใหม่จะเป็นอย่างไร เราเลยคิดว่าอยู่ด้วยความหวัง อย่างหนึ่งก็คือพยายามไม่ติดคุกสองรอบ หมายความว่า ไม่ติดคุกในจินตนาการ กับคุกความเป็นจริง ต่อให้เราต้องติดคุกความเป็นจริง เราก็ไม่ควรโทษตัวเอง หรือจมกับอะไรสักอย่างที่มันทำให้เราติดคุกในจินตนาการไปซ้ำอีก ซึ่งในสภาพแวดล้อมความเป็นจริงมันก็เลวร้ายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรกักขังตัวเองในจินตนาการ กลับมาโทษตัวเอง ว่าสิ่งที่ทำไปทำให้ต้องมาเจอสิ่งนี้ เพราะเราเลือกที่จะทำมันแล้ว”

แต่นอกจากความฝันที่ฮิวโก้ยังคงอยากเห็นประเทศดีขึ้นอีก เราได้ถามเธอถึงความฝันของตัวเธอเองด้วย ฝันที่เธออยากจะเป็น และสิ่งที่เธออยากจะทำในชีวิต ซึ่งเธอบอกว่า หากไม่ติดคุก เธอตัดสินใจจะไปสอบหมอให้ได้ เพราะอยากเป็นหมอศัลยกรรม ที่ผ่าตัดในห้องฉุกเฉิน
“เราคิดว่าถ้าไม่ติดคุก เราจะไปหมอสักรอบ ก่อนหน้านี้เราพยายามอ่านหนังสือสอบ แต่ว่าก็มาติดเรื่องคดี เราก็เลยล้มเลิกแผน เก็บฝันใส่กระเป๋าไป ว่าคงไม่ได้เป็นแล้วแหละเพราะว่าโดนคดี แต่ด้วยความที่คดีมันนาน จริงๆ เราน่าจะไปสอบแล้ว ด้วยความที่ไม่รู้ว่าคดีจะยาวขนาดนี้ เข้าปีที่ 4-5 ถ้าสอบมันอาจจะรู้ผลแล้วก็ได้”
แม้กระแสม็อบไม่มี แต่ไม่ได้ทำให้ ม.112 หายไปจากบริบททางการเมือง
อาจเรียกได้ว่ากระแสม็อบ หรือการพูดถึง การรณรงค์เรื่องการแก้ไข ม.112 นั้นไม่ได้เสียงดังเท่ากับเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ฮิวโก้ก็มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันทำให้ประชาชนรับรู้แล้ว และไม่ได้หวั่นใจ หากในสถานการณ์เลวร้ายที่เธอต้องติดคุก แต่สังคมจะไม่พูดถึง
“มันเป็นธรรมชาติของขบวนการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวมันไม่ได้เป็นเส้นตรง สายธารการต่อสู้ในอดีตก็ตาม ไม่ใช่แค่การเรียกร้องเคลื่อนไหวในครั้งนี้เท่านั้น แต่เราไม่ได้มองว่ามันจบลงแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว หรือมองว่าสิ่งที่เรียกร้องไปนั้นมันจบ เพราะว่ากระแสสังคมไม่ได้สนใจมันเท่าตอนนั้น แต่ว่ามันคือธรรมชาติของกระบวนการเคลื่อนไหว ในเมื่อมันไม่ได้เป็นเส้นตรง มีช่วงขึ้น-ลง แต่ว่าท้ายที่สุดแล้ว เมื่อสังคมรับรู้แล้วว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้น คนรับรู้ว่ามีประเด็น ม.112 ที่กลายเป็นประเด็นสาธารณะ ที่ต่างประเทศก็เรียกร้องกดดันเราเรื่องนี้ มันเป็นประเด็นสาธารณะเกินกว่าที่มันจะกลับมาเป็นเรื่องที่คนไม่รับรู้แล้ว”
“การที่ไม่ได้ออกมาม็อบเท่าตอนนั้น ไม่ได้ทำให้เรื่องหายไปจากบริบททางการเมือง เพียงแค่ว่ารูปแบบของการรับรู้ หรือการยกประเด็นขึ้นมามันต่างกันแค่ช่วงเวลา เราว่าถ้าในอนาคตมันอาจจะมีม็อบอีกก็ได้ เราก็ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ หรือข้อเรียกร้องจะเป็นยังไง”
นอกจากประเด็น ม.112 แล้ว 5 ปีที่ผ่านมา การแก้ไขรัฐธรรมนูญเองก็ยังไม่เกิดขึ้น ทั้งประเด็นการนิรโทษกรรมก็ดูติดขัด ฮิวโก้บอกว่านี่เป็นสิ่งที่เธอเสียดายมาก ที่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลพลเรือนแล้ว แต่เรายังติดล็อกกับประเด็นเหล่านี้อยู่
“เราคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่วาระสมัยของรัฐบาลนี้ไม่สามารถผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นผลพวงของการทำรัฐประหารได้ ต้องพูดอย่างนี้ว่ารัฐธรรมนูญปี 60 มันมีปัญหาจริงๆ ทั้งที่มาขององค์กรอิสระ แผนกำหนดยุทธศาสตร์ชาติที่มีปัญหา ถ้าแก้ได้ เราคิดว่าสังคมมันจะก้าวหน้าไปกว่านี้ได้ อาจจะไม่ได้ดีเลิศ แต่อย่างน้อยความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น ไม่ใช่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเศรษฐกิจ ถ้าแก้ให้มันเป็นธรรมต่อประชาชนได้ ประชาชนก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการมีชีวิตที่ดีด้วย
ทั้งประเด็นการแก้ ม.112 ก็เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงในมุมที่กว้างกว่านี้อีก หมายถึงว่าในความรู้ความเข้าใจของคนที่แม้กระทั่งไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เค้ามีความเห็นเรื่องพวกนี้ยังไง หรือต้องรณรงค์ทางความคิด รวมถึงเมื่อรณรงค์เสร็จแล้ว จะยังไงต่อกับ ม.112 ซึ่งถ้าพูดตามหลักการ กฎหมายมันต้องสามารถแก้ไขได้ แล้วการเสนอแก้ไขม. 112 ในตัวรายละเอียดมันไม่ได้เสนอเรื่องยกเลิก
ขั้นต่ำอีกเรื่องนึงคือ นิรโทษกรรม เราว่าท้ายที่สุด มันคงเกิดการพูดคุย หรือเจรจา รัฐบาลอาจจะได้รับแรง กระทบจากแรงกดดันอื่นๆ จนต้องคิดเรื่องนี้ ทบทวนเรื่องนี้ หรือว่าคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อาจจะต้องพูดคุยให้ละเอียดครบถ้วน แล้วก็มองหลายๆ ปัจจัยภายในภายนอกด้วย” เธอทิ้งท้ายถึงความหวังความคืบหน้าของการนิรโทษกรรม
วันที่ 25 มิถุนายน 2568 ศาลอาญาพิพากษาคดีของฮิวโก้ ให้มีโทษจำคุกสองปี และให้รอลงอาญา เพราะเห็นว่าทำผิดครั้งแรกและไม่ได้ทำผิดซ้ำ
RELATED POSTS


