สิทธิแรงงานไทยยังด้อยกว่าหลายประเทศ ขณะที่ชีวิตคนทำงานถูกพูดถึงแค่สามครั้งในรธน. 60

ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน นโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ความทะเยอทะยานของจีน รวมไปถึง สงครามในตะวันออกกลาง ล้วนเป็นอุปสรรคและส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ในช่วงเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย หลายประเทศตอบโต้กับอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น ธุรกิจทยอยปิดตัว รวมถึงหนี้ครัวเรือนทวีความรุนแรง ด้วยนโยบาย “ตาข่ายนิรภัย” ซึ่งคือ การคุ้มครองหรือการสนับสนุนขั้นต่ำ โดยเป็น “เบาะรองรับ” ที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกเพื่อลดความเสี่ยง และป้องกันไม่ให้กลุ่มเปราะบางตกลงไปอยู่ในความยากจน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมสิทธิแรงงานที่แข็งแรง เพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบและสร้างความมั่นคงในการทำงาน เช่นการประกันการว่างงาน หรือประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อแรงงานให้บางเบาที่สุด 

หากหลักการตาข่ายนิรภัยถูกระบุในรัฐธรรมนูญ สิทธิและคุณภาพชีวิตของแรงงานจะได้รับการคุ้มครองอย่างมั่นคงตั้งแต่ต้น บทความนี้จะชวนมาสำรวจและเปรียบเทียบสิทธิแรงงานในรัฐธรรมนูญของต่างประเทศและในรัฐธรรมนูญไทย เพื่อตอบคำถามว่า คุณภาพชีวิตของแรงงานไทยยังคงรั้งท้ายอยู่จริงหรือไม่ 

ส่อง ‘แรงงาน’ ในรัฐธรรมนูญต่างประเทศ: บทเรียนจากประเทศกำลังพัฒนา

ธนาคารโลกจัดอันดับประเทศไทยอยู่ใน กลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง สะท้อนถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่พบในกลุ่ม ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องคุณภาพชีวิตและสิทธิของแรงงาน

เพื่อทำความเข้าใจสถานะของสิทธิแรงงานในรัฐธรรมนูญ 60 ว่าเรายังคงเป็นรองประเทศอื่นในกลุ่มเศรษฐกิจระดับเดียวกันหรือไม่ บทความนี้จะเปรียบเทียบการบัญญัติสิทธิแรงงานในรัฐธรรมนูญของไทยกับรัฐธรรมนูญของประเทศในกลุ่มรายได้ปานกลางระดับสูงและกลุ่มรายได้ปานกลางระดับล่างที่มีบริบทคล้ายกับประเทศไทย

เวียดนามระบุชัดพลเมืองทุกคนมีสิทธิในประกันสังคม

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นในด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ถึงแม้ธนาคารโลกจัดให้เวียดนามอยู่ในกลุ่ม ประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่าไทย แต่เวียดนามเป็น ตลาดเกิดใหม่ ที่มีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นสู่สถานะประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงในอนาคต

แม้จะมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดด แต่เวียดนามก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายในฐานะประเทศกำลังพัฒนา เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับคุณภาพชีวิตของพลเมือง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการเติบโตทางอุตสาหกรรม และการก้าวข้าม “กับดักรายได้ปานกลาง” ไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงได้นั้น เวียดนามจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ และพัฒนาขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของตนเอง โดยการพัฒนาขีดความสามารถทางเศรษฐกิจนี้ จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านสิทธิในการทำงานและหลักประกันทางสังคม ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน.

รัฐธรรมนูญเวียดนามปี 2556 (Constitution of the Socialist Republic of Vietnam 2013) ได้มีการบัญญัติหลักการสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการทำงานและการสร้างหลักประกันทางสังคมไว้ โดยเฉพาะใน มาตรา 34 มาตรา 35 และมาตรา 57 เช่น

  • มาตรา 34 ระบุว่า “พลเมืองทุกคนมีสิทธิในประกันสังคม”
  • มาตรา 35 รับรองสิทธิพลเมืองในการเลือกงาน อาชีพ และสถานที่ทำงานอย่างอิสระ ทั้งกำหนดให้แรงงานได้รับสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ค่าจ้างที่เป็นธรรม และการลาหยุด นอกจากนี้ ยังห้ามการเลือกปฏิบัติ การบังคับใช้แรงงาน และการจ้างงานเด็กอย่างเด็ดขาด
  • มาตรา 57 ระบุให้รัฐมีหน้าที่ส่งเสริมและจัดหาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างงาน รวมถึงปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ทางกฎหมายของทั้งแรงงานและนายจ้าง

ฟิลิปปินส์คุ้มครองความยุติธรรมทางสังคมของแรงงานใน-นอกประเทศ

ฟิลิปปินส์เป็นอีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ขับเคลื่อนด้วยภาคบริการ การลงทุน การส่งออก และการโอนเงินจากแรงงานในต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม

หลัก “ความยุติธรรมทางสังคม” ปรากฏอยู่ใน รัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ปี 2530 (1987 Philippine Constitution) รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นตัวอย่างฃของการบัญญัติสิทธิแรงงานและหลักประกันทางสังคมไว้อย่างครอบคลุมและชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างหลักประกันให้กับแรงงานทุกคนในประเทศ

รัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ได้บัญญัติสิทธิทางสังคมและสิทธิแรงงานไว้อย่างละเอียดและเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะในมาตรา 13 ข้อที่ 3 ระบุว่าคุ้มครองดังต่อไปนี้

  • รัฐจะคุ้มครองแรงงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในประเทศหรือต่างประเทศ มีการรวมกลุ่มหรือไม่มีการรวมกลุ่มก็ตาม 
  • รับรองสิทธิในการรวมกลุ่ม การเจรจาต่อรองร่วม และการดำเนินกิจกรรมร่วมกันโดยสงบ ซึ่งรวมถึงสิทธิในการนัดหยุดงาน ตามที่กฎหมายกำหนด
  • รับรองสิทธิในการได้รับค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ 
  • รับรองสิทธิของแรงงานและนายจ้างในการมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายและตัดสินใจที่ส่งผลต่อสิทธิและผลประโยชน์
  • การมีส่วนร่วมในผลผลิตของแรงงานที่จะได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรมจากผลผลิต อาจรวมถึงผลประโยชน์อื่นๆ ที่มาจากผลกำไรหรือมูลค่าที่แรงงานได้ร่วมสร้างขึ้นในกระบวนการผลิต เช่น โบนัส เงินปันผล หรือสวัสดิการอื่นๆ

บราซิลครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปจนถึงคนตั้งครรภ์ 

บราซิลเป็นประเทศขนาดใหญ่และเป็นผู้นำเศรษฐกิจละตินอเมริกา โดยธนาคารโลกจัดให้บราซิลอยู่ในกลุ่ม ประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง เช่นเดียวกับประเทศไทย บราซิลมีความโดดเด่นในด้านการพัฒนาสวัสดิการสังคมและการต่อสู้กับความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐธรรมนูญบราซิลปี 2531 เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการบัญญัติสิทธิทางสังคมและแรงงานไว้อย่างละเอียดและครอบคลุม โดยเฉพาะใน มาตรา 7 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐในการคุ้มครองสิทธิแรงงานอย่างครอบคลุม เช่น

  • กำหนดค่าแรงขั้นต่ำไว้โดยตรงในรัฐธรรมนูญว่าต้องเพียงพอต่อการดำรงชีพของคนงานและครอบครัวในด้านต่างๆ เช่น อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย สุขภาพ การศึกษา การพักผ่อน การเดินทาง ประกันสังคม ซึ่งจะมีการปรับเป็นระยะเพื่อให้เพียงพอต่อกำลังการซื้อ
  • แรงงานจะได้รับการคุ้มครองจากการถูกเลิกจ้างโดยไม่มีเป็นธรรม
  • การประกันการว่างงาน ในกรณีว่างงานโดยไม่สมัครใจ
  • กองทุนประกันภัย เป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องสมทบให้ลูกจ้างทุกเดือน
  • ค่าจ้างที่สูงขึ้นสำหรับการทำงานล่วงเวลา กำหนดอัตราค่าจ้างพิเศษสำหรับการทำงานที่เกินเวลา
  • ค่าตอบแทนสำหรับการทำงานกลางคืนที่สูงกว่าการทำงานในช่วงเวลากลางวัน
  • กำหนดชั่วโมงทำงานสูงสุดไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวันและไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
  • สิทธิในการหยุดพักผ่อนพร้อมรับค่าจ้างเป็นประจำทุกสัปดาห์
  • สิทธิในการลาพักผ่อนประจำปีโดยได้รับค่าจ้าง
  • มีการจ่ายค่าตอบแทนพิเศษสำหรับงานที่มีความเสี่ยงหรืองานอันตราย
  • การคุ้มครองการตั้งครรภ์และมารดา: รวมถึงสิทธิการลาคลอด และการคุ้มครองจากการถูกเลิกจ้างในระหว่างตั้งครรภ์
  • การคุ้มครองแรงงานเด็กโดยห้ามการใช้แรงงานเด็กที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์โดยเด็ดขาด
  • สิทธิในการรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานและสิทธิในการนัดหยุดงาน

นอกเหนือนี้ รัฐธรรมนูญบราซิลยังมีการบัญญัติระบบประกันสังคมแบบถ้วนหน้า ในมาตรา 194-204 ซึ่งครอบคลุมด้านสุขภาพ สวัสดิการ และการประกันสังคม โดยมีเป้าหมายที่จะคุ้มครองพลเมืองทุกคนในกรณีเจ็บป่วย พิการ ชราภาพ เสียชีวิต หรือว่างงาน

การระบุสิทธิเหล่านี้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้พลเมืองได้รับการคุ้มครองสิทธิแรงงานในระดับพื้นฐานที่มั่นคง ไม่มีหน่วยงานใดจะออกกฎหมายที่ขัดแย้งหรือลดทอนสิทธิเหล่านี้ได้โดยง่าย ทำให้การบังคับใช้กฎหมายอื่นมีความหนักแน่นและมีทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างบรรทัดฐานและมาตรฐานที่ชัดเจน เป็นการสร้าง “ตาข่ายนิรภัย” ที่มีรากฐานมั่นคงตั้งแต่แรก

สิทธิแรงงานไทย อยู่ตรงไหนในโลก

ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่ม ประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง เช่นเดียวกับบราซิล เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนภายในประเทศ แม้จะมีช่วงเวลาของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม 

รัฐธรรมนูญ 2560 ได้มีการกล่าวถึง ‘แรงงาน’ เพียงสามครั้งเท่านั้น ในสองมาตราดังต่อไปนี้ 

  • มาตรา 30 ระบุให้ไม่สามารถเกณฑ์แรงงาน เว้นแต่โดยอาศัยเกณฑ์โดยกฎหมายในช่วงภัยพิบัติสาธารณะ หรือในสถานการณ์ไม่ปกติหรือสงคราม
  • มาตรา 74 ระบุว่า รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทํางานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพ และวัยและให้มีงานทํา และพึงคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทํางาน ได้รับรายได้ สวัสดิการ การประกันสังคม และ “สิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสมแก่การดํารงชีพ” และพึงจัดให้มีหรือส่งเสริมการออมเพื่อการดํารงชีพเมื่อพ้นวัยทํางาน รัฐพึงจัดให้มีระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดําเนินการ

ไม่เพียงแต่เรื่องของจำนวนคำที่ถูกกล่าวถึงในรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ภาพรวมสิทธิแรงงานในรัฐธรรมนูญไทย ก็เบาบางจนแทบจับต้องไม่ได้ การที่แรงงานขาด “ตาข่ายนิรภัย” ที่มั่นคงในรัฐธรรมนูญเช่นนี้อาจสะท้อนว่าประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับแรงงานไม่เพียงพอ ยิ่งทำให้แรงงานไทยต้องเผชิญความเสี่ยงมากกว่าแรงงานในประเทศอื่น ๆ ที่ยกตัวอย่างมาอย่างเห็นได้ชัด

ในรัฐธรรมนูญบราซิลระบุชัดว่า การทำงานล่วงเวลา การทำงานกะกลางคืน หรือการทำงานที่มีความเสี่ยง จะต้องได้รับค่าแรงเพิ่มในอัตราพิเศษ เพื่อคุ้มครองไม่ให้เกิดการเอาเปรียบหรือกดขี่แรงงาน ทำให้แรงงานได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่าและเพียงพอต่อการดำรงชีพ แต่ในประเทศไทย รัฐธรรมนูญกลับไม่มีการระบุสิทธิในการได้รับค่าแรง “ที่เป็นธรรม” กลับใช้คำว่า “เหมาะสมแก่การดำรงชีพ” ซึ่งอาจเปิดช่องให้ตีความได้ว่า ค่าจ้างขั้นต่ำจะถูกกำหนดตามค่าครองชีพของแต่ละพื้นที่ แทนที่จะเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ส่งผลให้แรงงานในพื้นที่ที่มีค่าครองชีพต่ำยิ่งเผชิญความไม่เป็นธรรมมากขึ้น การใช้ถ้อยคำที่กว้างและไม่มีบรรทัดฐานที่ชัดเจนเช่นนี้ ทำให้การคุ้มครองสิทธิของแรงงานถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ที่เคยใช้คำว่า “ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม” มาก่อน

หากเปรียบเทียบกับประเทศที่ได้ยกตัวอย่างมา จะเห็นว่าประเทศไทยยังคง “ด้อยกว่า” และวิ่งตามอย่างห่าง ๆ กับเวียดนาม บราซิล และฟิลิปปินส์ ในเรื่องการคุ้มครองสิทธิแรงงานในระดับรัฐธรรมนูญ หรืออาจกล่าวได้ว่าตาข่ายนิรภัยของเรานั้นยัง “อ่อนแอ” อย่างยิ่ง หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแรงงานย่อมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและขาดเครื่องมือคุ้มครองแรงงานที่ยั่งยืน